Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 2

ตอนที่ ๒

ราชองครักษ์คนใหม่

เมื่อมาถึงคฤหาสน์ไม้สักหลังงาม โสมก็ต้องตกตะลึงกับความสวยงามหรูหราราวกับวัง เครื่องประดับแทบทุกชิ้น ล้วนแต่เป็นของเก่าที่มีค่าและถูกออกแบบให้อยู่ในที่ที่เหมาะสมที่สุด แต่เมื่อคิดว่าตายไปก็เอาไปด้วยไม่ได้ความตกตะลึงในวัตถุก็ลดน้อยลง หญิงสาวเดินเดินตามคุณหมอกณวรรธน์จนกระทั่งถึงห้องหนึ่งซึ่งเธอเดาว่าน่าจะเป็นห้องนอนใหญ่

ภายในห้องมืดสลัวจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด แต่คุณหมอใหญ่กลับเดินตรงไปในห้องอย่างคุ้นเคยและเงียบกริบ

“เธอคงหลับแล้ว” เสียงกระซิบอันแสนอ่อนโยนของเขาแหวกฝ่าความเงียบสงัดและความมืดสลัวออกมา ไม่ต้องมองเห็นใบหน้าของเขาเธอก็รับรู้ได้ว่าต้องอ่อนโยนมากแน่นอนยามเอ่ยถึง ‘ภรรยา’

“พี่เพชรหรือคะ” เสียงเรียกคล้ายจะถามของคนที่นอนซุกผ้าห่มอบอุ่นในเตียงนอนสี่เสาทำให้ชายหนุ่มหายเข้าไปในม่านผ้าคลุมเตียงทันที

“พี่เองจ้ะทูนหัว หลับต่อก็ได้นะ” คุณเพชรเอ่ยบอกอย่างอ่อนหวาน ก้มลงจุมพิตริมฝีปากของภรรยาสาวสวยอย่างแผ่วเบาด้วยความรักใคร่

“เพิ่งกลับจากงานศพหรือคะ” นลวรรณพยุงตัวลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เธอจูบแก้มเขาเบาๆ ทีหนึ่งพลันสายตาเหลือบไปพบกับเงาร่างผิดปกติ

“นั่นใคร!”

เสียงหวานหากแต่แฝงพลังอำนาจบางอย่างเกือบทำให้โสมสะดุ้ง หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรและสงสัยว่าภรรยาของคุณหมอใหญ่เห็นเธอจริงหรือไม่ สุดท้ายเธอก็ได้ยินเสียงคุณหมอใหญ่พูดขึ้น มาในความมืด

“คนที่หนูวันต้องสนใจอย่างแน่นอนไงจ๊ะ” คุณเพชรพูดเสียงขบขัน “พี่ยังคิดอยู่ว่าอาจจะต้องเป็นสื่อให้หนูวันเสียแล้ว แต่ในเมื่อหนูวันเห็นเธอแล้วคงจะไม่จำเป็น”

“ใคร” เสียงหวานไม่น่าจะฟังดูมีอำนาจได้ถึงเพียงนี้ทำให้โสมนึกประหลาดใจและเกรงใจมากขึ้น ไปพร้อมกัน

“โสม พยัคฆ์ดำรง” ทันทีที่เสียงทุ้มนุ่มเจือความขบขันเอ่ยเฉลยไฟหัวเตียงก็กระจ่างขึ้นทันที

โสมจึงได้เห็นผู้หญิงที่งดงามราวกับนางฟ้าในชุดนอนสีขาวประดับลูกไม้ทำให้เธอดูอ่อนหวานไปทั้งเนื้อทั้งตัว

นลวรรณหันไปมอง ‘วิญญาณ’ อย่างคิดหนัก ชั่วชีวิตนี้เธอไม่เคยเจอสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณเต็มตาขนาดนี้เลย แล้วครั้งนี้เธอจะได้คุยกับวิญญาณเสียด้วย ความหวั่นใจของเธอคงทำให้สามีขบขัน เขาจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกลั่นแกล้งคนต้องการความช่วยเหลืออย่างเธอด้วยการหลบฉากเข้าห้องน้ำไป

“คุณโสมคะ” นลวรรณเอ่ยเรียกเสียงเบาอย่างหวั่นใจนิดๆ “คุณคงแปลกใจที่พี่เพชรพาคุณมาพบฉัน”

‘ค่ะ’ โสมตอบ

“ฉันอยากถามคุณว่า คุณได้ไปกณวรรธน์นครหรือเปล่า” นลวรรณสังเกตว่าโสม พยัคฆ์ดำรงนิ่งงันไปทันทีจึงรีบเอ่ย “คือว่า… ฉันจะอธิบายยังไงดี ฉันกับพี่เพชร… เอ่อสามีของฉันน่ะค่ะ คิดว่าบางทีคุณอาจจะได้ไปที่นั่น บางทีมันอาจเป็นปาฏิหาริย์เพราะก่อนที่คุณจะเสียชีวิต คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นเจ้าหญิงนิทรา เอ่อ… แต่แค่นั้น ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะบอกว่าคุณได้ไปที่นั่น แต่มีลางสังหรณ์บอกน่ะค่ะ อ่า… ยังไงดีล่ะ”

