Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 28

ตอนที่ ๒๘

แผนการ

ตั้งแต่โสมถูกพากลับมารักษาตัว ราชองครักษ์หิรัญก็ไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักคืน เขาคิดว่าในเมื่อราชันไพรสัณฑ์หลงใหลนางนักอาจจะถูกนางทูลความเท็จทำให้เกิดอันตรายต่อพระองค์ได้ ที่ผ่านมาเขาพยายามเพ่งสมาธิเพื่อฟังการสนทนาในห้อง แต่วันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่เคยได้ยินเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาเลย ละม้ายกับว่าราชัน

ทรงร่ายคาถาปิดกั้นเอาไว้ ไม่มีสิ่งใดจะเล็ดรอดออกมาจากห้องนั้นได้ และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้หากไม่ทรงอนุญาต

หัวใจของราชองครักษ์หนุ่มสับสนวุ่นวายไปหมด เขาพยายามสังเกตพระอิริยาบถของราชันเพื่อคาดเดาเหตุการณ์ แต่ก็ไม่ทรงแสดงอะไรออกมาให้เห็นเลย ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มคิดว่าราชันไพรสัณฑ์ทรงระแวงในตัวเขาจึง

ได้จับให้มาอารักขาอยู่ใกล้ตัวทั้งที่แทบไม่มีหน้าที่ใดเลยนอกจากขนข้าวขนของมาบำรุงบำเรอคนป่วยและขนงานราชการมาให้ราชันเท่านั้น แต่ที่ราชันยังไม่ทรงลงพระอาญาอาจเป็นเพราะว่าตัวเขายังมีประโยชน์อยู่หรือไม่อาจเป็นเพราะโสมยังไม่มีความหมายมากพอ แต่เหตุผลหลังคงจะเป็นไปได้ยากในเมื่อทรงทะนุถนอมถึงเพียงนั้น แล้วที่ทรงนิ่งเงียบอยู่

หมายความว่าอะไร กำลังบีบให้เขาสารภาพผิดใช่หรือไม่!

ราชองครักษ์หนุ่มยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ราชันไพรสัณฑ์เป็นดาบที่คมในฝักอยู่แล้ว แม้ตัวเขาจะรับใช้ใกล้ชิดมานานก็ไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อยู่ในพระทัยได้ทุกครั้ง โสมกลายเป็นสี้ยนหนามที่เขาจะต้องสังหารให้ได้

หากมีโอกาส เขาคิดว่าหากนางตายเสียได้ แม้เขาต้องตายก็นับว่าพอจะคุ้มค่าอยู่บ้างเพราะสตรีผู้นั้น จะไม่มีทางฟื้นขึ้น มาล่อลวงราชันได้อีก ไม่ใช่ว่าเขาสบประมาทว่าราชันทรงโง่เขลา แต่มารยาหญิงนั้น คือสุสานของบุรุษ หากเขาสังหารโสมไม่ได้ เขาก็จะให้ธรรม์มารับโสมกลับไป!

“หิรัญ” พระสุรเสียงราบเรียบของราชันไพรสัณฑ์เกือบทำให้ราชองครักษ์หิรัญสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบทำความเคารพเจ้าเหนือหัวด้วยหัวใจที่เต้นกระหนํ่าเสียงดังจนเกรงว่าราชันจะทรงสดับได้

ช่วงเวลาที่ไม่ทรงรับสั่งอันใดออกมานั้นแสนสั้นแต่ก็ยาวนานนักในความรู้สึกของเขาที่มีชนักปักหลังอยู่ จนต้องคุกเข่าตัวเกร็งและมองพระบาทของพระองค์จนแทบทะลุ

“เมื่อครู่เจ้าเหม่อรึ” รับสั่งถามเหมือนจะแปลกพระทัย

“มันจะไม่เกิดขึ้น อีกพระเจ้าค่ะ”

“อะไรทำให้เจ้าเหม่อได้” ทรงดึงไหล่ของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น “หากเป็นเรื่องงานแล้วเจ้าคงระวังตัวมากกว่านี้เป็นเรื่องผู้หญิงใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่พระเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธขณะช่างใจอยู่ว่าจะเอ่ยปากถามถึงอาการคนในห้องดีหรือไม่

