ตอนที่ ๑๔
เรื่องลับ
โสมหนีราชันไพรสัณฑ์มานอนที่เรือนพักทหารของตน ยิ่งคิดยิ่งครั่นเนื้อครั่นตัวจนต้องรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ หญิงสาวเดินมาทิ้งตัวนอนเขลงที่เตียงริมหน้าต่าง วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้น กับเธอมากมายจนรู้สึกมึนชาไปหมด
ตั้งแต่เรื่องความรู้สึกที่เธอมีต่อธรรม์ เรื่องซ่องโสเภณีเด็กของคนทางการและเรื่องพฤติกรรมของราชันหน้ากากภูต เธอเลือกไม่ถูกว่าควรจะหยิบเรื่องไหนมาคิดใคร่ครวญก่อนเพราะต่างก็เป็นเรื่องที่รบกวนจิตใจพอกัน คิดไปคิดมาก็คิดไม่ตก เผลอหลับไปเมื่อใดก็ไม่ทราบแต่ตื่นขึ้น มาอีกทีท้องฟ้าก็ถูกห่มด้วยสีน้ำเงินเข้มเสียแล้ว
โสมผุดลุกขึ้นนั่งหวังจะมองท้องฟ้า พลันวัตถุเนื้อแข็งสีดำก็ลอยผ่านหน้าต่างมากระแทกกลางหน้าผากเต็มแรง หญิงสาวได้ชมทั้งดาวที่ระยิบระยับอยู่ตรงหน้าและได้ชมทั้งเดือนซึ่งแบ่งภาคออกมาได้หลายดวง มือพยายามควานเอาวัตถุนั้นขึ้น มาแล้วเพ่งมองไปนอกหน้าต่าง
“ใครวะ! ออกมาเดี๋ยวนี้เลย!” เธอโหวกเหวกน้ำตาเล็ดขณะลูบคลำหน้าผากอันร้าวระบมเหมือนถูกขวานเฉาะ คาดว่าไม่นานจะต้องปูดขึ้น มาเป็นลูกมานาวสีคล้ำลูกย่อมๆ จากหางตาเห็นร่างทะมึนในชุดดำยืนอยู่ในท่าคล้ายกำลังหลบหนีแต่ชะงักมองมาที่เธอเสียก่อน เธอจึงร้องออกมาด้วยความอาฆาต “งานการไม่มีทำรึไงถึงได้วิ่งเอาหินมาขว้างคน
อื่นเขาน่ะ!”
ร่างดำทะมึนสูงกำยำงอลงเล็กน้อยพร้อมเสียงกลั้นหัวเราะ
คนที่ถูกหินปาศีรษะเตรียมยกอาวุธในมือขว้างกลับไป หากไม่เห็นลักษณะเฉพาะของมันเสียก่อน โสมรู้สึกเหมือนถูกคนเอาน้ำเย็นสาด เบิกตามองหินสลักสีดำฐานสี่เหลี่ยมรูปหัวเสือโคร่ง ด้านใต้ฐานคือแป้นพิมพ์น้ำหมึกลงสัญลักษณ์ตราพระราชลัญจกรของราชันไพรสัณฑ์!
งานเข้า!
โสมหันขวับไปมองยังที่เงาร่างทะมึนยืนอยู่เป็นครั้งสุดท้ายก็พบว่าคนได้หายไปแล้ว หญิงสาวผุดลุกขึ้นเหมือนมีไฟลนก้น กำตราพระราชลัญจกรแน่นจนมือซีดขาว เหงื่อผุดพรายเต็มตัวอย่างรวดเร็ว เธอสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วตะโกนแหกปากดังลั่นจนคนแตกตื่น
“มีผู้บุกรุก! เป็นชายฉกรรจ์ชุดดำจำนวนหนึ่งคน ปิดวังค้นหาให้ทั่วอย่าให้รอดไปได้!” เธอตะโกนพลางเปลี่ยนเครื่องแบบทหารภูตรวดเร็ว คว้าตราพระลัญจกรแล้ววิ่งออกจากเรือนพัก พลางร้องตะโกนด้วยความร้อนใจยิ่งยวดว่า “แบ่งกำลังไปตามอารักขาราชันด้วย!”
เธอต้องตามหาราชันให้เจอ!