โสม พยัคฆ์ดำรงมองท่าทีว้าวุ่นสับสนของหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันนัก เธอไม่รู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าและคุณหมอใหญ่รู้จักสถานที่นั้นได้อย่างไร แล้วการที่เธอสามารถติดต่อกับทั้งสองคนได้เป็นเรื่องบังเอิญจริงหรือ แล้วภรรยาของคุณหมอใหญ่ต้องการบอกอะไรเธอกันแน่

“ฉันเคยประสบอุบัติเหตุจมน้ำเป็นเจ้าหญิงนิทรา แล้วฉันก็ได้ไปอยู่ที่กณวรรธน์นครในฐานะแม่หญิงจันทรวดีที่ชาวเมืองเชื่อกันว่าเป็นคนที่เทพผู้ปกปักคุ้มครองเมืองขึ้น มาประทานให้เป็นมิ่งขวัญแก่เมือง สามีของฉันเขาเป็นผู้ครองเมืองนี้ชาวเมืองเรียกเขาว่าราชันหน้ากากภูต จนฉันหมดหน้าที่ถึงได้กลับมาที่นี่แล้วได้แต่งงานกัน คือว่า… เรื่องมันค่อนข้างที่จะซับซ้อนมาก” นลวรรณเองก็ไม่รู้จะตั้ง ต้นอย่างไรเพราะเรื่องที่เธอเคยเผชิญมันยากเกินกว่าที่จะถ่ายทอดออกมาได้ภายในเวลาอันสั้น

’คุณกำลังจะบอกว่ากณวรรธน์นครมีจริง’

“คุณได้ไปที่นั่นใช่ไหมคะ” หญิงสาวตื่นเต้นในทันที สังหรณ์ของเธอและสามีไม่ผิดไปจริงๆ

‘ฉันคิดว่าใช่ แต่ฉันคิดว่านั่นเกิดจากดวงจิตอันฟุ้งซ่านของฉันมากกว่า

“กณวรรธน์นครมีจริงค่ะ” นลวรรณยืนยัน แล้วอธิบายเพิ่มเมื่อเห็นสีหน้าสับสนระคนไม่เชื่อถือของวิญญาณสาว “โลกเรามีหลายสิ่งหลายอย่างมากมายที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีจริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มีจริงนี่คะ พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า มนุษย์เกิดได้ในสี่อย่าง สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา ไม่ได้ยินได้ด้วยหู ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี

จริง”

‘แล้วเกี่ยวกับฉันยังไงคะ

“คุณอาจจะต้องได้ไปอยู่ที่นั่น ซึ่งหากคุณใช้เส้นทางของบ่อจันทราเป็นประตูผ่านทาง ราชันผู้ครองเมืองก็จะอุปโลกน์คุณเป็นแม่หญิงจันทรวดี” เอ่ยมาถึงตรงนี้ดวงตาคู่หวานล้ำสีเขียวมรกตก็เปล่งประกายแพรวพราวขึ้น “หากฉันคาดไม่ผิด ราชันที่ปกครองกณวรรธน์นครอยู่ในขณะนี้ก็คือราชันไพรสัณฑ์ คุณจะต้องทำหน้าที่คอยช่วยเหลือเขาเพื่อ

พากณวรรธน์นครรุ่งเรืองมากขึ้น ให้ได้”

‘แล้วฉันจะต้องอยู่ที่นั่นไปตลอดหรือคะ’ โสมไม่สนใจอะไรไปมากกว่าคำถามนี้

“ฉันไม่รู้ ฉันกลับมายังโลกนี้หลังจากไปทำหน้าที่แม่หญิงจันทรวดีเสร็จสิ้น แต่คุณเอ่อ…”

ฉันตายแล้วโสมตอบแทน พยายามชั่งใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่ และทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ‘บางทีหากเรื่องที่คุณเล่าเป็นเรื่องจริง ก็หมายความว่าฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นตลอดไป’

“ฉันขอโทษที่ไม่สามารถตอบคุณได้” นลวรรณบอกเบาๆ เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของวิญญาณสาวแลดูน่ากลัวก็เริ่มหวั่นๆ “เอาเถอะค่ะอย่าเพิ่งเครียดกับเรื่องนั้นเลย เอาเป็นว่าหากคุณยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ก็ช่วยอยู่ฟังประวัติของราชันไพรสัณฑ์ก่อนนะคะ”

