ตอนที่ ๒๖
สามีจริงหรือ
โสมนิ่งงันไปด้วยความตกใจ หญิงสาวมีปัญหากับการทำความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก เธอรู้ตัวว่าจำเรื่องราวแต่หนหลังของตัวเองไม่ได้แม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกที่ติดมาจากอดีตเท่านั้น ที่สะกิดเตือนว่าสิ่งที่เธอได้ยินมันไม่ถูกต้อง แต่เธอจะแน่ใจได้ยังไงว่าความรู้สึกนั้น จะเป็นความจริงในเมื่อคนที่ไม่ว่าฟื้นขึ้น มาเมื่อไรจะต้องอยู่ข้างกาย
เธอเสมอ ถ้าไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดกับเธอจริงๆ จะมาเสียเวลากับคนป่วยอย่างเธอทำไม
เธอหลับตาแล้วครุ่นคิดว่าควรจะเชื่อสิ่งที่ได้ยินมากน้อยเพียงใด
แล้วเธอควรทำตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่ไม่รู้อะไรเลยแบบนี้
“อย่าเพิ่งหลับ ให้หมอมาตรวจหน่อยเถิดนะ ยอดรัก” ทรงกระซิบบอกเมื่อเห็นนางหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าอีกครั้งแล้วรีบเรียกให้คนด้านนอกไปตามหมอขึ้นมา รอไม่นานนักเหล่าหมอเฒ่าก็คลานต้วมเตี้ยมเข้ามาด้วยหน้าซีดเซียว
“นางฟื้นแล้ว มีสติพอที่จะตอบโต้และพูดคุยได้ คงสามารถตอบคำถามพวกท่านได้”
“พระเจ้าค่ะ” พวกเขาเหลือบมองตากันอย่างรีรอให้ราชันไพรสัณฑ์ออกห่างจากคนป่วยเพื่อความสะดวกในการรักษา แต่ในเมื่อดูแล้วคงไม่ทรงยอมผละไปแน่จึงได้แต่ซักถามอาการคนป่วยอย่างเกร็งๆ
จนกระทั่งเสร็จสิ้น และทุกคนลงความเห็นว่าคนป่วยฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วราวปาฏิหาริย์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาการก็จะเป็นปกติในเร็ววัน
“พยายามได้ดีมาก” ราชันไพรสัณฑ์ชมเชยคนป่วยแทนที่จะเป็นหมอ ทำให้คนป่วยต้องเลิกคิ้ว มองอย่างงๆ
“ทำไมท่านมาชมฉันล่ะ ท่านต้องชมหมอต่างหาก พวกเขารักษาฉันจนอาการดีขึ้นนะ”
“เจ้าไม่ได้เห็นตัวเองตอนที่ข้าพบเจ้า” ราชันหนุ่มลูบแก้มนางเบาๆ อย่างอ่อนโยนและคล้ายจะปลอบโยน “เจ้าตัวขาวซีด ผ่ายผอม ตาลอย เนื้อตัวมีแต่คราบอาเจียน คราบเลือด รอยช้ำเลือดช้ำหนองทั่วตัวและมีบาดแผลสาหัสโดยโดยเฉพาะที่ท้อง ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่รอดแต่เจ้าก็รอดมาได้ แน่นอนว่าเจ้าต้องชดใช้ที่ทำให้ข้ากลัว”
“ทำอย่างกับฉันติดหนี้ท่านมากมาย นี่มันเรื่องของฉันทั้งหมดแท้ๆ”
“ชีวิตเจ้าเป็นของข้า เจ้าไม่มีสิทธิเอาชีวิตไปปู้ยี่ปู้ยำตามใจได้”
รับสั่งเสียงเข้มอย่างจริงจังจนคนฟังหัวเราะแห้งๆ อย่างนึกเกรง