ความโกลาหลยามคํ่าทำเอาเหล่าทหารทุกหน่วยพลิกแผ่นดินในวังค้นหาคนกันจ้าละหวั่น
โสมวิ่งยังไม่ทันถึงพระตำหนักสุริยันก็ถูกทหารภูตจำนวนหนึ่งก็ตรงเข้ามารายงานว่าราชันหน้ากากภูตเร้นพระองค์หายไปอย่างลึกลับ หญิงสาวแทบจะกรีดร้อง กำสิ่งที่อยู่ในมือแน่นราวกับจะบีบมันให้แตก
“ทำไมไม่ออกตามหากันล่ะ” เธอร้อนใจเหลือจะกล่าว แต่ทหารภูตพวกนี้กลับเฉยอย่างน่าขัดใจ
“ทรงหลบออกจากวังเงียบๆ อยู่บ่อยครั้ง เดี๋ยวก็เสด็จกลับเองขอรับ”
โสมอยากจะจุดธูปถามแม่หญิงจันทรวดีเหลือเกินว่าตนทำกรรมอันใดมาถึงต้องได้มารู้จักกับราชันพระองค์นี้หญิงสาวเดินคอตกไปพระตำหนักสุริยันพร้อมเหล่าทหารภูตแล้วนั่งรอรายงานว่าไม่พบตัวผู้บุกรุก ส่วนตัวเองก็เดินสะโหลสะเหลไปทิ้ง ตัวลงนอนที่แท่นของตนในห้องพระบรรทม มือก็ชูสิ่งที่อยู่ในมือมาแต่ต้นขึ้น ด้วยดวงตาปริ่มน้ำเพราะอัดอั้นที่
ถูกรังแก
อีตาราชันหน้ากากภูตตัวป่วนเอาตราพระราชลัญจกรมาขว้างใส่กลางหน้าผากเธอแล้วก็หลบหายออกไปจากวัง มิเท่ากับว่างานจำนวนมหาศาลที่จะหลั่งไหลมาในเช้าวันพรุ่งเธอต้องเป็นผู้รับภาระไปหรอกหรือ ทั้งไม่รู้ว่าจะเสด็จกลับมาเมื่อไหร่อีกด้วย หากทรงพระสำราญอยู่ข้างนอกเสียหลายวันเธอไม่ตายเพราะต้องทนนั่งตรวจงานในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ทรงยัดเยียดให้หรอกหรือ!
“ท่านโสม” น้ำเสียงลำบากใจของมหาดเล็กหน้าห้องเรียกให้คนที่กำลังคาดโทษราชันจอมป่วนลุกขึ้น เอ่ยอนุญาตให้เดินเข้ามารายงานความ “คือว่า… ค่ำ______________นี้มีฎีกาด่วนรอลงพระปรมาภิไธย…”
“เอาเข้ามาไว้ที่นี่เลย” ท่านราชองครักษ์ที่บัดนี้ควบหลายตำแหน่งบอกอย่างละเหี่ยใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่แน่ใจของมหาดเล็ก หญิงสาวจึงโบกตราพระราชลัญจกรให้เห็น “ทรงขว้างมาให้ฉันก่อนจะไปน่ะ”
มหาดเล็กเบิกตาโตเท่าไข่ห่านมองตราพระราชลัญจกรสลับกับผู้ถือด้วยความตะลึงลาน ก่อนผลุนผลันออกจากห้องไปชั่วครูแล้วกลับมาพร้อมฎีกาด่วนที่บอกหอบมาจนเต็มอ้อมแขน
เพราะราชันไพรสัณฑ์แท้ๆ ฝากไว้ก่อนเถอะ!