โสม พยัคฆ์ดำรงออกจากภวังค์ความคิดของตนแล้วนิ่งครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนพยักหน้าเป็นการยินยอม เพราะฉะนั้น เมื่อคุณเพชรออกมาจากห้องน้ำก็พบภรรยาสาวนอนเท้าคางเล่าเรื่องอยู่บนเตียง โดยมีวิญญาณสาวนั่งฟังอยู่ปลายเตียง ดวงตาสีเทากระจ่างหรี่ลงนิดๆ เมื่อสังเกตว่าวิญญาณของหญิงสาวโปร่งแสงขึ้น จากที่เห็นครั้งแรก แต่ไม่ได้พูดอะไร

ออกมา

“หนูวันคุยอะไรอยู่จ๊ะ” ชายหนุ่มตรงเข้านั่งใกล้ๆ ภรรยา

“เล่าเรื่องเจ้าเด็กหัวถั่วงอกให้โสมฟังค่ะ” หญิงสาวหันไปยิ้มสดใสนัยน์ตาพราวระยับให้สามี ก่อนเผยแววตาเจ้าเล่ห์ “เผื่อว่าโสมต้องไปอยู่ที่นั่นจริง จะได้มีอาวุธต่อกรกับเจ้านั่นได้บ้าง ฉันทายเลยว่าคนที่พี่ฝึกมาเองกับมือก็คงไม่ได้ร้ายยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่”

“พูดอย่างนี้พี่น้อยใจ” คุณเพชรแสร้งว่า

นลวรรณหัวเราะคิกแล้วเมินหน้าหนีไม่ยอมง้อ

โสมมองความสนิทสนมของสองสามีภรรยาแล้วทำให้ยิ้ม ขำ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณหมอใหญ่ที่แสนจะอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นผู้ใหญ่จะมีมุมน่ารักเช่นนี้ได้

“อย่าลืมนะโสม คุณอย่าให้เจ้านั่นรู้เด็ดขาดว่าคุณเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้น คุณจะลำบาก” หญิงสาวสำทับ

‘งั้นจะให้ฉันทำตัวเป็นผู้ชายไปเรื่อยๆ งั้นหรือโสมหัวเราะ ก่อนทำสีหน้าเจ้าเล่ห์เจ้ากล ‘ก็น่าสนใจอยู่นะ ปลอมเป็นผู้ชายก็ปลอดภัยดี’

“ฉันว่าเจ้าเด็กหัวถั่วงอกนั่นต้องวุ่นน่าดู บ่อจันทราน่าจะเป็นสถานที่ที่แม่หญิงจันทรวดีใช้เป็นประตูมาสู่กณวรรธน์นคร แต่โสมซึ่งเป็น ‘ผู้ชาย’ กลับใช้เส้นทางนี้โผล่มาได้ เลยไม่รู้จะให้ตำแหน่งอะไรเธอดี แถมยังใช้อำนาจของแม่หญิงจันทรวดีสร้างความยำเกรงต่อเมืองอื่นๆ ไม่ได้ด้วย คงได้แต่เก็บเธอเอาไว้ในเงาเท่านั้น”

‘แปลว่าฉันจะมีอำนาจของแม่หญิงจันทรวดีต่อราชันไพรสัณฑ์เท่านั้น’ โสมนึกสนุกขึ้น มาบ้าง แม้จะยังไม่เชื่อเรื่องนี้เต็มหัวใจก็ตาม

“ใช่! อาจได้ใช้อำนาจสั่งการเจ้าไพรสัณฑ์อยู่ข้างหลัง” นลวรรณพูดแล้วหัวเราะอีกด้วยความถูกใจ ลืมคิดถึงความร้ายกาจซึ่งราชันอคิราภ์ในตอนนั้น ถ่ายทอดสู่องค์รัชทายาทไพรสัณฑ์ไปเสียสนิท

“คิดดูอีกทีแล้ว… เธอชื่อโสมที่แปลว่าพระจันทร์ ถ้าต้องซ่อนตัวเองเป็นเงาอยู่ข้างหลังไพรสัณฑ์ไม่ให้ใครรู้ก็เหมือนจันทร์ซ่อนเงาเลยนะ” คนพูดดวงตาพราวระยับ รอยยิ้ม สว่างเจิดจ้า “ฉันว่าไม่มีคำจำกัดความไหนที่เหมาะสมกับโสมเท่านี้แล้วนะ”

‘จันทร์ซ่อนเงา’ โสมทวนชื่อด้วยความชอบใจ

“คุณยังอยากไปที่ไหนอีกไหมคุณโสม” คุณเพชรเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าร่างวิญญาณของโสมโปร่งแสงขึ้นอีก คล้ายกับว่าพลังงานวิญญาณใกล้จะหมดลง

‘ฉันอยากไปหาป้ากาญกับนายธนุ’ โสมตอบหลังครุ่นคิดชั่วครู่

“ผมขอแนะนำให้คุณรีบไป”

โสม พยัคฆ์ดำรงสามารถเข้าใจความหมายของเขาได้ดี เธอยิ้ม ให้เขาและนลวรรณเหมือนจะบอกลา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

