ตอนที่ ๑
จันทร์ซ่อนเงา
แสงแห่งทินกรโอบโลกให้สว่างไสวและอบอุ่นละม้ายอยู่ในอ้อมอกมารดา สายลมเย็นพัดแผ่วประกอบกับไอเย็นของแม่น้ำ ชวนระรื่นชื่นใจ ต้นไม้โบกไสวราวกับกำลังกล่าวคำอำลากับก้อนเมฆบนท้องฟ้า นกน้อยใหญ่บินผกผินอย่างอิสระร่าเริงคล้ายเริงระบำไปกับท่วงทำนองบทเพลงของธรรมชาติเพื่ออวดแก่สายตาของมนุษย์ที่อยู่บนเรือแพเบื้องล่าง
เรือแพหลังนี้เป็นเรือโดยสารให้กับเศรษฐีร่ำรวยล้นฟ้าหลายคน ทุกคนต่างแย้มยิ้มหัวเราะกันอย่างสนุกสนานสลับกับการชื่นชมบรรยากาศสองริมฝั่งแม่น้ำแควน้อยโดยมีบอดี้การ์ดยืนคอยระวังภัยให้อยู่ไม่ไกล
แม้เหล่าบอดี้การ์ดจะอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทเป็นพิธีการแต่ทุกคนก็มีสีหน้าเบิกบาน ทั้งนี้เป็นเพราะอากาศสดชื่นเหลือเกิน ยกเว้นโสม พยัคฆ์ดำรงที่ยืนหน้าซีดหน้าเซียวอยู่ใกล้นายจ้างของตนจนกระทั่งทนไม่ไหวอีก
ต่อไปต้องรีบหันไปส่งสายตาฝากฝังหน้าที่ชั่วคราวให้กับเพื่อนร่วมงาน ก่อนที่จะพาร่างสูงเพรียวของตนเดินลิ่วๆ ไปด้านหลังของเรือแพ เกาะระเบียงเอาไว้แน่นแล้วสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ หวังขับไล่อาการคลื่นเหียนจากการเมาเรือออกไป
“ลืมกินยาแก้เมาเรือมารึไง” นายธนุ ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทเดินเลียบเคียงเข้ามาหาด้วยท่าทางกวนโทสะจึงได้รับการค้อนจากดวงตาคมสีไพลินมาเป็นรางวัล
“ว่างรึไงธนุ นายเอาเวลาที่มาล้อเลียนฉันไปทำงานดีกว่า” เจ้าของร่างสูงเพรียวพูดเสียงฉุน ตาขวางอย่างน่ากลัวแต่ก็ไม่ทำให้นายธนุกลัวได้เลย “หรืออยากไปทำงานอย่างอื่นแล้ว”
“อืม” นายธนุกอดอก เอามือลูบคางทำท่าครุ่นคิด “ที่จริงฉันก็เบื่องานพวกนี้แล้ว รูปร่างหน้าตาของฉันก็เป็นพระเอกได้สบายๆ ฉันคิดไว้เหมือนกันว่าเสร็จงานนี้แล้วจะลองไปเทสต์หน้ากล้องดู เผื่อได้แจ้งเกิดเป็นพระเอกกับเขาบ้าง”
“ฉันรู้มาว่ามีกองถ่ายหนังเรื่องหนึ่งกำลังต้องการพระเอกหน้าใหม่นะ” โสม พยัคฆ์ดำรงเผยยิ้มใสซื่อ ทำให้ดวงหน้าคมคายแต่ซีดเซียวเพราะเมาเรือน่ามองยิ่งขึ้น “หน้าตาท่าทางนายก็ใช้ได้ ฉันคิดว่าไม่มีใครที่จะเหมาะกับบทพระเอกหนังเรื่องนี้ได้เท่านายอีกแล้ว”
“จริงหรือ” นายธนุเลิกคิ้ว ขึ้น สูง “หนังเรื่องอะไร”
“ฝ่าดงตีน!”
ธนุหน้าหงายไปแทบทันทีที่สิ้นเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความสะใจของโสม ชายหนุ่มมองคนเมาเรือเงยหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นฟ้าดูท่าทางแจ่มใสกว่าเมื่อครู่เล็กน้อยด้วยแววตากึ่งยิ้มกึ่งหมั่นไส้เพื่อนร่วมงานของเขาคนนี้หน้าตาคมคายแต่ก็แฝงความนุ่มนวลของสตรีไว้ได้อย่างลงตัว ดวงตาคมสีไพลินมีเสน่ห์อย่างที่ผู้ชายทุกคนอิจฉา ทั้งคิ้วคมเข้ม จมูกโด่ง
ได้รูป และริมฝีปากอิ่มรูปสวยเป็นสีระเรื่อ เป็นริมฝีปากเจ้าเสน่ห์ที่น่าจุมพิตสักครั้งเป็นที่สุด
“ผิวคล้ำขึ้นรึเปล่าโสม” เขาเอ่ยถาม
ดวงหน้าเจ้าเสน่ห์เบนมามองชั่วแวบหนึ่งก่อนตอบ “อืม… งานที่แล้วไปเป็นบอดี้การ์ดให้คู่สามีภรรยาเศรษฐีระหว่างฮันนีมูนที่มัลดีฟส์” พูดจบก็มองสำรวจผิวที่คล้ำลงโผล่พ้นเสื้อสูทแขนยาวของตน
“จะทำงานนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือ ไม่คิดจะไปทำอย่างอื่นบ้างรึไง” นายธนุถามเสียงจริงจัง มีความเป็นห่วงเจืออยู่ในน้ำเสียงจนสัมผัสได้ “เธอเป็นผู้หญิงนะโสม งานนี้มันเสี่ยงเกินไปสำหรับผู้หญิง”
“ทำงานด้วยกันมากี่งานแล้วธนุ นายก็เคยเห็นฝีมือฉันไม่ใช่รึไง”
ธนุรู้ดีว่าหญิงสาวเป็นคนมีฝีมือแค่ไหน เธอปราดเปรียวแคล่วคล่องว่องไว ฉลาดเฉลียว เข้าใจสถานการณ์และมีสัญชาติญาณในการต่อสู้ดีเยี่ยมจนก้าวขึ้นเป็นบอดี้การ์ดแนวหน้าของบริษัทตั้งแต่เข้ามาทำงานได้เพียงสองปี แต่เขายังเห็นว่าเธอไม่สมควรทำงานนี้ตลอดชีวิต เพราะงานนี้ค่อนข้างอันตราย ทุกคนเคยได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน เธอ
ควรมีชีวิตที่สงบสุขมากกว่านี้้ มีความสุขอย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งสมควรได้รับ
“โสม แม่ฉันกำลังต้องการลูกมือช่วยทำขนม เธอก็เป็นคนมีฝีมือไม่ลองไปหาแม่ฉันล่ะ” ชายหนุ่มเกลี้ยกล่อม มารดาของเขาเป็นเจ้าของกิจการขนาดกลางขายของฝากจำพวกขนมหวานสูตรไทยโบราณ โสมเป็นคนมีฝีมือในการทำขนมมากและมีหลายครั้งที่โสมอาศัยหาเงินจากการเป็นลูกมือช่วยแม่เขาทำขนมขาย