ผู้ที่ถูกท่านราชองครักษ์โสมคาดโทษในใจนั้น บัดนี้ได้ทรงอาชาไนยสีดำสนิทมุ่งหน้าออกไปนอกตัวเมือง ครึ่งชั่วโมงต่อมาจึงถึงเรือนขนาดกลางเรือนหนึ่ง พระองค์ส่งม้าทรงให้ข้ารับใช้รับไปดูแลแล้วเดินขึ้นเรือนไปโดยง่าย สตรีงามผู้เปี่ยมไปด้วยจริตจะก้านแพรวพราวนางหนึ่งยืนรอรับหน้าประตูเรือน นางคือแม่ม่ายสามีตายที่อยากหลบหนีความแร้นแค้นจึงเสาะแสวงหาผู้เลี้ยงดูจนยินยอมเป็นเมียลับผิดประเพณีให้แก่ชายผู้ที่ไม่มีใครรู้ที่มา นางรับใช้ถอยลงจากเรือนทันทีที่รู้ว่าเจ้านายใหญ่มา
ดังนั้นเมื่อหับประตูเรือนปิดแม่ม่ายผู้เปี่ยมเสน่ห์ก็เข้าเคล้าคลอพระวรกายสูงใหญ่กำยำ ราชันไพรสัณฑ์ในคราบบุรุษหนุ่มนิรนามเบี่ยงพระพักตร์หนีเมื่อมือเรียวจะปลดผ้าปิดพระพักตร์หมายประทับจุมพิต ดวงพระเนตรวาวโรจน์และดุกร้าวจนคนมองตัวสั่นด้วยความกลัว ผละออกห่างทันที
“ข้าเคยเตือนเจ้าแล้วว่าไม่อนุญาต หากมีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่เลี้ยงเจ้าไว้” พระสุรเสียงเยียบเย็นและพระเนตรเต็มไปด้วยเพลิงพิโรธทำให้หญิงม่ายเข่าทรุด ส่ายหน้าหนีด้วยความหวั่นใจและสาบานว่าจะจดจำให้ขึ้น ใจแม่นมั่น
“ข้าจะไปอาบน้ำ” รับสั่งเสร็จก็เดินลงจากเรือนตรงไปที่ท่าน้ำทันที
ข้ารับใช้นำฉากผ้าสีดำสนิทมากางกั้น บังตาแล้วทุกคนต่างล่าถอยออกจากบริเวณนั้นเสียสิ้น
ราชันหนุ่มสลัดฉลองพระองค์วางบนพื้นหญ้าแล้วกระโจนลงสายน้ำเย็นฉ่ำ แหวกว่ายในห้วงธาราราวกับมัจฉาก่อนจะลอยคอเอากายอิงท่าน้ำ พลางคิดถึงความสับสนปั่นป่วนของพระองค์ พระสหายของทูลกระหม่อมแม่คนนั้นช่างเป็นตัวปัญหาเสียจริง วันๆ เอาแต่ทำทะเล้นไม่ได้เรื่อง หากแต่ยามจริงจังกลับทำตนเป็นคนคมในฝัก เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ผู้อยู่ใกล้นิยมชมชอบนัก พระองค์ก็นิยมชมชอบชายผู้นั้นเช่นกัน แต่ดูแล้วออกจะมากเกินพอดี เกินขอบประเพณี และเกินกว่าที่พระองค์จะทรงยอมรับได้ง่ายๆ
หรือตัวจะชมชอบแต่เพียงโสมเท่านั้น?!
ความปั่นป่วนในพระทัยทำให้ไม่ทรงสดับถึงการมาของนางปานใจ
เมื่อมีเสียงแหวกน้ำตรงมาถึงจะทรงรู้พระองค์ ผิวขาวผ่องของนางสะท้อนแสงคาคบไต้ดูเรืองรองและเป็นประกายด้วยหยาดน้ำ ดวงตาโตเปล่งประกายระยับและริมฝีปากอวบอิ่มเผยออย่างยั่วยวน ทรงปล่อยให้นางขัดถูร่างกายให้ชั่วครู่ก่อนจะรวบร่างระทดระทวยนั้นเข้าเสพสมอารมณ์หมายกลางสายธารฉํ่าชื่นโอบล้อม