“ข้าคงใช้งานเจ้าหนักเกินไป มันช่วยไม่ได้ที่เจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด” พระหัตถ์ใหญ่ตบลงบนไหล่ของหิรัญ ในความรู้สึกของอีกฝ่ายแล้วพระหัตถ์นี้หนักอึ้งดุจขุนเขา “ข้าจะให้เจ้าพักผ่อนสองวัน ไปหาคนที่เจ้าวุ่นวายใจคิดถึงอยู่ให้สมใจเสียเถิด”

“ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการ…”

“สั่งให้ไปก็ไปสิ”

“พระเจ้าค่ะ”

ราชันไพรสัณฑ์ยืนทอดพระเนตรแผ่นหลังของราชองครักษ์หิรัญด้วยความเงียบงัน จนเมื่อราชองครักษ์หนุ่มจากไปแล้วบรรยากาศสนิทสนมเมื่อครู่พลันหายวับไปราวกับภาพลวงตา แทนที่ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงัดและอันตราย

สายลมเยือกหนึ่งพัดผ่านช่องหินของพระตำหนักเกิดเป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนเบาๆ อากาศเย็นยะเยือกโรยตัวเข้าปกคลุมอย่างช้าๆ จนกระทั่งดูเหมือนว่าพระตำหนักหลุดเข้าไปอยู่ในโลกที่เหลื่อมล้ำ ระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ

“ไปสิหิรัญ… จะทำอะไรก็รีบทำ” พระสุรเสียงแหบตํ่าฟังละม้ายคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ร้ายรับสั่งอย่างแผ่วเบา กระแสลมโหมกรรโชกรุนแรงในบัดดล เกิดเป็นเสียงหวีดร้องโหยหวนและเสียงกิ่งไม้กระทบกันราวกับการฆ่าฟันดังขึ้น ยังผลให้ทหารภูตทุกนายขนลุกชันขึ้น ทั้งกายด้วยความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณมนุษย์ แต่อีกเสี้ยวจิตวิญญาณหนึ่ง

ของภูตกลับกู่ร้องรับอย่างเห่อเหิม

เวลาแห่งการฆ่าฟันใกล้เข้ามาแล้ว รอเพียงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น!

ท้องฟ้ายามคํ่าคืนมืดมิดและพราวระยับไปด้วยดวงดาวดุจผ้าคลุมผมที่ถักทอจากเพชรแท้ จันทราวันขึ้นสิบเอ็ดค่ำคล้อยต่ำจนลับไปกับขอบป่า เหล่าคนเสเพลออกเที่ยวเมาหยำเปตามร้านสุรา บ้างก็เข้าไปเสี่ยงโชค บ้างก็มั่วสุมเสพยา บ้างก็บินดอมหอมผกายังเรือนเริงรมย์ แต่คํ่านี้เรือนเริงรมย์ทั้ง ครึกครื้นและเข้มงวดด้วยมีการพบปะพูดคุยกันอย่างลับๆ ระหว่างผู้ร่วมอุดมการณ์โค่นอำนาจราชัน

บรรดาชายฉกรรจ์ที่นั่งกินดื่มอยู่รอบห้องพิเศษนั้น แม้จะดูผ่อนคลายแต่ก็ไม่คลายความระมัดระวังภัย

ให้แก่เจ้านายซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่ไว้วางใจกัน บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความเป็นมิตรจอมปลอมที่ชวนอึดอัด

ภายในห้องพิเศษนั้น ธรรม์มองหน้าชายผู้เป็นแกนนำของการก่อกบฏด้วยความระมัดระวัง ท่านกรวิกเข้ารับราชการมาตั้งแต่ครั้งรัชสมัยของราชันอคิราภ์และเป็นเจ้ากระทรวงยุติธรรมในรัชสมัยนี้ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าท่านกรวิกเป็นพี่ชายต่างมารดาของราชันไพรสัณฑ์ นั่นหมายความว่าราชันไพรสัณฑ์ไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงแห่งราชันอคิราภ์จึงไม่ควรค่าแก่การกราบไหว้เป็นเจ้าชีวิต!