’ขอบคุณทั้งสองคนมากค่ะ ฉันดีใจที่ได้รู้จักคุณ แม้จะเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดมากอยู่’ หญิงสาวถอนหายใจ กำหนดเจตจำนงว่าต้องการไปที่ไหน รู้สึกด้วยจิตวิญญาณว่าพลังงานของเธอกำลังเคลื่อนไหว ‘หากชาติหน้ามีจริง ฉันจะมาตอบแทนบุญคุณของคุณค่ะ’

แล้ววิญญาณสาวก็หายไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวขึ้นเลย

ภายในห้องครัวใหญ่อันมืดสลัว แสงไฟยามตู้เย็นถูกดึงเปิดส่องให้เห็นร่างสูงของธนุที่กำลังรินน้ำเย็นเฉียบใส่แก้วก่อนที่ความมืดสลัวจะกลับมาอีกครั้งเมื่อมือใหญ่ดันตู้เย็นปิด ชายหนุ่มยืนอิงขอบเคาน์เตอร์ทำครัว คิดถึงความสูญเสียที่ไม่คาดฝันด้วยจิตใจอันบอบช้ำเศร้าหมอง

มารดาของเขาหลับไปนานแล้วเช่นเดียวกับทุกคนในบ้านนี้คงจะมีเพียงตัวเขาที่ไม่สามารถข่มตาหลับสนิทได้มาสามวันแล้ว เขาไม่คิดว่าโสม…ผู้หญิงที่เขามีความรู้สึกพิเศษให้จะมาด่วนจากไปโดยไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเพื่อนสนิทอย่างเขาที่แอบเก็บงำความรู้สึกพิเศษนี้ไม่ให้เธอรู้ อุบัติเหตุนั่นพรากเธอไปจากเขาอย่างไม่มีวันกลับคืนมา

หากเพียงแค่เขายืนอยู่กับเธอนานอีกนิด บางทีเขาอาจจะช่วยเธอได้ อาจจะไม่ต้องเสียเธอไป!

ธนุกล้ำกลืนความเศร้าระทม ยกน้ำขึ้นดื่มโดยหวังให้ความเย็นของมันจะดับความเศร้าในอกได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขากลับรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกราวกับถูกพรากวิญญาณมาแทน ทุกลมหายใจของชายหนุ่มแสนจะหนักอึ้งถ่วงให้ความรู้สึกจมดิ่งลงไปสู่ความมืดมน

‘ธนุ’

แม้เสียงกระซิบเพียงเล็กน้อยในยามราตรีก็ทำให้ธนุไหวตัวได้ ชายหนุ่มวางแก้วน้ำลง กวาดสายตาไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง สายตาคมกริบมองแหวกอากาศผ่านแสงสลัวเพื่อจับภาพการเคลื่อนไหวของอะไรก็แล้วแต่โดยรอบ หากแต่ไม่พบแม้แต่น้อย

‘ธนุ’

เสียงกระซิบแผ่วเบาในน้ำเสียงอันคุ้นเคยที่ข้างหูทำให้ขนคอของชายหนุ่มลุกชันขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ บรรยากาศในห้องครัวดูเหมือนจะเยือกเย็นลง ความเงียบสงัดจนแทบจะได้เย็นเสียงเม็ดเหงื่อที่กำลังไหลซึมจากหน้าผากกว้างทำให้อกปั่นป่วนราวกับอยู่ในพายุ วังเวงเสียจนเขาคิดว่าได้หลุดมายังโลกอันลี้ลับเสียแล้ว

‘ฉันมาขอบคุณ’

เสียงนั้นทำให้ธนุรู้สึกสงบโดยรวดเร็วก่อนที่ความรู้สึกดีใจเปี่ยมล้นจะตีแล่นมาในอก แววตาตื่นเต้นร้อนรนกวาด

สายตาไปทั่ว ไม่มีความกลัวว่าจะได้เห็นในสิ่งลี้ลับ

“โสม เธออยู่ไหน ทำไมไม่ออกมาให้ฉันเห็น” ธนุพูดอย่างร้อนรน เขาไม่สนใจแล้วว่าเธอจะเป็นอะไร ขอเพียงให้ได้เห็นเธอเท่านั้น เขาก็สุขใจ

โสม พยัคฆ์ดำรงยิ้ม เศร้า แสงสีและพลังงานอันวุ่นวายในเมืองทำให้พลังงานของเธอถูกดูดดึงจนไม่สามารถที่จะปรากฏตัวให้ใครเห็นได้อีกครั้น เธอมาถึงบ้านหลังนี้ท่านพระภูมิเจ้าที่เพียงแค่มองมาอย่างเมตตา ไม่มีทีท่าขัดขวางแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะท่านรู้ว่าดวงจิตของเธอไม่มีความมาดร้าย ทั้งยังไม่เหลือพลังงานที่จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ใครได้

‘นายไม่กลัวฉันหรือ’

“ฉันไม่มีทางกลัวเธอ” ธนุลุกขึ้น ยืนกระสับกระส่าย สอดสายตาไปทั่ว “เธออยู่ไหนโสม”