“ทำไมนายไม่ไปทำเอง บ้านก็มีธุรกิจรุ่งเรืองดีดันไม่ทำ อยากมาทำงานเสี่ยงๆ” หญิงสาวยอกย้อน
“ฉันเป็นผู้ชาย ตอนนี้ก็แค่อยากทำอะไรตามใจตัวเอง สนุกกับชีวิตโลดโผนอีกสักหน่อย ในอนาคตข้างหน้าก็ไม่แน่ว่าฉันอาจจะกลับไปช่วยแม่ทำงานก็ได้”
“ฉันว่านายควรเลิกทำงานนี้ได้แล้ว นายมีทางเลือกที่ดีกว่า” โสมหันหน้าไปหาสหาย หน้าตาซ่อนความหม่นหมองยามพูดประโยคต่อไป “อีกอย่าง นายควรถนอมเวลาที่จะได้อยู่กับครอบครัวให้มาก เพราะชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่มีใครได้รู้ล่วงหน้าหรอก”
“โสม” ธนุมองโสมด้วยความเห็นใจ หญิงสาวเสียครอบครัวไปเมื่อหลายปีก่อน ญาติพี่น้องที่พึ่งได้ก็ไม่มี เขาไม่รู้ว่าเธอผ่านความยากลำบากมาได้อย่างไรเพราะเพิ่งรู้จักกับเธอเมื่อสองปีที่แล้ว และเธอเองก็มีโลกส่วนตัวสูง แต่เขารู้ว่าเธอคิดว่าตนไม่มีอะไรต้องเสียแล้ว ฉะนั้นในการปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานทุกครั้งเธอจะบ้าระห้ำสู้ไม่กลัวตายดุจ
เห็นความตายเป็นมาตุภูมิ
“เดี๋ยวเสร็จงานนี้เราไปดื่มกันดีกว่า” โสมรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ได้เมาด้วยกันมานานแล้ว”
“จะดีหรือโสม” ธนุทำหน้าตาแปลกๆ ละม้ายพิพักพิพ่วนใจ ยายนี่ไม่ระวังตัวเอาเสียบ้างเลย เป็นเพราะไว้ใจว่าเขาจะไม่ทำเกินเลย หรือว่าไม่ได้มองว่าเขาเป็นผู้ชายกันแน่
“ฉันไม่ได้ดื่มแบบเต็มเหนี่ยวมานานแล้วนะ มันเพราะใครกันล่ะ พอมีโอกาสได้ดื่มทีไรก็ห้ามฉันทุกที”
“เหล้าไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะโสม”
“นายไปทำงานต่อเถอะธนุ ฉันจะยืนรับลมอยู่ตรงนี้สักพัก เดี๋ยวจะเข้าไป” โสมเอ่ยไล่ เธอรู้ว่าเพื่อนต้องการจะพูดอะไร แต่เธอไม่ต้องการรับความสงสารจากใคร
“ตามใจ” ธนุไหวไหล่ มองเพื่อนด้วยสายตาแสดงความเป็นห่วงก่อนเดินกลับเข้าไปทำหน้าที่ของตนต่อ โดยไม่รู้เลยว่าเขาจะได้เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้าย!
หญิงสาวเหม่อมองไปยังสุดฟ้ากว้าง รู้สึกเคว้งคว้างไร้สถานสำหรับตนจนบังเกิดความเหงาและท้อถอยในการดำรงชีวิต ในเมื่อเธอไม่มีใครให้ต้องห่วงใย ไม่มีใครให้ทดแทนบุญคุณ ไม่มีบ้านที่อบอุ่นให้กลับไป ในบางครั้งที่จิตใจฟุ้งซ่านเธอจึงคิดว่าโลกอันโหดร้ายและอยุติธรรมใบนี้ไม่ใช่บ้านของเธอ สวรรค์เอ๋ย… โปรดบอกว่าบ้านที่แท้จริงของฉันอยู่หนไหน
โสมถอนใจอย่างหนักหน่วง เธอไม่ได้สัมผัสกับคำว่าบ้านมานานหลายปี จนลืมเลือนแล้วว่าความอบอุ่นของบ้านนั้นเป็นอย่างไร เท่าที่จำความได้ ตั้งแต่สูญเสียครอบครัว ตัวเธอก็เคว้งคว้างและไร้จุดมุ่งหมาย ต้องไปอยู่ในความดูแลของญาติฝ่ายแม่ที่แม่ตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก หารู้ไม่ว่าท่านคิดผิดเพราะพวกเขานำเงินของเธอมาจับจ่ายใช้สอยสนุกมือ
ในขณะที่เธอไม่ได้ใช้เงินก้อนนี้เลย
พวกเขาใช้งานเธอราวกับเป็นคนรับใช้ ให้เธอนอนในห้องเก็บของเก่า มีเพียงเสื่อผืนหมอนใบกับผ้าห่มเก่าบางๆ ผืนหนึ่งให้เท่านั้น เสื้อผ้าและรองเท้าก็ต้องรับของเก่ามาใส่ ใส่จนขาดแล้วขาดอีก ซ่อมแล้วซ่อมอีก ไม่เคยได้ของใหม่มาใช้สักชิ้น ทั้ง ยังถูกกดขี่ข่มเหงจนไม่อาจทานทนได้ เธอจึงซมซานหนีออกจากบ้าน เดินทางอย่างไร้จุดมุ่งหมายและทิ้ง สิ่งที่เรียกว่ามรดกของพ่อแม่ไว้เบื้องหลัง เธอทำตัวเหมือนวณิพก คํ่าไหนนอนนั่น เดินทางไปเรื่อยๆ อย่างลืมวันลืมคืนจนข้ามจังหวัดมาถึงจังหวัดราชบุรี
เธอผ่านความลำบากมามากมาย ยังจำความหิวแสบท้องที่สุดในชีวิตได้ ยังจำเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ร่างกายผอมซูบ และบาดแผลที่เกิดจากการทำร้ายเมื่อเธอลักขโมยอาหารแล้วถูกจับได้ เธอต้องอยู่ลำพังในคืนที่แสนทรมานเมื่อไข้รุมเร้า นอนหนาวสั่นอยู่ในป่าแถบชายแดน ฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ยั้งเหมือนมุ่งซํ้าเติมชีวิตบัดซบนี้ให้จมธรณี สมองอันมึนชาและความปวดร้าวทุกรูขุมขนแทบจะพรากวิญญาณของเธอไป นัยน์ตาอันพร่ามัวของเธอมองเห็นรองเท้าก้าวเข้ามาอยู่แทบปลายจมูก และก่อนที่โลกจะมืดไปเธอรู้สึกว่าร่างของตนกำลังลอยสู่ที่สูงจนอดคิดไม่ได้ว่าคงกำลังขึ้นสวรรค์แล้วกระมัง แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้น อีกครั้งกลับพบว่าชีวิตได้พลิกผันไป