ชายหนุ่มเริ่มมองหาความเหมือนของราชันไพรสัณฑ์และท่านกรวิก คิ้วของคนตรงหน้าไม่เหมือนเลยสักนิด จมูกนั่นดูเหมือนจะโด่งน้อยกว่า โหนกแก้มก็ไม่สูงเท่า ริมฝีปากไม่เหี้ยมเกรียมเท่า ใบหูก็ไม่เหมือน สิ่งเดียวที่ดูคล้ายกันก็คงเป็นเพียงดวงตาคู่นั้น ผิดตรงที่ว่าแววตาของชายตรงหน้าเย็นชากว่าราชันไพรสัณฑ์

“หากท่านจะมองหน้าข้าเพียงอย่างเดียว ข้าก็จะกลับ” ท่านกรวิกพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางเยือกเย็น

“ข้าเพียงกำลังสังเกตว่าท่านกับไพรสัณฑ์คล้ายกันตรงไหนบ้างเท่านั้น เอง” ธรรม์เหยียดยิ้ม

“จะคล้ายหรือไม่แล้วยังไง”

“ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก” ชายหนุ่มยิ้ม ซึ่งไปไม่ถึงดวงตา

“เพราะถึงอย่างไรท่านก็เป็นญาติของไพรสัณฑ์ และเป็นเครื่องมือที่ทุกคนจะใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจอยู่ดี”

“ตอบได้ไร้น้ำใจดี” เจ้ากระทรวงยุติธรรมยกมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง อย่างไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของคนตรงหน้า “ท่านเองก็มีประโยชน์กับเรามาก ผู้คนที่ท่านจะนำมารบพุ่งตายแทนพวกเราก็มีประโยชน์เช่นกัน”

“เราต่างก็ใช้อีกฝ่ายเป็นเครื่องมืออยู่แล้ว” ธรรม์ผู้เป็นหัวหน้านักรบฝ่ายกบฏตอบพลางกลั้วหัวเราะ แต่แววตาเหี้ยมเกรียมขึ้น “แต่ถ้าเครื่องมือของข้าใช้การไม่ได้ ข้าก็จะโละทิ้งเสียเพราะไม่เห็นประโยชน์อีก”

“มีอะไรที่ขัดใจท่านอย่างนั้นหรือ”

“ข้าไม่เคยได้รับข่าวสารที่ต้องการเกี่ยวกับไพรสัณฑ์เลย” ชายหนุ่มจ้องดวงตานิ่งสงบของอีกฝ่ายนิ่ง “พวกท่านทำงานกับไพรสัณฑ์ สายลับในวังก็มาก แต่ไฉนกลับไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดๆ ของไพรสัณฑ์หรือพวกท่านรู้ แต่จงใจปิดบัง”

“ปิดบังท่านก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” ท่านกรวิกบอกเรียบๆ “ที่พวกเราไม่รู้การเคลื่อนไหวของราชันไพรสัณฑ์เลยก็เป็นเพราะทรงระวังพระองค์มาก ความจริงแล้วท่านเป็นคนที่ควรรู้มากที่สุดว่าราชันรอบคอบและระมัดระวังมากเพียงใด”

ธรรม์หรุบตาลงเพื่อซ่อนประกายตาของตน ตัวเขารู้จักไพรสัณฑ์ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนเท่านั้น แต่ไพรสัณฑ์ที่เลือดเย็นและเหี้ยมเกรียมนั้น เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เจ้าเด็กนั่นเติบโตอย่างกร้านโลก เย็นชาโดดเดี่ยว และอันตราย ทั้ง ยังไร้เกียรติด้วยการสั่งสังหารโสมทั้งที่นางไม่มีความผิดใด!

เขาและนางเพียงแต่รักกันเท่านั้น!