‘ฉันยืนอยู่ตรงหน้านาย’ โสมบอก มองใบหน้าที่เจ้าตัวบอกว่าหล่อเหลาเหมือนพระเอกนิ่ง

ธนุมองตรงไปเบื้องหน้าของเขาทันที แม้เขาจะไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า แต่กลับเริ่มรับรู้ได้ทีละน้อยว่าผู้หญิงที่เหลือเพียงวิญญาณยืนอยู่ตรงหน้า สายตาของชายหนุ่มจับอยู่ในตำแหน่งดวงตาของโสม เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าดวงตา จมูกหรือแม้แต่ริมฝีปากของเธออยู่ตำแหน่งใดเพราะเธอได้สลักอยู่ในหัวใจของเขาทั้งดวงแล้ว

โสมสะท้อนใจเล็กน้อยที่แม้อีกฝ่ายจะมองไม่เห็นเธอจริง แต่สายตาที่พุ่งตรงมาจับแน่วนิ่งยังดวงตาของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันท่วมท้นที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย

‘ฉันสบายดี ขอบคุณสำ หรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฝากกราบขอบพระคุณป้าด้วยเพราะฉันคงไม่เหลือพลังที่จะไปพบท่านเสียแล้ว’

“เธอจะไปไหน”

‘ฉันไม่รู้’ วิญญาณสาวส่ายหัวแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเห็นเธอได้ ‘อาจจะไปยังสถานที่ฉันควรอยู่อย่างแท้จริง’

“เธอจะยังอยู่ในใจฉันเสมอ” ธนุบอก น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรัก ความอาลัยและความโศกเศร้า โสมสะท้อนใจเฮือกกล้ำกลืนความรู้สึกที่พลุ่งพล่านขึ้น มากะทันหันให้สงบลงเล็กน้อยจึงพูด

‘ลาก่อน’

ธนุรู้สึกเหมือนกระแสลมอุ่นๆ แตะแต้มอยู่ที่โหนกแก้มก่อนที่ทุกอย่างจะแตกสลาย บรรยากาศอันเย็นยะเยือกและวังเวงสุดจะกล่าวกลับมามีชีวิตชีวาเช่นเดิม เสียงหรีดหริ่งเรไรจากด้านนอกไม่ได้สะท้อนเข้า

สู่ใจของชายหนุ่มแม้แต่น้อยเพราะในวิญญาณของเขามีเพียงเสียงและรอยสัมผัสของผู้ที่จากไปวนเวียนอ้อยอิ่งอยู่เท่านั้น

ลาก่อน… โสม

ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรใบหน้าคมคายหมดจดของบุรุษนิรนามที่แม่หญิงจันทรวดีส่งมาให้ แน่นอนว่าเขาผู้นี้ย่อมเป็นแม่หญิงจันทรวดีไปไม่ได้ หนึ่งคือเขาไม่ได้เป็นหญิง สองคือทูลกระหม่อมแม่ของพระองค์ ก็คือแม่หญิงจันทรวดี พระองค์ไม่ทรงทราบว่าจะทำอย่างไรกับชายคนนี้ดี เพราะเมื่อชายหนุ่มแน่นิ่งไป ร่างกายนั้นก็โปร่งแสงไม่สามารถจะจับต้องได้

“อืม” เสียงพึมพำเบาๆ ออกมาจากริมฝีปากรูปสวยของร่างที่อยู่ในชุดแปลกตาดังขึ้น ก่อนที่ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจะปรือมอง เจ้าตัวกะพริบตาถี่ราวกับพยายามไล่เรียงความรู้สึกของตนเองทีละน้อยก่อนพยุงตัวขึ้นนั่งชันเข่ามองไปรอบๆ อย่างสำรวจ บริเวณที่เธอนั่งอยู่นี้อยู่ใกล้บ่อจันทราที่นลวรรณบอกว่าใช้เป็นประตูสู่กณวรรธน์นคร

เมื่อมองเยื้องไปก็พบสิ่งปลูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวรูปทรงโบราณที่น่าจะเป็นพระตำหนักจันทรา พลางอุทานมาเบาๆ “ที่นี่คือกณวรรธน์นคร”

“ใช่” ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรชายหนุ่มอย่างสังเกต “ครานี้เจ้าเชื่อข้าแล้วรึ”

“ราชันไพรสัณฑ์รึ” ดวงตาคู่คมตวัดมามองพระองค์ด้วยแววตานิ่งเฉย “อ๋อ… เจ้าถั่วงอกหัวโตนี่เอง”

“เจ้า!” ราชันไพรสัณฑ์ทรงตะลึงไป ด้วยที่พระองค์เชื่อเป็นเดิมอยู่แล้วว่าชายผู้นี้คือคนที่มีความเกี่ยวข้องกับแม่หญิงจันทรวดีจึงรับสั่งถามว่า “ทูลกระหม่อมแม่บอกเจ้าหมดทุกอย่างเลยรึ!”