ทหารจาก ฉก.ทัพพญาเสือเป็นผู้ไปพบเธอและนำมารักษายังสถานอนามัยจนหายดี แต่เธอไม่พูดกับใครแม้ทุกคนจะพยายามถามว่าเธอเป็นใคร มาจากไหนเพราะเธอไม่อยากจะไปอยู่กับครอบครัวใดก็ตามที่พร้อมจะกดขี่เธอ เธอยอมตายดีกว่าจะยอมให้ใครมาเหยียบยํ่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อีก เรื่องนี้คงสร้างความเดือดร้อนให้ใครหลายคน จนในที่สุดพวกเขาก็ตัดสินใจจะส่งเธอให้ไปอยู่ในความดูแลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ า
ระหว่างรอการสืบหาแฟ้มประวัติเด็กหายทั่วจังหวัดราชบุรีและจังหวัดใกล้เคียง เธอเองก็ยอมรับอย่างเสียไม่ได้เพราะอย่างไรก็คงดีกว่าคลำทางหาที่ไปในความมืดด้วยตนเอง แต่ก่อนที่จะมีการดำเนินการอะไรไปมากกว่านั้น บุคคลคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาเป็นผู้พลิกผันชีวิตเธออีกครั้ง
ชายหน้าตาดุขึงขังในชุดทหารแลดูองอาจยืนจ้องเธอที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ราวกับจะอ่านให้ลึกเท่าที่ต้องการ แม้ในใจของเธอจะนึกหวั่นความน่าเกรงขามของเขา แต่โดยนิสัยแล้วเป็นคนไม่ยอมคน ดวงตาสีน้ำเงินละม้ายบิดาจึงจ้องตากลับอย่างไม่ยอมจำนน
‘ชื่ออะไร’ เสียงห้าวกังวานขึงขังเอ่ยออกมาในที่สุด
เธอทำเพียงแค่จ้องมองเขาเขม็ง แต่ไม่ยอมพูดโต้ตอบ
อีกฝ่ายจึงตะคอกสั่ง ‘ตอบมา!’
‘อย่ามาตะคอกฉันนะ!’ ด้วยความโมโหจึงขึ้น เสียงกลับไป ก่อนจะคิดได้ว่าไม่ควรทำเสียเลย จะถูกตีรึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะทหารที่อยู่ตรงหน้าท่าทางจะยศสูงและเจ้าระเบียบ คงไม่มีทางยอมให้เด็กมาก้าวร้าวแน่
‘ชื่อแปลกดี… อย่ามาตะคอกฉันนะ ใครตั้งให้’
‘หา?!’ เธอมองนายทหารชั้นผู้ใหญ่ตรงหน้าราวกับเห็นมนุษย์ต่างดาวที่พูดคนละภาษา หรือบางทีอาจเป็นเธอที่ฟังผิดไปเอง
‘อย่ามาตะคอกฉันนะ… เธอน่ะ มาจากที่ไหน’ เสียงขึงขังถามต่อ ใบหน้าดุเพิ่มระดับความเข้มขึ้นมาอีก
‘อะไรนะ’
‘ชื่อเธอไม่ใช่รึไง… อย่ามาตะคอกฉันนะ น่ะ’
‘ไม่ใช่ ฉันชื่อโสม พยัคฆ์ดำรง’ กว่าจะรู้ตัวก็บอกชื่อเขาไปเสียแล้ว เธอตกใจจนหน้าซีดเผือด เช่นนี้หากเขาส่งเธอกลับบ้านไปผจญนรกนั่นอีกล่ะจะทำอย่างไร
‘ชื่อโบราณคร่ำครึจริงๆ’ ชายหนุ่มบอกหลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่ง
‘เอ๊ะ! น้าพูดอย่างนี้มีปัญหาอะไรกับชื่อฉันรึเปล่า’ เพราะถูกพูดจาคล้ายหมิ่นชื่อที่พ่อและแม่ตั้ง ให้จึงเกิดโทสะอีก
‘ชื่อเธอไม่มีปัญหา แต่มีปัญหากับตัวเธอ ยายเด็กหนีออกจากบ้าน’
‘ไม่ใช่หน้าที่ของทหารเสียหน่อย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ!’
‘พ่อแม่ไม่สั่งสอนรึไง ถึงได้พูดจาอย่างนี้!’
‘อย่ามาว่าพ่อแม่ฉันนะ!’ ดวงตาคมสีน้ำเงินลุกวาบ ‘ท่านเสียไปแล้วก็ให้ท่านนอนอย่างสงบเถอะ’
‘… แล้วญาติเธอเขาไม่สั่งสอนเธอบ้างหรือ กิริยามารยาทเธอมันใช้ไม่ได้เลย’ เขาพูดขึ้น หลังจากทำสีหน้าคล้ายมั่นใจอะไรบางอย่างแล้ว
‘เฮอะ! สอนหรือ’ เธอเหยียดปากยิ้มหมิ่นแคลน ‘พวกนั้น วันๆ ก็เอาแต่จิกหัวฉันใช้ทำงานทุกอย่างตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เรียนก็ไม่ให้เรียน สอนลูกตัวเองให้ดียังไม่ได้ ปล่อยให้ทำตัวเกะกะระรานคนอื่นแบบนั้น แล้วจะมีปัญญามาสอนฉันได้ยังไง’
เขาเงียบไปและจ้องมองเธออย่างครุ่นคิดลึกซึ้ง
เธอไม่สามารถอ่านสายตาของเขาออกได้แม้สักนิดจึงค่อนข้างกังวลว่าความคิดของเขา จะทำให้เธอแย่ลงเพราะเธอแสดงกิริยาไม่ดีหลายอย่างออกไป
‘ฉันยังไม่มีลูก’ เสียงเขาทอดบอกเบาลงนิดหน่อยแล้วเงียบลงไปนาน จนเธออดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้าเขา จึงเห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูมองมาจนหัวใจอันแห้งแล้งกลับมีชีวิตชีวาขึ้น บ้างราวกับต้องหยดน้ำทิพย์ ‘หากเธอคิดว่าทนความลำบากของการเป็นลูกทหารได้ ฉันจะรับเธอเป็นลูกบุญธรรม’
‘อะไรนะ’ เธอจ้องมองเขาอย่างมีความหวังระคนสับสนและเคลือบแคลงใจ
‘ฉันได้ยินเรื่องเธอตั้งแต่เธอมาที่นี่ เธอเป็นเด็กที่ไม่ยอมพูดไม่ยอมจาอะไรเลย ท่าทางหน้าตาดื้อรั้น สร้างความเดือดร้อนให้ใครหลายคนโดยไม่รู้สึกผิด’
‘ถ้าจะด่ากันอีกฉันนอนก่อนล่ะ เบื่อ!’