“แต่เรารู้มาว่าตลอดหลายสัปดาห์มานี ราชันไพรสัณฑ์ประทับอยู่ที่พระตำหนักจันทราทั้งวันทั้งคืน มีหมอหลวงเดินเข้าเดินออกเป็นว่าเล่น

ทหารภูตก็ตรึงกำลังแน่นหนาแต่ไม่มีใครได้รับประทานอนุญาตให้ขึ้น ไปรับใช้บนพระตำหนัก เว้นแต่ราชองครักษ์หิรัญและหมอหลวงเท่านั้น ”

“ไพรสัณฑ์บาดเจ็บหรือ”

“ไม่มีใครรู้เพราะไม่ทรงปรากฏตัวให้ใครเห็นเลย”

“แล้วราชองครักษ์อีกคนหนึ่งล่ะ หายไปไหน” ชายหนุ่มแค่นเสียงถามทั้ง ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ท่านราชองครักษ์โสมคนโปรดน่ะหรือ” ท่านกรวิกหรี่ตาจับกิริยาของหัวหน้านักรบฝ่ายกบฏที่เผลอแสดงออกมาเพียงชั่วพริบตาด้วยความแคลงใจ “เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับท่านผู้นี้เลย เขาไปมาเหมือนเงาแต่ทำการอุกอาจนัก จำได้หรือไม่ว่าเขาเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารเสือที่สังหารโหดล้างเรือนคนของเราและอาจทำงานลับๆ ให้กับราชัน ดังนั้น เขาจึงเป็นบุคคลอันตรายที่เราควรระวังอีกคนหนึ่ง”

เสียงของหล่นที่หน้าประตูห้องทำให้ทั้งสองที่สนทนากันอยู่ไหวตัวด้วยความเคร่งเครียด ชายฉกรรจ์ที่เฝ้าประตูอยู่ร้องเอ็ดออกมาเสียงดุดัน ฟังได้ความว่านางคนงามของเรือนมืออ่อนทำไหสุราที่เตรียมยกมาบริการหล่นเลอะเทอะ แม่เล้ารีบเอ่ยขอโทษขอโพยแล้วแก้ไขปัญหาด้วยการเช็ดล้างจนสะอาดและเพิ่มไหสุราให้เป็นกำนัล

“ไล่นางไป” ท่านกรวิกตะโกนบอกเสียงเข้ม

“ให้นางเข้ามาเถอะ นางเป็นคนของข้า” ธรรม์บอกเรียบๆ ทำให้อีกฝ่ายไม่คัดค้าน ในที่สุดนางคนงามของเรือนก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาปรนนิบัติ

เจ้ากระทรวงยุติธรรมเขม้นมองนางสุวิมลด้วยแววตาเย็นชา แม้เขาจะไม่ฝักใฝ่ในกามอารมณ์จึงไม่เคยมาเรือนเริงรมย์แห่งนี้แต่ก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนางสุวิมลมาบ้าง เขามองสำรวจนางทั่วทั้งตัว ด้วยแววตาสงบนิ่งและยอมรับอยู่ในใจว่านางเป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง หากแต่การวางตัวเย่อหยิ่งไม่น่าทะนุถนอมอย่างยิ่ง

“เรือนเริงรมย์เป็นของท่านอย่างนั้นหรือ” ท่านกรวิกถามอย่างพยายามประเมินว่าชายคนนี้ควบคุมกิจการใดในเมืองนี้บ้างนอกจากร้านยาและบ่อนการพนัน

“ไม่ใช่” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ แต่เขาไม่อธิบายว่าแม่เล้าเป็นหนี้เขาอยู่มหาศาล ดังนั้น แม้ไม่ใช่เจ้าของกิจการแต่หากเขาอยากได้อะไรแม่เล้าก็ต้องจัดให้ทุกอย่าง “เจ้าคอยเติมสุราอย่าให้ขาด”

นางสุวิมลรับคำสั่งอย่างขมขื่น แต่ในเมื่อนางต้องการอยู่ในห้องนี้ จึงจำต้องทำ

ธรรม์มองท่าทางอาการของนางด้วยรอยยิ้ม อันปราศจากความขบขัน

“เรื่องท่านราชองครักษ์โสมท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป” หัวหน้านักรบกลุ่มกบฏยกสุราขึ้น ดื่มราวกับว่ามันสามารถทำให้ไฟแค้นในอกลุกโชนได้มากกว่าเดิม “คนตายทำอะไรได้ไม่มากหรอก”