“ทุกอย่าง”

“ถึงเจ้าเป็นคนของทูลกระหม่อมแม่ แต่อย่าคิดว่าข้าจะให้เกียรติเจ้ามากไปกว่าที่ข้าคิดว่าเจ้าสมควรได้รับ”

จะบอกฉันว่าอย่าลำพองให้มากนักสินะ

“เอาเถอะ… ตอนนี้ฉันอยากได้เสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง”

ราชันหน้ากากภูตทอดพระเนตรชายหนุ่มรูปงามแน่วนิ่งจนคนถูกมองชักไม่ชอบใจเพราะคาดเดาไม่ออกว่าพระองค์มีพระดำริอะไรอยู่ในพระทัย

“ข้ามีชุดทหารภูตให้เจ้าเปลี่ยนและนับจากนี้ไปเจ้าจะอยู่ในฐานะราชองครักษ์ของข้า”

“แน่นอน เพราะอย่างฉันคงเป็นแม่หญิงจันทรวดีไม่ได้แน่ อ้อ…ฉันขอขลุ่ยหนึ่งเลาด้วยนะ” โสมหมั่นไส้การวางองค์ของอีกฝ่ายจึงกวนโมโหกลับไป หญิงสาวเลิกคิ้ว ให้อย่างไม่กริ่งเกรงแล้วเดินผิวปากเข้าตำหนักจันทราโดยไม่สนใจว่าราชันแห่งกณวรรธน์นครจะทรงรู้สึกเช่นไร

ราชันไพรสัณฑ์ย่างพระบาทเปลือยเปล่าไปบนหญ้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำค้างยามอรุณ ทรงสูดกลิ่นดินและกลิ่นความชื้นของธรรมชาติอย่างสงบ พระพักตร์ภายใต้หน้ากากภูตเชิดทรนง พระองค์ทอดพระเนตรไปที่สุดปลายฝั่งฟ้าสีม่วงเข้มที่ค่อยๆ ถูกระบายไปด้วยสีชมพู สีส้ม สีแดงระเรื่อและสีทองเจิดจ้า สิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่งบนพื้น พิภพก็ฟื้นคืนชีพมาสร้างสีสันแห่งการดำรงอยู่

มิได้อนาทรต่ออนธการแห่งกลียุคที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ เมื่อทรงซึมซับเอาความอบอุ่นและพลังแห่งการเริ่มต้นจนพอพระทัยแล้ว จึงมีพระดำริไปถึงชายหนุ่มรูปงามผู้อุกอาจซึ่งกำลังหลับใหลอยู่บนพระแท่นบรรทมของพระองค์ ท่าทางมันยโสโอหังนักคงคิดกระมังว่าตนเป็นคนของทูลกระหม่อมแม่ พระองค์จะสั่งสอนให้รู้เองว่าควรจะทำตัวอย่างไรเมื่ออยู่ที่นี่ในฐานะราชองครักษ์ของพระองค์

ความสงบเงียบยามอรุณรุ่งถูกทำลายลงเมื่อพระเนตรเหลือบไปเห็นแสงสีเงินพุ่งตรงมาหา ทรงเอี้ยวพระเศียรหลบเพียงนิดมีดสั้น ก็ไม่อาจต้องได้แม้กระทั่งพระฉวี การเคลื่อนไหวของร่างในชุดดำสนิทจู่โจมจากทุกทิศเป็นไปอย่างรวดเร็วและมุ่งหมายเอาชีวิต ราชันหนุ่มชักพระแสงดาบที่บั้นพระองค์ขึ้น ตวัดปัดดาบอีกฝ่ายเบาๆ แต่เกิดเสียงกึกก้องราวกับฟ้าผ่า ร่างในชุดอำพรางกระเด็นออกไปราวกับถูกมือยักษ์ของภูตผีร้ายจับเหวี่ยง

เหตุการณ์เกิดขึ้น อย่างรวดเร็ว ผู้บุกรุกทุกคนเหลือบเห็นชายผ้าคลุมสีดำของเหล่าทหารภูตเข้ามาใกล้ก็ต้องละจากเป้าหมายเพื่อป้องกันชีวิตตนเองไว้ก่อน เสียงดาบปะทะ เสียงคำราม และแสงประกายไฟยามคมดาบปะทะกันชุลมุนวุ่นวาย ร่างในชุดอำพรางร่วงหล่นราวกับใบไม้ปลิดจากขั้วจนกระทั่งเหล่าทหารภูตควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว ราชัน

หน้ากากภูตเช็ดเลือดบนพระแสงดาบออกจนหยาดหยดสุดท้ายแล้วเก็บเข้าฝัก

“นำพวกมันออกไปเลี้ยงเสือของข้า ชำระตำหนักจันทราให้สะอาด”