“ก็ได้ๆ ชีวิตนี้ตามแต่ท่านจะบัญชาเลย” เธอพูดอย่างละเหี่ยใจ
“ฉันมีเรื่องสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมพวกเขาต้องใช้คำราชาศัพท์กับท่านด้วย”
“ราชันไพรสัณฑ์ทรงเป็นเจ้าเหนือหัว… อ่า…” หมอเฒ่ายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางตอบด้วยความลำบากใจ เพราะไม่ทราบความสำคัญของแม่หญิงโสมอย่างแน่ชัด
“เจ้าเหนือหัว!” โสมเผลอตะโกนออกมาแล้วก็ต้องกระอักกระไอจนตัวโยน เดือดร้อนให้ราชันหนุ่มต้องลูบหลังลูบไหล่ด้วยความห่วงใย
“พวกท่านบอกว่าคนที่อ้างตัวเป็นสามีของฉันคือเจ้าเหนือหัวน่ะหรือ”
“อ่า…”
“ตอบพระมเหสีเร็วเข้า” ทรงเข้าพระทัยว่าพวกหมอลังเลอะไร จึงรับสั่งบอกใบ้ให้รู้เพื่อให้ปฏิบัติตัวให้ถูก
“พระเจ้าค่ะ พระองค์คือราชันไพรสัณฑ์”
“แล้วฉันเป็น… อะไรนะ ตำแหน่งยาวๆ” โสมถามเสียงแหบ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะเป็นไปได้
“พระมเหสี เมียของข้าอย่างไรเล่า” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเจือขบขัน
“นั่นแหละ… พวกท่านยืนยันกับฉันได้ไหมว่าฉันเป็นพระมเหสีจริงๆ” เธอพยายามทำเสียงเข้มถามพวกหมอ ก่อนนึกขึ้น ด้ว่าคนที่โอบเธอไว้ในอ้อมพระอุระสามารถกดดันให้พวกหมอเออออไปด้วยได้จึงเงยหน้าขึ้น แล้วขึงตาใส่ “ท่านน่ะหันไปทางโน้นก่อนเลย อย่าไปกดดันพวกเขาเด็ดขาด แล้วพูดออกมาด้วยว่าจะไม่มีวันสั่งลงโทษพวกเขาโดยไม่มีความผิดอันสมควร”
“ก็ได้… ข้าจะไม่ลงโทษพวกเจ้าโดยไม่มีความผิดอันสมควร” ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ยอมหันไปทางอื่นเพื่อความสบายใจของนาง เพราะทรงทราบว่าไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเห็นแตกต่างจากพระองค์ได้ “ตอบคำถามพระมเหสีเถิด”
“เอ้อ… พระมเหสีบรรทมร่วมห้องกับราชันไพรสัณฑ์มาเนิ่นนานแล้วพระเจ้าค่ะ” หลังจากเกี่ยงกันตอบ ในที่สุดคนที่ถูกยัดเยียดให้ตอบก็ยอมกัดฟันพูดออกมาเลี่ยงๆ
“แล้วเรื่องมันเป็นมายังไง ฉันเป็นใคร ทำไมถึงมาเป็นพระมเหสีของพวกท่านได้” เธอถามพลางเหล่มองคนที่เบือนหน้าออกนอกวงสนทนาเผื่อว่าจะโดนตุกติก
“คือว่า… ไม่มีใครในแผ่นดินนี้รับรูว่าพระมเหสีเป็นใคร มาจากไหน” คนตอบเหลือบมองราชันไพรสัณฑ์ เมื่อเห็นว่าไม่ทรงส่งสัญญาณห้ามปรามอันใดก็ใจชื้นพอที่จะทูลถวายคำตอบ “คนในวังรู้แต่เพียงว่าพระมเหสีอยู่กับราชันไพรสัณฑ์ในคืนจันทร์เพ็ญที่พระตำหนักจันทราแห่งนี้ แล้วราชันก็ทรงประทานตำแหน่งราชองครักษ์ให้พระนางและหลังจากนั้นไม่นานก็ทรงให้พระนาง… อ่า… ขึ้น มาบรรทมร่วมห้องบนพระตำหนักสุริยัน”