ขวดสุราในมือของนางสุวิมลร่วงตกจนสุราส่วนที่เหลือไหลนองเต็มพื้น ชายทั้งสองมองใบหน้างามอันซีดเผือดสลับเขียวคล้ำคนหนึ่งสีหน้าราบเรียบอย่างคาดการณ์ได้ อีกคนหนึ่งจับสังเกตด้วยความสงกา แต่ทั้งสองเลือกที่จะไม่พูดอะไร จนกระทั่งนางหาปากตัวเองเจอจึงได้เอ่ยถามขึ้น มาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวัง

“คุณท่านพูดจริงหรือ”

“โสมถูกทหารภูตสังหาร” ธรรม์คว้าไหสุราอีกไหหนึ่งขึ้นกรอกกับปาก “ข้ามองเขาผ่านขันน้ำมนต์ เห็นทหารภูตนายหนึ่งแทงเขาและเมื่อข้ารีบติดตามไปก็ไม่พบศพหรือแม้แต่ร่องรอยใด”

“ท่านอาจเข้าใจผิด” นางยิ้ม ปากสั่นอย่างมีความหวัง

“เจ้าสงสัยในวิชาอาคมของข้าหรือ”

นางสุวิมลเย็นวาบตลอดกาย นางไม่อาจสงสัยในวิชาอาคมของท่านธรรม์ได้เลยเพราะท่านเป็นเอตทัคคะ แต่นางก็ไม่อยากจะเชื่อว่าท่านโสมผู้เจ้าเสน่ห์ แข็งแกร่งและเฉลียวฉลาดผู้นั้นจะสิ้นชีพไปแล้วด้วยน้ำมือของทหารภูต

“ข้าต้องการฟังคำอธิบายเรื่องนี้” ท่านกรวิกเอ่ยขัด “ทำไมทั้งท่านและนางคนนี้จึงเป็นเดือดเป็นร้อนกับการตายของท่านราชองครักษ์โสมนักทั้ง ที่ควรจะดีใจเสียมากกว่า”

“โสมเป็นสหายรักของข้า” ธรรม์จ้องตาหัวหน้ากลุ่มกบฏด้วยแววตาราบเรียบ ก่อนหันไปสั่งนางคนงามของเรือนให้ตอบคำถามเองด้วยสายตา

“ท่านโสมเป็นคนที่ข้ารัก” นางสุวิมลเชิดหน้าอันซีดเผือดตอบอย่างไม่สนใจใคร ครั้นภาพของโสมผ่านเข้ามาในความทรงจำในชั่ววูบนั้นดวงตาของนางก็แดงก่ำและรื้น ไปด้วยน้ำตา

“ข้าไม่สงสัยในวิชาอาคมของท่าน เพียงแต่เหตุใดจึงเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น ในเมื่อท่านราชองครักษ์เป็นคนสนิทของราชัน หรือว่าทหารภูตที่สังหารท่านผู้นั้น จะเป็นผู้ทรยศ” หัวหน้ากลุ่มกบฏทักท้วงด้วยความแคลงใจ

“ทหารภูตไม่สามารถทรยศได้” ธรรม์บอกเสียงหยัน “นับแต่ตอนที่ราชันหน้ากากภูตประทานหน้ากากให้สวม คำสาปที่อยู่บนหน้ากากจะเริ่มทำงาน หากผู้ใดทรยศหักหลังราชันด้วยการเอาใจออกห่าง มันจะต้องตายด้วยถูกคำสาปดูดวิญญาณ”

“เจ้ากำลังจะบอกว่าราชันไพรสัณฑ์…”

“ใช่!” หัวหน้านักรบฝ่ายกบฏพูดขัดขึ้น เพราะไม่สามารถทนฟังคำพูดหลังจากนั้นได้

“ข้าก็ยังไม่เข้าใจ” ท่านกรวิกยกสุราขึ้นดื่มอย่างใจเย็น “ท่านนำนางสุวิมลเข้ามาทำไมและพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม”

“เพราะข้าต้องการใช้งานท่านอย่างไรเล่า ท่านกรวิก” ธรรม์หัวเราะอย่างปราศจากอารมณ์ขัน “ข้าจะให้ท่านกดดันราชันไพรสัณฑ์ให้รับนางสุวิมลไปเป็นสนม”

นางสุวิมลสูดลมหายใจเข้าแรงด้วยความตกใจและไม่ยอมรับ นางสับสนว่าท่านธรรม์ต้องการอะไรจากเรื่องนี้ แล้วเจ้าปีศาจนั่นจะยินยอมปล่อยนางไปหรือ