สิ้นพระสุรเสียงเย็นยะเยียบ เหล่าทหารภูตก็ลงมือสนองพระราชโองการโดยไว

ราชันไพรสัณฑ์ย่างพระบาทที่ชโลมไปด้วยเลือดออกจากบริเวณนั้น ฉับพลันแสงเงินปลาบก็พุ่งเฉียดพระพักตร์ไปเบื้องหลังพร้อมเสียงคมมีดปักเข้าไปในเนื้อ และเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ตามด้วยเสียงล้มหนักๆ ก่อนเสียงร้องจะหายเงียบไป

“หามีดเล่มใหม่ให้หน่อยสิ จะปอกมะม่วงกิน หิวจนตาลายแล้ว” เสียงห้าวชวนกวนอารมณ์ร้องบอก

เหล่าทหารภูตหันขวับไปจับจ้องร่างสูงเพรียวในชุดทหารภูตที่กำลังวิ่งเหยาะๆ มาอย่างสบายอารมณ์ด้วยความ

สงสัยและพรั่นพรึงฝีมือการใช้มีดอันแม่นยำ ที่ยิ่งกว่านั้น ก็คือ ‘เขา’ ไม่มีทีท่าจะเกรงบารมีของราชันแม้แต่น้อยเมื่อเดินเฉียดราชันตรงมายังศพซึ่งมีมีดปอกผลไม้ปักอยู่กลางอกและรอยลงดาบฟันตัดชีวิตของทหารภูต

“อโหสิกรรมให้กันเถอะนะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองนี่นา”

โสม พยัคฆ์ดำรงรู้ว่าสายตาหลายคู่มองมายังเธอ แต่ถ้าไม่มีใครพูดหรือถามอะไรเธอก็จะแกล้งเงียบเฉยมันทั้ง อย่างนี้ล่ะ หญิงสาวยืดตัวตรงเดินไปตบพระอังสากำยำแรงๆ ราวกับสนิทกันมานานท่ามกลางความตกตะลึงระคนตกใจของทหารภูตหลายต่อหลายนายในที่นั้น แล้วเดินกลับเข้าตำหนักหากไม่ถูกพระหัตถ์ใหญ่แข็งแรงราวกับคีมเหล็กจับไหล่เอาไว้ได้ก่อน

“อะไรหรือ” โสมหันไปถามเสียงห้าวแต่ไม่ห้วน นอกจากความสามารถในการใช้ศิลปะป้องกันตัวด้วยไหวพริบอันเป็นเลิศแล้ว ความสามารถในการดัดเสียงก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอก้าวขึ้นเป็นมือดีของบริษัทรักษาความปลอดภัย

“ไม่ต้องกินผลไม้ เดี๋ยวนางกำนัลจะนำข้าวมาให้” พระสุรเสียงยังคงเรียบนิ่ง คาดเดาพระอารมณ์ไม่ออก แต่นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าทหารภูตกลั้นลมหายใจได้แล้ว “และอีกอย่างหนึ่ง… ข้าไม่ใช่เพื่อนเล่นเจ้า”

“ก็ใครว่าใช่” โสมส่ายหน้า ทั้งน้ำเสียงและท่าทางบ่งบอกได้ว่าแสนระอา “ฉันเป็นอะไรกับท่าน เราต่างก็รู้กันอยู่สองคน แล้วแต่ท่านแล้วกันว่าจะแนะนำให้ทหารของท่านรู้จักฉันในฐานะอะไร”

“พวกเจ้ารู้จักมันไว้” พระสุรเสียงของราชันไพรสัณฑ์ไม่ได้เรียบนิ่งอีกต่อไป กลับเต็มไปด้วยความอดทนอดกลั้น อย่างยิ่งยวด

“ไหนล่ะ ที่ไหนมีมัน ที่ฉันเห็นมีแต่คนทั้งนั้น ไม่เห็นมีหัวมันหัวเผือกที่ไหน” โสมแสร้งทำเสียงฉงน ชะเง้อชะแง้คอมองหา ‘มัน’ ที่ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งถึงทันที ท่ามกลางความใจหายใจควํ่าของเหล่าทหาร

“เจ้าจะเอายังไงกับข้า” ราชันหนุ่มชะโงกเข้าไปกระซิบพระสุรเสียงเครียดขรึมข้างหูราชองครักษ์คนใหม่อย่างพยายามสะกดพระอารมณ์

“เรียกฉันดีๆ สิ ฉันยังเรียก ‘ท่าน’ เลย ท่านก็ควรเรียกฉันว่า ‘ท่าน’ เหมือนกัน” หญิงสาวกระซิบตอบข้างพระกรรณใหญ่สีแทนนั้น รับรู้ว่าคนที่กำลังบีบไหลเธอแน่นขึ้น กำลังสะกดยั้ง พระอารมณ์เพียงใด

“เจ้าควรรับรู้ไว้บ้างว่าข้าเป็นราชัน ส่วนเจ้าเป็นใคร เจ้าไม่สมควรเรียกข้าว่า ‘ท่าน’ เสียด้วยซ้ำไป”