“อ้าว… อย่างนี้แปลว่าเป็นเมียเถื่อนน่ะสิ ยังไม่ทันมีพิธีรีตองก็เรียกให้หาแล้ว” เธอพูดฉุนๆ เหลือบขึ้น ถลึงตาใส่คนที่เอียงหน้าลงมองเธอพร้อมลูบไหล่เธอเบาๆ เหมือนจะอ้อนเอาใจ
“เอ้อ!” เหล่าหมอเฒ่าต่างอึกอักด้วยพูดไม่ออก เริ่มรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้หนัก
“ตอนนี้บ้านเมืองไม่สงบนัก เวลายังไม่เหมาะแก่การอันเป็นมงคลนี้” รับสั่งพระสุรเสียงอ่อน “แต่ข้ามีเจ้าเพียงคนเดียวนะโสม ถึงจะยังไม่แต่งตั้ง เจ้าก็เป็นเมียเพียงคนเดียวของข้า”
“เชื่อได้หรือ ฉันกลัวว่าจะโดนทับแล้วทิ้ง ตัวฉันปกติเหมือนเขาเสียงที่ไหน ยิ่งเลอะเลือนจำอะไรไม่ได้อยู่”
“ทับแล้วทิ้งอย่างนั้นหรือ” ทรงทำเสียงขลุกขลักในลำพระศอ
เช่นเดียวกับที่เหล่าหมอเฒ่าที่กำลังก้มหน้าหมอบกราบจนหน้าแทบฝังลงบนพื้น
“หมอ… ช่วยดูทีรึว่านอกจากเลอะเลือนแล้ว นางยังมีความผิดปกติใดอีกที่ทำให้เป็นแบบนี้ได้”
“ความผิดปกติอีกอย่างที่ฉันเป็นคือการมีสามีแบบมึนๆ ต่างหาก” เธอแยกเขี้ยวใส่ “ไม่เห็นจะรู้สึกคุ้นสักนิดว่ามีสามีแล้ว ฉันว่าท่านเห็นฉันเลอะเลือนเลยมัดมือชกแน่ๆ”
“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว” พระทัยหายวาบเมื่อโสมเดาเรื่องราวได้ถูกต้องแต่ด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าจึงทรงไร้พิรุธ “ให้หายป่วยก่อนเถิด เจ้าจะต้องชดใช้ที่พูดเช่นนั้น”
โสมนึกขอบคุณรอยช้ำเป็นจ้ำบนใบหน้าที่ปิดบังไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังหน้าแดงเพราะรับสั่งหมายมาดแกมเล้าโลมของราชันไพรสัณฑ์
ส่วนเหล่าหมอเฒ่าก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ตนนั่งหมอบกราบอยู่จึงสามารถเผยยิ้มออกมาได้เต็มเปี่ยม
และราชันไพรสัณฑ์นึกขอบคุณที่มีหน้ากากภูตปิดหน้าปิดตาอยู่เพราะพระองค์คงไม่สามารถซ่อนสีแดงเรื่อบนพระพักตร์ได้อย่างแน่นอน
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว” ทรงโบกพระหัตถ์ไล่พวกผู้เฒ่าที่รีบเผ่นออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกลัวว่าจะโดนเรียกเอาไว้อีก
“ตกลงว่าฉันเป็นเมียท่านจริงๆ น่ะหรือ” โสมยังไม่หายคลางแคลงใจเพราะมันยากจะเชื่อจริงๆ
“จะให้ข้าพิสูจน์เลยหรือไม่” ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลเสียงดัง แต่พระหัตถ์ทำสิ่งที่ร้ายกว่าคือปลดเสื้อผ้าของคนป่วยออกจากกายราวกับเป็นเรื่องชอบธรรม