ส่วนท่านกรวิกทำเพียงแค่เหลือบมองด้วยท่าทางสงบจนเกินไป “ท่านต้องการอะไรจากเรื่องนี้”

“ข้าต้องการให้นางเข้าไปอยู่ใกล้ชิดคนที่สั่งฆ่าบุรุษคนรักของนาง” ชายหนุ่มบอกห้วนๆ ไม่เผยความต้องการที่แท้จริงออกมา “ในเมื่อพวกท่านไม่เคยสืบข่าวที่น่าพอใจของไพรสัณฑ์ได้เลย ข้าก็จำเป็นต้องลองเสี่ยงว่ามารยาหญิงจะสามารถง้างความลับของไพรสัณฑ์ได้หรือไม่”

“การจะกดดันให้ราชันไพรสัณฑ์รับคนสถานะอย่างนางเป็นสนมมันยากเกินไป จำต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าเสมอกัน” หัวหน้ากลุ่มกบฏหรุบตาลงซ่อนความคิด “และใช่ว่าราชันไพรสัณฑ์จะลุ่มหลงในสตรี มิเช่นนั้น ป่านฉะนี้พระองค์คงมีสนมหลายนางแล้ว”

“เรื่องนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางสุวิมลไปเถอะ” เขาบอก แล้วเหลือบมองนางคนงามที่ยังนั่งหน้าซีดและทำท่าจะหลั่งน้ำตา “เจ้าทำได้ใช่หรือไม่”

นางสุวิมลสะอื้น ในลำคอด้วยความอดสูใจ ครั้นเมื่อคิดว่านางจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำลายคนที่สั่งสังหารบุรุษที่นางรักนางก็ปัดความรู้สึกสงสารตัวเองออกไปได้ทันที มันคุ้มค่าแล้วที่นางจะแลกศักดิ์ศรีอันมีเหลืออยู่น้อยนิดของตนเพื่อแก้แค้นให้กับเขา… คุ้มค่าแล้ว!

“อิฉันทำได้เจ้าค่ะ” นางสุวิมลหลั่งน้ำตาด้วยความแค้นอันมุ่งมั่น

“ราชันไพรสัณฑ์ย่อมรู้ว่าเราต้องการยัดเยียดนางให้กับพระองค์ด้วยจุดประสงค์แอบแฝงอันใด นี่ไม่ใช่ว่าเป็นแผนโง่ๆ หรอกหรือ”

“สิ่งที่ท่านต้องทำให้ได้ก็แค่พานางไปพบไพรสัณฑ์ไม่ว่าจะโดยเปิดเผยหรืออย่างลับๆก็ตาม ที่เหลือ… เจ้าคงรู้กระมังสุวิมลว่าควรทำอย่างไร”

“ข้าคือผู้หญิงที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นนางนกต่อแก่พวกท่านจริง” นางสุวิมลชิงพูดขึ้น ไม่สนใจว่าจะเป็นการข้ามหน้าข้ามตาธรรม์ “ข้าจะกราบทูลพระองค์แบบนี้และจะกราบทูลอีกว่าถูกบังคับให้ทำ ที่ยอมทำเพราะอยากพ้นจากขุมนรกของพวกท่านและข้ายอมสวามิภักดิ์แด่พระองค์ ทุกสิ่งล้วนแต่พระองค์จะบัญชา”

“ความแค้นทำให้เจ้าฉลาดขึ้น” ชายหนุ่มยกไหสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง “เจ้าคงฉลาดพอที่จะรู้ว่าควรเปิดเผยเรื่องใด และควรเก็บเรื่องใดไว้เป็นความลับ”

“อิฉันรู้เจ้าค่ะ”

“แต่ราชันไพรสัณฑ์ไม่ใช่คนโง่ พระองค์ย่อมต้องดูออก” ท่านกรวิกท้วง

“เก็บศัตรูไว้ในสายตาดีกว่าปล่อยให้ศัตรูไปกระทำการลับหลังมิใช่หรือ” ธรรม์พูดเสียงเยาะหยัน “เมื่อถึงเวลานั้น ไพรสัณฑ์จะเป็นคนตัดสินเองว่าจะรับนางสุวิมลเอาไว้หรือไม่ หากรับก็สมประสงค์ของเรา หากไม่รับก็แค่เสมอตัว มันก็เหมือนการพนันนั่นล่ะท่านกรวิก หากไม่วางเดิมพันแล้วจะมีโอกาสชนะหรือ”