‘ได้เห็นเธอก็ยิ่งเชื่อว่าเธอมันเหลือขอ ไร้การอบรมสิ้นดี แต่ฉันชอบแววตาเธอ…’
‘ชอบเด็กหรือ’
‘ปากเสีย หาคุกหาตารางมาให้ฉันแล้วไหมล่ะ’
‘ใครจะไปรู้’ เธอเหลือบมองด้วยสายตาหวาดระแวง
‘ประเดี๋ยวยันโครม’ ไม่พูดเปล่า คนที่เธอคิดว่าเกรงขามเป็นผู้ใหญ่กลับทำท่าจะยกเท้าขึ้น ยันเธอที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้จริงๆ ‘แม่เธอก็ท่าทางเรียบร้อย หรือเธอได้นิสัยกวนโอ๊ยแบบนี้มาจากแดนเนียล’
‘น้ารู้จักพ่อกับแม่ฉันหรือ!’ เธอแทบจะโผไปจับไหล่กว้างนั้น เสียแล้ว ยังดีที่ยั้งตัวไว้ทัน
‘ฉันรู้จักทั้งพ่อและแม่ของเธอ ฉันยังเห็นเธอนอนตัวเหี่ยวตัวแดงในตู้อบทารกก่อนใครด้วยซ้ำ ยายเปี๊ยก!’
หลังจากนั้น เขาก็เล่าให้เธอฟังว่า เขาเป็นเพื่อนกับแม่ของเธอมาตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนตามที่ตนใฝ่ฝันแต่ก็ติดต่อกันอยู่เสมอจนกระทั่งแม่ของเธอแต่งงานกับแดนเนียลซึ่งเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยอเมริกัน
เขาก็ยังสนิทสนมกับครอบครัวของเธอ และวันที่แม่เธอปวดท้องคลอดกะทันหันเขาก็เป็นคนพาแม่เธอไปคลอดที่โรงพยาบาล เพราะขณะนั้น แดนเนียลกำลังออกไปซื้อผลไม้ที่แม่เธอบ่นอยากทาน เขาจึงได้เห็นเธอก่อนแดนเนียลที่กระหืดกระหอบตามมาในภายหลัง เขาเปรียบเสมือนพ่อทูนหัวของเธอทีเดียวเพราะช่วยครอบครัวเธอทุกอย่าง
เขายังเล่าอย่างขบขันว่าเธอเคยไปฝากรักเปียกๆ ใส่เครื่องแบบทหารของเขาถึงสองสามครั้งจนต้องกลับบ้านไปเปลี่ยนเสื้อใหม่ก่อนทำงานต่อทั้ง ยังเคยเลี้ยงเธอตอนพ่อแดนเนียลและแม่รัตนาวดีของเธอไม่สบายกันทั้งสองคน แต่ก็ต้องมาห่างไปเพราะต้องย้ายไปประจำการไกลจากจังหวัดกาญจนบุรีมากทีเดียว แล้วก็ขาดการติดต่อไป
เขาได้ทราบข่าวว่าทั้งแดนเนียลและรัตนาวดีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถคว่ำแล้วจึงติดตามหาข่าวเธอจึงได้รู้ว่าอยู่ในความดูแลของญาติ เขาอยากจะไปเยี่ยมเธอแต่ก็กลัวเธอจำเขาไม่ได้จึงได้แต่ติดตามข่าวอยู่ห่างๆ เมื่อรู้ว่าเธอหนีออกจากบ้านก็รีบติดตามหาตัวแต่ไม่ได้ข่าว
จนกระทั่งได้ยินข่าวจากพวกทหารว่ามีเด็กคนหนึ่งถูกนำมารักษาไข้ แต่พอหายไข้กลับไม่ยอมพูดจา ท่าทางเหมือนเด็กหนีออกจากบ้านจึงมาดูด้วยความหวัง หลอกถามเธอจนได้รู้ว่าเป็นลูกสาวของแดนเนียลและรัตนาวดีเพื่อนของเขาแน่แท้แล้วจึงคิดรับอุปการะ
ส่วนโสมเองนั้น เมื่อได้รู้ว่าเขาเปรียบเสมือนพ่อทูนหัว เธอก็รู้สึกว่าพบที่พึ่ง เหมือนนกที่บินอย่างอ่อนแรงในมหาสมุทรแล้วกลับเจอแผ่นดินใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์ เธอตัดสินใจว่าจะเป็นลูกสาวของเขา เขาจึงจัดการทุกอย่างเพื่อที่จะมีอำนาจปกครองเธออย่างถูกต้อง และทุกสิ่งก็เป็นไปตามที่หวังไว้หลังจากนั้นสองปี โดยเขาต้องเสียเงินให้ญาติของเธอเพื่อแลกกับลายเซ็นยินยอมยกเธอให้เป็นบุตรบุญธรรมของเขา
ชีวิตของเธอมีความสุขจนโลกที่เคยมืดกลับสว่างสดใส แม้จะไม่ร่ำ รวยแต่ก็พออยู่พอกินสุขกายสบายใจ เธอได้รับการอบรม ได้รับการศึกษา ได้รับความรักความอบอุ่นจาก ‘พ่อพฤกษ์’ ของเธอ พ่อสอนเธอทุกอย่างที่ทหารทำได้ ทั้ง ยุทธการทหาร การประกอบและการใช้อาวุธต่างๆ หรือแม้กระทั่งศิลปะการป้องกันตัวมือเปล่า คู่ซ้อมก็ไม่ใช่ใครไหน
อื่นนอกจากทหารใต้บังคับบัญชาของพ่อที่ต่างก็เต็มใจที่จะมาเป็นคู่ซ้อม