“ไม่ต้อง!” โสมร้องห้ามเสียงแหบแห้ง บิดตัวหนีทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางพ้นอ้อมพระอุระไปได้ “ฉันเชื่อแล้ว ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเชื่ออะไรได้สนิทใจเท่านี้เลยจริงๆ นะ”
“แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องถอดเสื้อ ผ้าของเจ้า” ราชันหนุ่มกระซิบข้างใบหูแล้วฝากจุมพิตแผ่วเบาที่มีอานุภาพหลอมละลายใจคนให้โอนอ่อนตาม “ข้าต้องทายาสมานแผลและยาแก้ฟกช้ำให้เจ้า”
“ให้ผู้หญิงมาทำให้ได้ไหม” หญิงสาวมองเสื้อผ้าของตนที่ถูกถอด
ไปวางบนตั่งข้างเตียงแล้วอยากกรีดร้อง แต่พอมองสำรวจร่างตัวเองเต็มตาแล้วอยากจะร้องไห้มากกว่าเพราะเนื้อตัวของเธอเน่ายิ่งกว่าเน่า โดยเฉพาะแผลที่ท้องที่กำลังตกสะเก็ดตามรอยเย็บน่าเกลียด
“ข้าเป็นคนทำให้เจ้ามาโดยตลอดและข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้ตลอดไป” ราชันหน้ากากภูตหยิบตลับยาทาแก้ฟกช้ำ ขึ้น มาป้ายแล้วทาเบาๆ บนผิวที่เขียวช้ำ
“ถึงอย่างนั้น ก็เถอะ ถ้าเป็นผู้หญิงด้วยกันมันจะสะดวกใจกว่านี่นา เข้าใจกันหน่อยสิ” หญิงสาวประท้วง เขินอายที่ต้องเปลือยต่อพระองค์และอับอายสภาพทุเรศทุรังของตัวเอง “ก็รู้ว่าที่ไม่ควรเห็นก็เห็นแล้ว ที่ไม่ควรจับก็จับแล้ว นั่นเพราะฉันหมดสติ แต่ตอนนี้ฉันมีสตินี่นา ความรู้สึกมันต่างกัน”
“อย่าคิดให้วุ่นวายใจไปเลยโสม เจ้าไม่มีอะไรที่จะต้องอายข้าอีกแล้ว” รับสั่งอย่างพยายามปลอบโยน
“แน่สิ! ก็ท่านลูบๆ คลำๆ อยู่ทุกวัน!” เธอพูดอย่างฉุนๆ แต่ราชันหนุ่มกลับทรงพระสรวลออกมา
“ยอมข้าเสียดีๆ เถิด เจ้าขัดขืนข้าไม่ได้อยู่แล้ว”
“ถ้าบังคับมากๆ แข็งแรงเมื่อไหร่จะหนีไปไกลๆ เลย” เธอพึมพำเสียงเบาด้วยความไม่พอใจ
“ถ้าข้าจับได้เมื่อไหร่เจ้าต้องได้รับบทเรียน” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเข้มดุอย่างเอาจริง “ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่มีปัญญาหนีไปไหนได้อีก”
“ท่านจะทำอะไร” โสมถามนิ่งๆ ทั้ง ที่ในใจเดือดดาลกับการวางอำนาจของราชัน
“ทำให้ท้อง! ดูซิว่าถ้าอุ้มท้องอยู่เจ้าจะกล้าหนีออกไปให้ตัวเองกับลูกตกระกำลำบากหรือไม่!” รับสั่งเสียงห้วนแต่จริงจัง ทำให้คนฟังสะดุ้งโหยงและเลือดร้อนๆ แล่นพล่านไปทั้งตัวจนเหมือนถูกลวก
“ถ้าไม่หนีสัญญานะว่าจะไม่ทำ”