แต่ในช่วงเวลาอันแสนอภิรมย์ที่สุดกลับมีภาพของโสมเข้ามาเป็นสัญญาณอันตรายที่ทำให้ราชันหนุ่มสลัดร่างนั้น ออกจากกายทันที ทรงขึ้น จากน้ำแล้วหยิบผ้าที่นางปานใจเตรียมมาให้เพื่อผลัดเปลี่ยนโดยไม่คิดจะอาทรนางปานใจแม้แต่น้อยเพราะไม่ทรงผูกพันด้วยก่อนเสด็จขึ้นเรือนด้วยความเร็วปานพายุบุแคมเฉกเช่นในดวงพระราชหฤทัยที่ปั่นป่วนรุนแรงดุจมีพายุใหญ่
ราชันไพรสัณฑ์ปลดผ้าปิดพระพักตร์ออกแล้วฉวยเอาผืนใหม่ในตู้เสื้อผ้ามาใช้ ออกมาครั้งนี้ไม่มีเวลาปลอมพระพักตร์ด้วยจิตใจร้อนรุ่มหนักดังนั้น จึงต้องปกปิดใบหน้าของตนให้ดีที่สุดเพื่อไม่เป็นการผิดต่อตนเองที่ตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่าจะไม่ให้ใครได้ชมพระพักตร์นอกจากเมียเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก่อนจะทิ้งพระวรกายนอนบนเตียงฟูกเอาพระพาหาก่ายพระนลาฏ
พระองค์ทิ้งงานมาเพราะวางพระทัยว่าผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง แบบเฉพาะกิจผู้นั้น จะสามารถจัดการงานได้อย่างดี เมื่อมีพระดำริถึงตอนที่ทรงขว้างตราพระราชลัญจกรเข้าไปในหน้าต่างของเรือนพักแล้วโสมโผล่หัวขึ้นมาพอดีจนตราอันหนักอึ้ง กระแทกเข้ากลางหน้าผากเต็มแรงแล้วก็ทรงแย้มพระสรวลออกมาเสียงดัง ท่าทางโมโหโทโสและคำพูดฉุนเฉียว
ของเขาแสนจะน่ารักและน่าขบขันมากกว่าน่ายำเกรง
ยิ่งสีหน้าที่เขาก้มลงมองตรานั่นราวกับเจอผีสางก็ยิ่งน่าขัน เขายังคงความแสบสันด้วยการสั่งให้ทหารพลิกวังค้นหาพระองค์ที่ถูกเรียกเป็นคนร้าย คาดว่าหากพระองค์พลาดถูกจับได้แล้วไซร้ ด้วยการแต่งกายอันละม้ายคนร้ายคงต้องโดนรุมซ้อมเสียหนักเป็นแน่
ป่านนี้โสมคงกำลังคิดถึงข้าอย่างยิ่งทีเดียว!
บานทวารเปิดออกพร้อมร่างอวบอิ่มที่กระมิดกระเมี้ยนเดินเข้ามาด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้น
ราชันทรงทอดพระเนตรนิ่งยามร่างนั้นทรุดนั่งข้างกายแล้วเริ่มลูบไล้พระอุระด้วยริมฝีปาก ภายนอกหน้าต่างลมหวีดหวิวพลันกรรโชกแรงจนหน้าต่างหับปิดลงทั้งพัดพาเมฆฝนหลงฤดูมา ห่าฝนตกชำแรกจนชุ่มฉ่ำโหมกระหน่ำไม่ปรานี ฟ้าคำรามลั่นสาดแสงแปลบปลาบย่างยามสางฝนจึงซาและทอดทิ้ง ไว้เพียงความฉ่ำชื่นที่พาให้สรรพสิ่งอิด
โรยสลบไศลไป
กระนั้นราชันไพรสัณฑ์ก็ไม่อาจข่มพระเนตรบรรทมได้ เพราะในห้วงพระดำริยามความสุขสมท่วมท้นนั้น ปรากฏภาพของโสมทุกครั้งไป!
แม้ในยามนั้นท่านก็มิปล่อยข้าหรือโสม ทำไมจึงมีแต่ข้าที่ว้าวุ่นใจยิ่งนัก!