ให้เพราะเธอมักจะมีลีลาการต่อสู้ที่พลิกแพลงแปลกใหม่เนื่องมาจากการผสมผสานระหว่างศิลปะการต่อสู้หลายแขนงเท่าที่ร่ำเรียนมา วีรกรรมที่เธอก่อในค่ายทหารเล็กๆ แห่งนี้มีมากมาย ถูกทำโทษตามวิธีของทหารเท่าที่ผู้หญิงจะโดนทำโทษได้ก็หลายครั้ง แต่นั่นไม่ทำให้เธอหยุดความอยากรู้อยากเห็นได้
เธอเคยทำแม้กระทั่งสวมเสื้อทหารแอบติดตามทหารหน่วยแรงเยอร์ไปปฏิบัติภารกิจแถบชายแดนถึงสองวันโดยเขียนจดหมายบอกพ่อพฤกษ์ก่อนแอบหนีมา ประจวบกับที่แรงเยอร์หน่วยนี้ถูกทหารชนกลุ่มน้อยของพม่าโจมตี จึงมีเธอที่ยิงตลบหลังทหารกลุ่มนั้นอีกทีหนึ่ง แม้จะไม่มีประสิทธิภาพนักแต่ก็ทำ ให้อีกฝ่ายเกิดความระสํ่าระสายและสับสน หน่วยแรงเยอร์จึงสามารถพลิกสถานการณ์ออกมาจากความเสียเปรียบได้สะดวกขึ้น
แต่เหตุการณ์นี้ทำให้เธอถูกพ่อทำโทษด้วยก้านมะยมจนลายพร้อยไปทั้งตัว ทั้งยังถูกกักบริเวณอยู่ในห้องนอนกว่าสองอาทิตย์ แต่การถูกทำโทษแค่นี้ไม่ได้ทำให้เธอเข็ดแต่อย่างใด ฉะนั้น หลังจากงัดทุกกลเม็ดเด็ดพรายออกมาใช้เพื่อออดอ้อนพ่อพฤกษ์ให้ฝึกเธอตามวิธีของหน่วยแรงเยอร์ ในที่สุดพ่อก็ยอมใจอ่อน ขอความสมัครใจจากทหารหน่วยแรงเยอร์ให้สละเวลาอันน้อยนิดมาผลัดกันฝึกเธอในค่ายทหารเล็กๆ แห่งนั้น แม้จะลำบากเธอก็ไม่เคยบ่นเพราะรู้ว่าที่เธอกำลังฝึกอยู่ไม่เข้มงวดเท่าที่ฝึกจริง จะโอดโอยไปให้เสียเกียรติตัวเองทำไม
โลกอันสว่างสดใสกลับกลายเป็นมืดมิดในเช้าวันหนึ่งที่เธอมีอายุครบยี่สิบปี บริบูรณ์ ทหารนายหนึ่งที่เธอจำได้ว่าอยู่ในชุดปฏิบัติการของของพ่อมากดกริ่งเรียกเธอด้วยสีหน้าลำบากใจระคนเศร้า เธอกวาดตามองร่องรอยบาดแผลของเขาก่อนจะเปิดประตูรับ
‘ครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บมานี่’
‘เมื่อคืนนี้หน่วยของเราปะทะกับทหารพม่า เพราะเกิดความเข้าใจผิดกันเล็กน้อย’ ทหารนายนั้น บอกเบาๆ มองเธออย่างอึดอัดและสงสารจนเธอสังหรณ์ใจไม่ดี
‘พ่อพฤกษ์ให้มาบอกว่าไม่ต้องรอหรือคะ ยังเคลียร์งานไม่เสร็จใช่ไหม’
‘ท่านเสียชีวิตแล้ว ผมมารับคุณไปหาท่าน’ สิ้้นเสียงที่เปรียบเสมือนลูกปืนแล่นเข้าตัดขัวหัวใจของเธอ โสมรู้สึกเหมือนพื้นดินใต้เท่าสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างที่ยืนหยัดทรุดฮวบลงจนผู้แจ้งข่าวเกือบรับเอาไว้ไม่ทัน
‘ท่านกล้าหาญมาก เป็นผู้บังคับบัญชาที่พวกเรารักเหมือนพี่ชาย ท่านเสียสละให้พวกเราถอยร่นในขณะที่ท่านคอยยิงสกัดรั้งท้าย แต่… ท่านพลาด’
‘… แล้วพวกมันล่ะ’ เธอถามเสียงแผ่วแหบโหย เรี่ยวแรงเหือดหาย
‘พวกเราหกคนตัดสินใจยิงต่อสู้จนอีกฝ่ายตายหมดทุกนาย’
เธอไม่รู้ว่าเดินออกจากการประคองของทหารนายนั้น ได้อย่างไร แต่เธอก็ใช้สองเท้าของเธอเดินไปยังค่ายทหารเล็กๆ อันเต็มไปด้วยความทรงจำตามการนำของทหารนายนั้น แล้วเธอก็เห็นพ่อในกระโจม… พ่อนอนสงบอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศกของผู้ใต้บังคับบัญชาที่เคารพและรักพ่อ ร่างของพ่อถูกห่มด้วยตัวแทนของสิ่งที่พ่อทุ่มเททั้ง จิตวิญญาณเพื่อพิทักษ์ปกป้อง เป็นภาพที่เศร้าสะเทือนใจและองอาจอย่างที่เธอไม่เคยเห็นพ่อองอาจได้เท่านี้มาก่อน
เธอตรงเข้าไปคุกเข่าใกล้ศพท่านแล้วกอดท่านไว้ ร่ำไห้ในใจแต่ไร้น้ำตา เธอนึกถึงปณิธานของพ่อ พ่อพูดเสมอว่าเกิดมาเป็นคนไทยก็ต้องตายเพื่อชาติไทย มีชีวิตเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อเป็นทหาร เป็นรั้วของชาติ รับใช้แผ่นดิน ต้องพร้อมเสียสละทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย แล้วพ่อก็ได้บรรลุปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพ่อด้วยการพลีชีพเพื่อชาติ!