“ไม่สัญญา! ทันทีที่เจ้าพร้อมข้าจะทำให้ท้องทันที โทษตัวเองเถิดโสม มันเป็นเพราะเจ้าทำให้ข้าระแวงเอง” ด้วยแรงพระอารมณ์ทำให้ปลายพระดัชนีที่กำลังทายาบนรอยช้ำ บริเวณเนินอกกดลงแรงไป หญิงสาวร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด หน้าซีดขาวไปในทันที
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าเจ็บ ข้าขอโทษ” ราชันไพรสัณฑ์ขยับประคองร่างของโสมนอนลงบนเตียงตามเดิมด้วยความทะนุถนอมอย่างที่สุด หญิงสาวเห็นท่าทีร้อนพระทัยและสำนึกผิดของพระองค์ก็โกรธไม่ลง จึงผ่อนลมหายใจขับไล่ความเจ็บปวดแล้วทำท่าเหมือนหายเจ็บแล้ว
“ฉันเจ็บนิดเดียว ทำท่าอย่างกับฉันจะตาย” เธอพูดประชด
“เจ้าเจ็บมามากเกินพอแล้ว ข้าไม่ต้องการให้เจ้าต้องเจ็บอีก” ราชันไพรสัณฑ์ยื่นพระหัตถ์อันสั่นเทาแตะตรงรอยที่พระองค์ทำนางเจ็บเบาๆ “ยังเจ็บอยู่อีกหรือไม่”
“ไม่เจ็บแล้ว” โสมตอบด้วยความประหม่า ในใจร้องลั่นว่าไม่คุ้นชินกับการแตะต้องของราชันไพรสัณฑ์ “ไม่ต้องรู้สึกผิดมานักหรอก จะทำอะไรก็ทำต่อเถอะ”
ราชันไพรสัณฑ์ลอบยิ้ม ในหน้ากากภูต พระหัตถ์แสนเจ้าเล่ห์ลูบไล้ตัวยาลงบนผิวของนางแผ่วเบาแต่เจือกระแสความร้อนที่นางคงรับรู้ถึงได้นอนกลั้นหายใจจนตัวแข็ง จนกระทั่งทรงปลดพันธนาการชิ้นล่างนางก็ลนลานร้องห้ามด้วยท่าทางน่าเอ็นดูนัก
“อย่านะ! แค่ถลกขากางเกงขึ้น มาไม่ได้หรือไง!”
“ชูว์! อย่าพูดมาก” ราชันหนุ่มไม่ฟังเสียงจัดการดึงกางเกงลงทันทีเพื่อให้นางอยู่ในสภาพที่เปิดเผยอย่างยิ่ง นางร้องอุทานด้วยความโกรธและอาย แต่ก็ไม่ทรงสนพระทัยมากไปกว่าการบังคับให้นางยอมรับสัมผัสของพระองค์ให้ได้
“คนบ้า! ผีทะเล! ถ้ามีแรงเมื่อไหร่ฉันจะทำให้ท่านเสียใจที่มาทำกับฉันอย่างนี้!” โสมกล่าวหมายโทษ พยายามหนีบขาเข้าหากันแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายได้
“ข้าเป็นสามีของเจ้า มีสิทธิเหนือเจ้าทุกอย่าง” ราชันหนุ่มปาดเนื้อยาแล้วลูบไล้บนต้นขาเรียบเหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะทำ “เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไว้ใจข้าและอยู่ข้างกายข้าเท่านั้น”
โสมสาวหลับตาแล้วเบือนหน้าหนี รู้สึกเกลียดราชันไพรสัณฑ์เหลือเกินที่ไม่ยอมให้เวลาเธอทำความเข้าใจกับสถานการณ์มากกว่านี้
เกลียดเหลือเกินที่ทรงรับสั่งความจริง เกลียดที่ตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสิ่งที่พระองค์เสนอให้ และเกลียดที่ตัวเองเห็นด้วยกับรับสั่งของพระองค์ว่าเธอไว้ใจใครไม่ได้จริงๆ นอกจากบุรุษที่กำลังรังแกเธออยู่ในตอนนี้!