ธรรม์เดินออกจากห้องส่วนตัวของตน สตรีนางหนึ่งพร้อมสาวใช้ผู้ติดตามสองนางก็ก้าวเข้ามาขวางทางทันที ชายหนุ่มเขม้นมองแล้วถอนหายใจ นางคือสตรีเจ้าของเรือนร่างบอบบาง ผิวสีเหลืองอ่อนเพราะลงขมิ้นขัดกาย ดวงหน้าเรียวเล็ก คิ้วโก่งดั่งคันศร ดวงตาหวานปานน้ำผึ้งจะหยาดหยด จมูกเล็กและริมฝีปากรูปกระจับ จัดได้ว่าเป็นสตรีที่งามพริ้ม
เพรานางหนึ่ง
เขาเคยพึงใจนางในฐานะสตรีที่เป็นภรรยา แต่มันก็เป็นเพียงความพึงใจหามีใจผูกสมัครรักใคร่ไม่ ยิ่งมาวันนี้เขากลับรู้สึกว่านางคือบ่วงรัดอันยากจะคลายออกเมื่อเขาได้พบสตรีที่อยากจะยกย่องเชิดชูแล้ว
“พี่จะไปไหนเจ้าคะ” นางอรดีหน้าเจื่อนเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของสามี แต่เอ่ยปากถามด้วยเสียงอ่อนหวาน ในมือประคองกระทงขนาดย่อมใบหนึ่งเอาไว้ “น้องทำขนมเรไรมาและใคร่จะชวนพี่ไปนั่งกินกันที่ใต้ต้นหางนกยูง”
ธรรม์มองขนมเรไรในกระทงพลันหวนคิดถึงหญิงสาวที่เดินไปกินขนมเรไรไปขณะที่เดินตลาดกับเขา ส่งผลให้ดวงหน้าเย็นชาผ่อนคลายเป็นอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว
นางอรดีจึงค่อยคลายใจยิ้มหวานออกมาได้โดยไม่ฝืน คาดว่าสามีที่มักทำตัวเย็นชาต่อนางคงยอมตามใจในครั้งนี้เป็นแน่
“น้องยังทำน้ำใบเตยที่พี่ชอบเอาไว้อีกนะเจ้าคะ นำไปตั้งรอท่าที่นั่นแล้ว”
เสียงของนางอรดีทำให้ฝันหวานแตกสลาย ใบหน้าคลายความอ่อนโยนลงกลายเป็นเย็นชาดังเดิม เมื่อเขารู้ใจตัวเองแล้ว เหตุใดจึงต้องเปลืองเวลาไปกับหญิงผู้นี้อีกด้วยเล่า ชายหนุ่มเดินผ่านร่างภรรยาไปอย่างเย็นชา ปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างไร้เสียงและไม่หันกลับไปมองว่าจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจมากเพียงใด
ธรรม์เดินตรงไปยังห้องในสุดของเรือนซึ่งมีชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งยืนอารักขาอยู่ในห้อง ทุกคนก้มหัวคำนับแล้วปล่อยให้เขาก้าวเข้าไปในห้องที่มีเพียงแสงเทียนส่องรำไรและชายหนุ่มแต่งกายด้วยผ้าสีดำมิดชิดเห็นเพียงดวงตาเหมือนหลุมดำมืดมองสบมา
“ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า” ชายหนุ่มนั่งลงทรงหน้าน้องชาย “ข้าจะพาทุกคนออกไปอยู่ในเมือง ส่วนเจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อหรือจะออกไปกับข้าด้วยก็ตามแต่ใจ”
“พี่พูดบ้าอะไร!” น้องชายตะคอกถาม ฟังคล้ายเสียงคำรามแหบแห้งของสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ
“ราชันไพรสัณฑ์ส่งคนมายื่นข้อเสนอให้ข้าพาคนออกไปอยู่ข้างนอกเพื่อแสดงจุดยืนว่าไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และข้าก็เห็นว่าเป็นการตัดรำคาญที่ดีที่สุด สำคัญคือทุกคนไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป” เขารู้นิสัยแข็งกร้าวและขาดสติของน้องชายดีจึงพยายามอธิบายอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง เขาผ่อนลมหายใจจนเป็นปกติ ในหัวครุ่นคิดเท่าที่ตนสามารถทำได้ คนอย่างพี่ชายของเขาหากคิดจะทำสิ่งใดแล้วก็มุ่งมั่นไม่มีใครขัดขวางได้ ฉะนั้น จึงไม่มีประโยชน์ที่จะคัดค้านแต่ต้องแสวงหาหนทางที่เป็นประโยชน์ของตนให้ได้ เขาต้องเห็นด้วยกับพี่ชายด้วยความจำยอม แต่เรื่องที่จะให้ออกไปอยู่ข้างนอกนั้นคงทำ ไม่ได้เพราะมันย้ำเตือนให้ เขารู้สึกว่าเป็นตัวประหลาด