งานศพของพ่อถูกจัดขึ้น อย่างสมเกียรติของทหารกล้า ทุกคนตรงมาดูแลเธอด้วยความเป็นห่วงเพราะยังไม่มีใครเห็นเธอร้องไห้เสียน้ำตาแม้แต่น้อย มีเพียงความนิ่งเงียบที่น่าหวาดหวั่นเท่านั้น พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเธอร่ำไห้อยู่ในใจด้วยความทุกข์ทรมาน ที่ไม่แสดงออกก็เป็นเพราะพ่อฝึกเธอไม่ให้เสียน้ำตาให้ใครเห็นง่ายๆ และซ่อนเร้นอารมณ์ของตนไม่ให้ใครรับรู้
หลังจากเปิดพินัยกรรมแล้วมรดกทุกอย่างก็ถูกโอนมาให้เธอ เธอจึงใช้มันเพื่อศึกษาเล่าเรียนจนจบเนติบัณฑิต สอบได้ตั๋วทนายแล้วใช้วิชาความรู้ทวงความยุติธรรมที่เธอควรได้จากป้าแท้ๆ ของเธอจนสำเร็จ แต่หลังจากนั้น แทนที่เธอจะใช้ความรู้ในวิชาอาชีพกฎหมาย เธอกลับเลือกสมัครงานเป็นผู้คุ้มกันบุคคลสำคัญกับบริษัทรักษาความปลอดภัยยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในเอเชีย
เธอใช้เวลาพิสูจน์ฝีมือตนเองเพียงสองปีก็กลายเป็นมือดีของบริษัท ได้รู้จักนายธนุ ได้สัมผัสความอบอุ่นของ
ครอบครัวจากครอบครัวของธนุอีกครั้งแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความสุขสำหรับเธอก็ตาม
ขณะที่ความคิดอันหดหู่กำลังครอบงำจิตใจอยู่นั้น ฉับพลันเรือแพก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โสมได้ยินเสียงไม้แพหักมาจากทิศใดไม่ทราบได้ ก่อนที่พื้น ใต้ฝ่าเท้าจะโคลงเคลง แพไม้แยกออกจากกันและร่างที่กำลังเสียหลักก็ดิ่งจมลงสู่ใต้น้ำทันที หญิงสาวตั้งสติมั่นแหวกว่ายในกระแสธารขึ้นสู่ผิวน้ำ หากแต่ขณะที่ไม่ทันระวังตัวนั้น ท่อนไม้ไผ่ปล้องใหญ่อันเป็นส่วนประกอบของเรือแพที่กำลังจมดิ่งลงน้ำก็ตรงมายังเธอและเข้าปะทะที่ท่อนขาจนเธอไม่อาจทนความเจ็บปวดใช้ขาตีน้ำได้อีก
เธอตะเกียกตะกายตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด อากาศในปอดสำลักออกมาจนหมดก่อนจะถูกแทนที่ด้วยน้ำจำนวนมากที่ทะลักเข้าสู่ปากและจมูกจนปวดแสบปวดร้อนไปหมดเหมือนคนถูกเอาน้ำร้อนจับกรอกไปทุกทวารบนร่างกาย ชั่ววินาทีนั้น เธอตระหนักได้ทันทีว่าอาจจะสิ้นบุญที่ทำมาในชาตินี้แล้ว
แล้วจะกลัวอะไรเล่าโสม เธอเองก็ไม่ได้พิศวาสโลกใบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ แต่ถึงอย่างไรเธอก็รักชีวิตนี้นี่นา แม้จะไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่การปล่อยให้ตัวตายโดยไม่หวงแหนชีวิตที่บุพการีมอบให้ย่อมเป็นบาป
โสมฮึดสู้ที่จะหนีจากเงื้อมมือของยมทูตอีกครั้ง หญิงสาวพยายามตะเกียกตะกายแต่กลับพบว่าเรี่ยวแรงของตนถดถอยลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาก็พร่าลาย สุดท้ายร่างทั้งร่างเหมือนถูกถ่วงด้วยหินก้อนใหญ่โดยมีมือยักษ์ที่มองไม่เห็นฉุดลงสู่ก้นบึ้งแห่งมรณะจนไม่อาจยื้อยุดชีวิตเอาไว้ได้อีกต่อไป!
แสงจันทร์วันเพ็ญสาดส่องไปทั่วตำหนักจันทรา จนกระทั่งตำหนักเกิดแสงมลังเมลืองราวกับต้องมนต์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด มีเสียงดนตรีแผ่วพลิ้วมาตามสายลม จนรูปปั้นนางอัปสรที่มีใบหน้าแย้มสรวลดูราวกับจะเริงระบำไปตามเสียงเพลงนั้น อย่างมีชีวิต ไม่นานก็เกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ใจขึ้น เมื่อบ่อจันทราเปล่งแสงเรืองรองขึ้น และปรากฏ
ลูกไฟสีน้ำเงินหลายร้อยหลายพันดวงลอยอยู่เหนือผิวน้ำ
ไม่กี่อึดใจต่อมาร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวและทะลึ่งพรวดขึ้น มาบนผิวน้ำ ร่างนั้นหอบหายใจแรงก่อนพยายามตะเกียกตะกายว่ายมาแตะที่ขอบบ่อ แล้วขึ้นมานอนแผ่อย่างเหนื่อยอ่อน ร่างนั้น อยู่ในชุดสูทสีดำสนิท รูปร่างสูงเพรียว ผมซอยสั้นเข้ารูปดวงหน้าคมคาย คิ้วเข้มพาดเฉียงเหนือดวงตาคมดุ สีน้ำเงิน ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาว จมูกโด่งสวย ริมฝีปากอวบอิ่มทรงเสน่ห์ มือเรียวบางแต่กร้านเพราะใช้อาวุธอยู่เป็นประจำ ยกขึ้น ลูบน้ำออกจากใบหน้า ก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และมองสำรวจไปรอบๆ ด้วยความฉงนฉงาย
ที่นี่ที่ไหน
เกิดเสียงเคลื่อนไหวดังอยู่ใกล้ๆตัว ทำให้ร่างสูงเพรียวหันไปหาต้นเสียงนั้น ทันทีด้วยสัญชาตญาณระวังภัย ซึ่งบอดี้การ์ดทุกคนได้รับการฝึกฝนมาให้มีประสาทสัมผัสที่ไวในเรื่องพวกนี้ก่อนจะเห็นร่างสูงกำยำในชุดคลุมดำสนิทมายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า คนๆ นั้น สวมหน้ากากสีดำทะมึนดูน่าสะพรึงกลัวนัก ทำให้ร่างสูงเพรียวรู้สึกหวาดหวั่น จึงถอยไปข้างหลังก้าวหนึ่ง
ทันใดนั้น ร่างในชุดคลุมสีดำก็ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วกระชากร่างสูงนั้น ให้เข้ามาหาตัว ก่อนพูดว่า “เจ้าผุดขึ้น มาจากบารายจันทรา หรือเจ้ามีความเกี่ยวข้องกับแม่หญิงจันทรวดี!” ราชันไพสัณฑ์ตรัสถามชายหนุ่มหน้าตาคมคายในชุดแต่งกายประหลาดด้วยความตื่นเต้น “ตอบข้ามา! แม่ข้าส่งเจ้ามาใช่รึไม่!”
ร่างสูงเพรียวยืนแน่นิ่งไม่ตอบคำถาม เพราะกำลังหวาดหวั่นและสับสน เมื่อถูกเขย่าและเร่งเร้าให้ตอบนานเข้า จึงเปิดปากพูดออกมาว่า “ที่นี่ที่ไหน”
ราชันไพสัณฑ์ทรงหรี่พระเนตรลง ก่อนจะทรงนึกฉงนพระทัยว่าเหตุไฉนชายหนุ่มหน้าตาคมคายผู้นี้ถึงได้มีเสียงคล้ายสตรี หรือบางทีอาจเป็นเพราะเจ้าตัวเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาที่นี่กระมัง ฉะนั้นจึงประทานคำตอบให้ด้วยพระสุรเสียงห้าวห้วนและหนักแน่นว่า “กณวรรธน์นคร!”