“แล้วข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับราชันเพื่อการนี้ล่ะ” เจ้ากระทรวงยุติธรรมถาม ยกจอกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง เพื่อปิดบังประกายตา

“เราจะหยุดเคลื่อนไหว” ธรรม์บอก “แต่ก็ทำแค่ให้พระองค์เชื่อว่าเราหยุดเคลื่อนไหวเท่านั้น เพราะเราจะเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นความลับยิ่งกว่าเดิม”

“พระองค์คงยังพอคาดการณ์เรื่องนี้ได้”

“คาดการณ์ได้แล้วอย่างไร” หัวหน้านักรบฝ่ายกบฏเหยียดยิ้ม “ไพรสัณฑ์ต้องรู้ว่าหากรับข้อเสนอของเราก็จะซื้อ เวลาได้สักพักหนึ่ง แต่ถ้าไม่รับข้อเสนอของเราก็อาจสันนิษฐานได้ว่าฝ่ายนั้น เขาก็อาจพร้อมรบแล้วหรือไม่ก็แค่สร้างความสับสนให้กับเรา เราแค่เดิมพันลงไปเท่านั้น”

“ก็ต้องรอดูว่าจะทรงรับข้อเสนอหรือไม่” ท่านกรวิกยอมรับในที่สุด

พูดคุยกันต่อสองสามประโยคหนุ่มใหญ่ก็ลากลับอย่างเงียบๆ

“อิฉันเป็นอิสระแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะท่านธรรม์” นางสุวิมลถามเสียงเย็นชาเมื่อคนนอกลับจากห้องไป

“เจ้าเป็นอิสระจากน้องชายของข้าแล้ว” เขาบอกเรียบๆ “ไม่อยากรู้หรือว่าข้าทำได้อย่างไรในเมื่อข้ายินยอมให้น้องชายยึดเจ้าใช้มาตลอด”

“อิฉันไม่สนเรื่องนั้น” นางสุวิมลบอกความจริงแล้วนางพอจะรู้ว่าท่านธรรม์ทำได้อย่างไรเพราะเมื่อก่อนท่านไม่ใช่คนเช่นนี้

“นางนั่นเป็นอย่างไรบ้างเล่า รับแขกได้ดีหรือไม่”

“นางอรดีขัดขืนในตอนแรกเจ้าค่ะ แต่ภายหลังก็รับแขกได้ดี”

ธรรม์หัวเราะเสียงดังทำให้นางสุวิมลเย็นเยือกไปทั้งกาย เมื่อก่อนท่านธรรม์ไม่ใช่คนแบบนี้สักนิด ท่านอบอุ่น เป็นสุภาพบุรุษและใจเย็น แต่มาบัดนี้ท่านกลับเหี้ยมเกรียม ดุร้าย และเลือดเย็นนัก นางแทบไม่อยากเชื่อว่าท่านจะส่งภรรยาของตัวเองมาเป็นโสเภณีที่เรือนเริงรมย์แห่งนี้ จนกระทั่งได้เห็นกับตาตัวเองว่านางอรดี ‘รับแขก’ ด้วยแววตาและท่าทาง

เหมือนคนตายทั้งเป็น

“เจ้าออกไปเก็บข้าวของให้เรียบร้อย ข้าจะบอกแม่เล้าเองว่าจะรับเจ้ากลับไป”

“แล้วอิฉันต้องปะหน้ากับท่านโสมน้องชายของท่านอีกหรือไม่” นางถามพร้อมสั่นเยือกไปทั้งกายด้วยความขยะแขยง

“ข้าจะไม่ให้โสมรบกวนเจ้าแน่นอน” ชายหนุ่มรับปากขณะลุกขึ้น แล้วก้าวออกจากห้อง กระนั้น เขาก็ยังรู้ว่านางสุวิมลมีสีหน้าดีขึ้นเพียงใดกับคำตอบนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!