“พี่จะทำสิ่งใดข้าก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้วสินะ” ชายผู้ต้องคำสาปพูดเสียงเข้ม “ข้าจะอยู่ที่นี่”
“ข้าจะให้คนมาดูแลเจ้า” เขารับปากอย่างหนักแน่น
“แต่ถ้ามีใครมายุ่งย่ามกับข้า ข้าก็ไม่ลังเลที่จะฆ่ามัน” ชายหนุ่มบอกด้วยเสียงเจือหัวเราะอันเหี้ยมเกรียม “พี่ก็รู้ว่าข้าชื่นชอบชำแหละร่างกายคนนักและข้ายังเก็บอวัยวะทุกส่วนดองไว้ในโหล ว่างนักก็หยิบขึ้นมาผ่าดู”
“จะทำสิ่งใดก็ทำ แต่จะเอาศพไปประจานเช่นเดิมมิได้แล้ว” ธรรม์ไม่ห้ามเพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้น้องชายพอจะมีความสุขอย่างจริงจัง
“ข้าขอถามและให้พี่ตอบข้าตามตรงได้หรือไม่” ชายหนุ่มร่างผอมเอ่ย และได้รับการอนุญาต พี่______________ชอบเจ้าราชองครักษ์โสมคนนั้น จริงหรือ”
“ใช่” ธรรม์ตอบอย่างไม่ลังเล แววตาอ่อนลงเมื่อคิดถึงความสดใสของนางที่ทำให้เขาแช่มชื่นหัวใจทุกครั้งที่นึกถึง และแววตานั้น ก็ไม่ได้รอดพ้นการสังเกตเห็นของคนเป็นน้องที่ภายในใจเดือดดาลยิ่งนัก
“อ้อ” ผู้เป็นน้องชายหัวเราะเหี้ยมในลำคอ ก่อนบอกด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นแฝงความวิกลจริตเอาไว้บางส่วน “คนของข้ามารายงานตั้ง แต่คืนก่อนว่าท่านราชองครักษ์คนดีของพี่ร่วมภิรมย์กับนางแพศยาสุวิมลตลอดทั้งคืน ไอ้ราชองครักษ์นั่นก็เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของข้า! ท่านบอกข้าทีเถิดว่าจะให้ข้ายกโทษให้มันได้อย่างไร!”
“เหลวไหล!” ธรรม์ตะคอก ดวงตาวาวโรจน์ ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม่หญิงโสมไม่อาจร่วมอภิรมย์กับนางสุวิมลได้เป็นแน่ เพราะต่างก็เป็นสตรีเช่นเดียวกัน
“นางแม่เล้ารายงานเองว่าไอ้ราชองครักษ์นั่นเดินออกมาจากห้องยามสางและนางสุวิมลนอนเปลือยกายระทดระทวย จะให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไร!”
ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้น ก็นิ่งตะลึงไป ความขุ่นข้องขัดเคืองแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ด้วยความไม่เข้าใจ อยากจะแล่นไปกระชากตัวมาเขย่าถามนักว่าแม่หญิงโสมกล้าทำถึงเพียงนั้น เพื่ออะไร แต่เขาเลินเล่อเกินไปที่ไม่เคยเอ่ยถามว่าหากต้องการติดต่อนางจะต้องทำอย่างไรและไปที่ไหน ทุกวันนี้มีเพียงเขาที่ต้องรอคอยให้นางเวียนมาหาซึ่งไม่อาจคาดได้ว่าจะเป็นเมื่อใดแล้วจะทำอย่างไรถึงจะพบนางได้
นางยังรอคำตัดสินใจของข้าอยู่ต้องมาพบข้าที่บ่อนแน่ หรือหากสองทิวานางยังไม่มาข้าก็จะทำให้นางมาหาข้า!
“ข้าจะจัดการเอง!” ชายหนุ่มเค้นเสียงพูดในที่สุดหลังจากโกรธจนตัวสั่น ใจร้อนรนจนทนนั่งต่อไปไม่ไหวต้องผุดลุกขึ้น แล้วเดินจากไป
น้องชายแผดเสียงหัวเราะเยียบเย็น พี่ชายของเขาเป็นคนอารมณ์ร้าย บทจะดีก็ดีใจหาย บทจะร้ายก็ยิ่งกว่าปีศาจ ไอ้ราชองครักษ์โสมนั่นต้องเผชิญกับความร้ายกาจผนวกกับรสความหึงหวงจนสะบักสบอมเป็นแน่ แต่แค่นั้นหรือไม่สาแก่ใจ ที่คิดว่าจะให้พี่ชายเป็นคนพามาสู่มือของเขาเองนั้น ในตอนนี้คงจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว คงได้แต่รอโอกาสในอนาคต