พระองค์สังเกตได้ว่าชายหนุ่มในเครื่องแต่งกายประหลาดเบื้องหน้ามีอาการผงะนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่ดวงตาสีน้ำเงินคู่สวยจะฉายรอยบางอย่างที่พระองค์แปลไม่ออก
“ฉันคงกำลังฝันไป” โสมพูดกับตัวเองเบาๆ
แต่ราชันหนุ่มทรงสดับชัดเต็มสองพระกรรณ “เจ้าไม่ได้ฝันไป”
“ฉันไม่เชื่อ” หญิงสาวส่ายหัวแรงๆ ก่อนจะมีอาการหน้ามืด พื้นใต้เท้าโคลงเคลงจนร่างโอนเอนจะล้ม แล้วทุกสิ่งก็ดับวูบลง มีเพียงความเงียบงัน
โสมกำลังล่องลอยอยู่ในความมืดและความว่างเปล่าที่แสนเย็นยะเยือก หญิงสาวรู้สึกว่ากายเบาหวิวประหนึ่งไม่มีตัวตน สมองมึนงงละม้ายอยู่ในห้วงนิทรา พลันแสงสว่างจุดเล็กในที่อันไกลโพ้นก็ส่องเข้ามาในดวงตา มันขยายใหญ่ขึ้น พร้อมเสียงบทสวดอันแสนเยือกเย็นที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแสงสว่างอันเจิดจ้าก็ทำให้เธอตาพร่าจนต้องหลับตา ครั้นลืมตาขึ้น อีกครั้งก็พบว่าสติสัมปชัญญะที่หายไปกลับมาครบถ้วนอีกครั้ง
เธอกำลังอยู่ในงานศพของใครกัน
โสมมองสำรวจศาลาที่ใช้จัดงานศพด้วยความงุนงง เห็นแขกเหรื่อผู้มีใบหน้าเศร้าหมองซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนคุ้นเคยกัน ทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน ทหารอดีตใต้บังคับบัญชาของพ่อและครอบครัวของธนุผู้เป็นสหายสนิท หญิงสาวแปลกใจที่ทุกคนไม่เห็นเธอ แม้เธอจะเพียรพยายามติดต่อกับพวกเขา และแล้วสายตาก็พบกับภาพที่ตั้ง อยู่หน้าศพ เป็นภาพที่ทำให้เธอเย็นเฉียบไปทั้ง ตัวคล้ายถูกน้ำเย็นสาดใส่
รูปของเธอตั้งอยู่หน้าศพ!
หญิงสาวก้าวเท้าไปใกล้รูปนั้น และจดจ้องมันอย่างคาดหวังว่าในวินาทีใดวินาทีหนึ่งเธอจะพบว่าตาฝาดไป แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อความจริงเปิดเผยอยู่เบื้องหน้า เสียงพระสงฆ์บริกรรมบทสวดอันสงบเย็นสั่นสะท้านไปทั้ง วิญญาณ ภาพบรรยากาศงานศพของ ‘โสม พยัคฆ์ดำรง’ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโลกถล่มทลายอยู่เบื้องหน้า ภาพความ
ทรงจำบางอย่างผุดขึ้น มาจนทำให้เข้าใจกระจ่าง
เธอตายแล้ว… ตายในอุบัติเหตุเรือแพอับปาง!
เธอยืนตะลึงงันกับความจริงอยู่ครู่ใหญ่จึงเหลือบมองพวงหรีดที่ตั้งอยู่รายรอบแล้ววกไปที่โลงศพโลงใหญ่ประดับประดาสวยงาม สองเท้าเบาหวิวก้าวเข้าไปใกล้คล้ายละเมอ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คุณป้ากาญจนาผู้เป็นแม่ของธนุเดินมาเคาะโลงศพอันงดงามด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“แม่วางข้าวไว้ตรงนี้นะลูก ของโปรดของหนูทั้งนั้น ทานให้อิ่มนะจ๊ะ” เสียงของคุณกาญจนาสั่นเครือและดวงตาก็รื้้นน้ำ ปริ่มจะรินไหล นางสูดจมูกแรงๆ หนึ่งที วางถาดอาหารที่เต็มไปด้วยของโปรดของโสม พยัคฆ์ดำรงเอาไว้ใกล้ๆ โลงศพ ปักธูปหนึ่งดอกบนสำรับ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งในตำแหน่งประธานของงานคู่กับนายธนุ
โสม พยัคฆ์ดำรงอยากจะหลั่งน้ำตาด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาจึงไม่รินไหล หญิงสาวยื่นมือเข้าไปหวังจะหยิบอาหาร แต่กลับพบว่าไม่สามารถแตะต้องวัตถุใดได้เลยแม้จะลองครั้งแล้วครั้งเล่า
พลันให้รู้สึกปลดปลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความอาลัยอาวรณ์ที่บังเกิดก่อนหน้านั้น มลายหายไปทีละเล็กทีละน้อยและจะหมดไปในที่สุด อาหารสำรับนี้มีประโยชน์อะไรกับคนที่สิ้นกายหยาบไปแล้วอย่างเธอ ดอกไม้ที่ประดับอยู่ในงานไม่ได้ให้อะไรแก่เธอ ความสวยงามของโลงศพไม่เป็นประโยชน์อันใด เพราะ ‘ร่าง’ ซึ่งทอดกายอยู่ในนั้น จะเหลือเพียง
เถ้ากระดูกเพียงกำมือหนึ่งเมื่อสิ้นการฌาปนกิจ
“อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข”
‘สังขารทั้งหลาย มีความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับสลายไป การเข้าไปทำความสงบแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เป็นเหตุแห่งความสุข’
โสม พยัคฆ์ดำรงพริ้มตาหลับสดับฟังเสียงพระสงฆ์ด้วยจิตอันผ่องใส หญิงสาวสามารถเข้าใจบทสวดภาษาบาลีนี้ได้อย่างน่าประหลาด รับรู้เหมือนปลาที่ต้องอยู่ในห้วงธารา เหมือนนกที่รู้ว่าสามารถบินได้บนท้องฟ้า คำถามของเธอมีคำตอบอยู่ในบทนี้เอง
“คุณหมอใหญ่มาแล้วธนุ ลูกช่วยไปต้อนรับเขาที แม่เดินไม่ไหว” เสียงคุณกาญจนาลอยมากระทบการรับรู้ของหญิงสาว เธอเห็นนายธนุลุกขึ้น ไปต้อนรับแขกที่เพิ่งเข้ามาใหม่อย่างนบน้อม เขาเป็นคนที่มีบุคลิกโดดเด่นมาก ร่างสูงโปร่งเหมือนมีประกายบางอย่างที่ทำให้คนเกิดความเลื่อมใส อบอุ่นใจ สบายใจแต่ก็เกิดความยำเกรงคล้ายกับมีรัศมีแห่ง