“อ้อ… เจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนกันนี่ นลวรรณคงจะผิดหวังที่ท่านเติบโตมาเป็นคนอย่างนี้”

“อย่าเอ่ยพระนามทูลกระหม่อมแม่ตรงๆ เช่นนั้น!” พระหัตถ์ใหญ่กระชากร่างสูงเพรียวเข้ามาจนเกือบชิด กระซิบพระสุรเสียงเหี้ยม แต่คนถูกดุจะกลัวก็หาไม่

“เด็กน้อยเอ๋ย… ทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อฉันเป็นพระสหายของนลวรรณ… ทูลกระหม่อมแม่ของท่าน” โสมลอบยิ้ม ขบขันเมื่อเห็นช่องทางข่มอีกฝ่ายได้

“พวกเจ้ารู้จัก ‘ท่าน’ เอาไว้” ในที่สุดราชันไพรสัณฑ์ก็ยอมเปิดพระโอษฐ์ “ราชองครักษ์ของข้า จงเรียกท่านว่าโสม”

“พระเจ้าค่ะ” พวกเขาหวังว่าเสียงจะไม่อึกอักจนเกินไปนัก

“ทำตัวตามสบายนะ ถือว่าฉันเป็นเพื่อนกับทุกคน” หญิงสาวร้องบอกอย่างร่าเริง

ในขณะที่เหล่าทหารภูตลอบครางในใจว่ามิกล้า

“เดี๋ยวเราไปดื่มเหล้ากระชับความสัมพันธ์กันดีไหม” เธอชักชวน อยากลองดื่ม ‘น้ำข้าวหมัก’ ของที่นี่บ้างว่าจะมีรสชาติหอมกลมกลอมเช่นโลกที่เธอจากมารึไม่

“ไม่อนุญาต เจ้าต้องอยู่กับข้าก่อน” ราชันไพรสัณฑ์ขัดขึ้นทันใด “และข้าไม่เคยอนุญาตให้ทหารคนใดดื่มเหล้าในเวลาทำงาน”

“งั้นหลังเวลาทำงานก็ได้ ว่าไงพวกท่าน พาฉันไปเปิดหูเปิดตาหน่อยเป็นไร” เธอหันไปถามเหล่าทหารภูตที่ยืนละล้าละลังไม่รู้จะตอบเช่นไร

“เรื่องของเจ้า!” ราชันไพรสัณฑ์หงุดหงิดเพราะไม่สามารถทำอะไรกับราชองครักษ์ตัวแสบได้

พระองค์ปล่อยบ่าบอบบางเกินบุรุษของโสม แล้วก้าวพระบาทกลับเข้าพระตำหนัก ทิ้งให้เหล่าทหารภูตยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูกอยู่กับราชองครักษ์ประจำพระองค์คนใหม่ที่กำลังคลำไหล่ข้างที่ถูกพระหัตถ์ใหญ่บีบเมื่อครู่ป้อยๆ

“ตกลงว่าหลังเวลาทำงาน พวกท่านจะพาฉันไปเปิดหูเปิดตานะ” หญิงสาวเลิกสนใจราชันหนุ่มแล้วหันกลับไปชักชวน

“ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้เดี๋ยวฉันคุยเอง รับรองว่าฉันไปกับพวกท่านได้แน่” เธอพูดด้วยความมั่นใจ “แต่ว่าเราต้องไปทั้ง ที่สวมชุดทหารภูตหรือไปในชุดธรรมดาล่ะ”

“ชุดธรรมดาขอรับ เพราะถึงแม้ชาวบ้านจะรู้ว่าเราเป็นทหารภูต แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ายามปฏิบัติการใครลงมือทำอะไร การเปิดเผยใบหน้านอกเวลาราชการจึงไม่ผิดนัก”

“แล้วราชันไพรสัณฑ์ของพวกท่านล่ะ เคยเปิดเผยใบหน้ารึเปล่า”

“เคยขอรับ แต่ไม่มีใครทราบว่าพระองค์คือราชันแม้กระทั่งพวกเรา เพราะทรงปลอมองค์และทรงปลอมพระพักตร์ แล้วเสด็จออกไปเพียงลำพังแทบทุกครั้ง ”

“งั้นหรือ” หญิงสาวพยักหน้าพลางครุ่นคิด “พวกท่านออกเวรเมื่อไหร่มาตามฉันหน่อยนะ”

พูดจบก็เดินทอดน่องทำท่าเหมือนชมนกชมไม้กลับเข้าพระตำหนักจันทรา จนได้ยินพระสุรเสียงเร่งอีกครั้งร่างสูงเพรียวในชุดทหารภูตนั้น จึงวิ่งเหยาะๆ เข้าพระตำหนักไป มองเห็นเป็นเจตนาจะยั่วโทสะราชันหน้ากากภูตผู้ยิ่งใหญ่ อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน

ท่านกำลังจะทำให้ฟ้าถล่มรู้ตัวรึไม่ ท่านราชองครักษ์!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!