อำนาจเปล่งประกายออกมาจากรอบตัวเขา
“สวัสดีครับคุณหมอใหญ่” ธนุยกมือไหว้ชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่าเขา พร้อมผายมือเชิญให้ไปนั่งร่วมกันในตำแหน่งประธานของงาน
“ขอโทษด้วยที่ไม่ได้มาช่วยคุณก่อนเริ่มงาน” เสียงทุ้มนุ่มที่เปล่งออกมาทำให้โสมรู้สึกอบอุ่นใจ เธอจึงก้าวเท้าเข้าไปหาเขาที่กำลังทรุดลงนั่งข้างคุณกาญจนาและประนมมือไหว้นางอย่างงดงาม
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องขอบพระคุณหมอใหญ่และครอบครัวมากกว่า” ธนุเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง เพราะคุณหมอใหญ่ท่านนี้เป็นผู้จัดการเกี่ยวกับศพของเพื่อนรักของเขาในช่วงแรกทั้งหมด แถมยังช่วยเป็นประธานงานศพร่วมกับครอบครัวของเขาที่นับเอาผู้ตายซึ่งไม่เหลือญาติพี่น้องที่สามารถพึ่งพาได้เป็นคนในครอบครัวมานานแล้ว ทำให้ความวุ่นวายและปัญหาที่ควรจะติดขัดกลายเป็นเรื่องง่ายไปในพริบตา
“ผมทำเพื่อมนุษยธรรม” เขาตอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าสงบ ริมฝีปากรูปสวยยกขึ้น เป็นรอยยิ้มเล็กน้อยแต่ทำให้ผู้มองประทับใจได้มากล้น
“ถ้าโสมได้รับรู้ เธอคงปลื้มใจ” คุณกาญจนาพูดจบก็ทำท่าจะน้ำตาร่วงอีกครั้ง มือใหญ่ขาวราวกับน้ำนมของคุณหมอใหญ่กอบกุมมืออวบอูมเอาไว้อย่างสุภาพนุ่มนวล เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาด้วยเสียงที่ราวกับอันอบอุ่น
“ผมคิดว่าเธอรับรู้ความรู้สึกของทุกคน และเธอคงไม่สบายใจหากคนที่เธอรักและเคารพนับถือเป็นทุกข์ อย่าให้เธอต้องมีห่วงมีกังวลเลยนะครับ ปล่อยวางอารมณ์ที่เศร้าหมองลงเถอะ”
คุณกาญจนากล้ำกลืนน้ำตา สงบจิตสงบใจอยู่ชั่วครู่หนึ่งอาการจึงเกือบเป็นปกติ นางหันมายิ้ม ให้นายแพทย์ใหญ่ผู้จิตใจงดงามแทนคำขอบคุณ
โสมรู้สึกซาบซึ้ง ในน้ำจิตน้ำใจอันงดงามของเขาที่ทำให้ญาติผู้ใหญ่ที่เธอนับถือเริ่มตระหนักได้ถึงการปล่อยวาง
‘ขอบคุณค่ะ’ โสม พยัคฆ์ดำรงเอ่ยบอกเขา และหากเธอตาไม่ฝาด ดวงตาสีเทากระจ่างราวกับเพชรน้ำงามที่แฝงเร้นพลังอำนาจของเขาเลื่อนมาสบตาเธอชั่วอึดใจหนึ่งพร้อมรอยยิ้มปรานีก่อนที่ทั้งหมดจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น
หรือเขาจะเห็นเธอ!
‘คุณเห็นฉันใช่ไหมคะ’ เธอเอ่ยถาม แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากเขา ‘อย่างน้อยขอให้ฉันได้ทราบว่าคนที่มีนํ้าจิตนํ้าใจงดงามอย่างคุณชื่ออะไร’
ดวงตาสีเทากระจ่างทอแสงอ่อนโยนหันมาสบนิดหนึ่งก่อนเบือนไปยังกระดานที่เขียนบอกว่าใครเป็นประธานในพิธีวันนี้ หญิงสาวมองตามแล้วอ่านชื่อของเขา อธิษฐานว่าหากชาติหน้ามีจริง หากเธอได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไซร้จะขอมาตอบแทนบุญคุณของเขาให้จงได้
‘นายแพทย์กณวรรธน์ แพทริค แดนเจอร์มอนด์’
คุณพระ! เธอไม่มีทางอ่านผิดว่าเขาชื่อกณวรรธน์!
ภาพความทรงจำ หนึ่งผุดขึ้นมาในสมองทันที นิมิตแปลกประหลาดที่มีชายสวมหน้ากากน่ากลัวคนหนึ่งบอกเธอว่าที่ในความฝันแห่งนั้น คือกณวรรธน์นคร มันคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ชื่อเหมือนกันชวนให้พิศวงในใจ ดวงจิตอันฟุ้งซ่านของเธอคงทำให้เกิดภาพนิมิตอันแปลกประหลาดไปเท่านั้น กระมัง
เมื่องานเลิกและแขกเหรื่อทยอยกลับกันจนหมด นายแพทย์หนุ่มก็อยู่ช่วยจัดการธุระต่างๆ จนเสร็จก่อนลากลับ นางกาญจนาและธนุจึงเดินมาส่งชายหนุ่ม
โสมเองก็ตามไปจนกระทั่งถึงรถคันงามทั้ง สามก็เอ่ยลากัน หญิงสาวเองก็จะก้าวเข้าไปขอบคุณเขาเพราะมั่นใจว่าเขารับรู้ถึงการมีตัวตนของเธอแน่ แต่กลับถูกตรึงไว้ด้วยสายตากึ่งปรานีกึ่งตักเตือนของหญิงในชุดขาวที่ปรากฏขึ้น เพื่อขัดขวางไม่ให้เธอเข้าไปใกล้รถของนายแพทย์ใหญ่ได้
แม่ย่านางรถอย่างนั้นหรือ
“ขึ้น รถสิ คุณโสม” เสียงอันแผ่วเบาของนายแพทย์หนุ่มทำให้ปราการขัดขวางทะลายลง หญิงในชุดขาวมองเธออย่างปรานีชั่วพริบตาหนึ่งก่อนหายไป แล้วเธอก็พบว่าสามารถเข้ามานั่งในรถตรงเบาะข้างคนขับได้โดยอาศัยเจตจำนงของจิตที่จะสัมผัสกับวัตถุนั้น
‘คุณจะพาฉันไปไหนคะ’ หญิงสาวถามเขาที่กำลังเลื่อนรถทะยานออกจากบริเวณวัดสู่ถนน
นายแพทย์กณวรรธน์ แพทริค แดนเจอร์มอนด์ไม่ตอบในทันที เสี้ยวหน้างดงามถูกแสงจากท้องถนนสร้างแสงเงาให้ใบหน้านั้น แลดูลึกลับแต่ก็น่าดูยิ่งนัก รอยยิ้ม อ่อนหวานและแสงตาอันลึกซึ้ง เปล่งประกายจำรัสยิ่งกว่าดวงดาราบนผืนฟ้าในเดือนแรมแทบทำให้เธอตาพร่าก่อนที่น้ำเสียงทุ้มนุ่มราวกับคีตาจะเอ่ยตอบ
“ไปหาภรรยาของผม เธอคงอยากพบคุณและบางทีเธออาจจะช่วยคุณได้!”