ตอนที่ ๓๑
เสียงหัวเราะ
เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะระริกด้านนอกดังเล็ดลอดเข้ามายังห้องพิเศษด้านในซึ่งธรรม์กำลังร่ำสุราอยู่อย่างเดียวดาย ชายหนุ่มตัดขาดตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในหัวมีเพียงภาพความหลังของตนกับโสม ทั้ง ตอนที่เจอนางครั้งแรกซึ่งเขาเกือบปลิดชีวิตนางในป่า ครั้งที่กินขนมเรไรจากมือของนาง ครั้งที่นางเข้าบ่อนแล้วสำแดงความมีโชคจนเขาระย่อและการจากกันอันแสนหวานล้ำ ระคนเจ็บปวดในครั้งนั้น
เขาเคยสงสัยว่าเริ่มรักนางตั้ง แต่เมื่อใด ในเมื่อเขาและนางมีโอกาสได้พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เขาคิดว่าคงเป็นตั้ง แต่แรกพบในป่าตอนนั้น นางแสนจะกวนโทสะแต่ก็ทำให้เขาหัวเราะและนับถือ จะมีสตรีนางใดบ้างเล่าที่ยังทำระรื่นสู้กับบุรุษทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่อาจพ้นความตาย กำลังใจอันกล้าแข็งและอารมณ์ขันผิดที่ผิดเวลาของนางตรา
ตรึงเขาไว้โดยง่าย หลังจากคืนนั้น ใบหน้าของนางก็เป็นใบหน้าสุดท้ายที่เขาคิดถึงก่อนหลับตานอน
มือใหญ่ล้วงเอาผ้าสไบที่พับซ้อนเอาไว้แนบอกออกมาลูบไล้อย่างทะนุถนอม สไบผืนนี้เป็นของนางและเขาก็ได้นำติดตัวไปทุกหนแห่งประดุจว่าเป็นสิ่งนำโชค จมูกโด่งเป็นสันฝังลงบนเนื้อผ้านุ่มซึ่งบัดนี้กลิ่นหอมได้จางหายไปหมดสิ้น แต่เขารู้ว่ามันไม่เคยจางหายไปไหน มันยังคงอยู่ที่นี่… ในหัวใจของเขา
หัวหน้ากองทหารกลุ่มกบฏเงยหน้าขึ้น มองดวงจันทร์เว้าแหว่งบนผืนฟ้าสีราตรีด้วยหัวใจอันเหน็บหนาวและปวดร้าว ธรรม์ไม่รู้ว่าสามารถหายใจอยู่จนชั่วเวลานี้ได้อย่างไร ภาพการตายของโสมผุดเข้ามาในห้วงคำนึง อานุภาพร้ายแรงของมันส่งผลให้เขาต้องหลั่งน้ำตาตกต้องสไบผืนงามจนเป็นวงน้ำก่อนจะค่อยๆ เหือดแห้งหายไปกับลมราตรีราวกับไม่เคยมีอยู่เลย
เสียงเจรจาหน้าห้องดังขึ้น เตือนให้ธรรม์ปัดเป่าความรู้สึกอ่อนแอทั้งหมดให้รอดพ้นจากสายตาของผู้มาใหม่ ชายหนุ่มเมินหน้ามองออกนอกหน้าต่างขณะรอให้ผู้นัดพบนั่งผ่อนคลายอารมณ์และทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายจับสังเกตอยู่เงียบๆ คาดว่าจะเป็นเพราะดวงตาอันแดงก่ำนั่นเองที่เผยพิรุธออกมา
“ท่านนัดพบข้าเร็วถึงเพียงนี้มีเรื่องด่วนอะไรเกิดขึ้นหรือ” เขาเอ่ยเปิดการสนทนาเมื่ออีกฝ่ายยังเอาแต่จับสังเกตเขาเพียงอย่างเดียว
“เห็นทีต้องเอาข้อเสนอที่เจ้าต้องการกลับมาคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง” เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะหาต้นเหตุที่ทำให้ดวงตาคมกริบคู่นั้นแดงช้ำ ได้ หนุ่มใหญ่จึงไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป
“ท่านทำไม่สำเร็จอย่างนั้น หรือ” ชายหนุ่มถามด้วยความไม่พอใจ
“ข้ายังไม่ทันกราบทูลเรื่องแต่งตั้ง พระสนมเลยเสียด้วยซ้ำ” ท่านกรวิกยกสุราขึ้นจิบด้วยความใจเย็น
“แล้วมันเกิดปัญหาอะไรกัน ข้ามาที่นี่ไม่ใช่แค่มานั่งฟังท่านพูดเยิ่นเย้อนะ”
“ราชันไพรสัณฑ์ทรงแต่งตั้ง พระมเหสีแล้ว”
“มีพระมเหสีมาจากที่ไหน!” หัวหน้ากองทหารกบฏขึ้นเสียงด้วยความโมโห “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าไพรสัณฑ์แต่งตั้งพระมเหสีแล้ว เรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่มีพิธีการใหญ่โตมิใช่หรือ”
“ทุกคนล้วนแปลกใจ” หนุ่มใหญ่จิบสุราด้วยความใจเย็น “อีกเรื่องสำคัญคือข้าถูกปลดออกจากตำแหน่งเสียแล้ว”
“บัดซบ!” แก้วในมือถูกเหวี่ยงไปกระทบผนังจนแตกเป็นเสี่ยงแต่ยังไม่สาแก่ใจของธรรม์ เสียงผิดปกตินั้น ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ด้านนอกผลักประตูรุดเข้ามาด้วยท่าทางกระเหี้ยนกระหือพร้อมฆ่าฟัน ท่านกรวิกทำเพียงปรายตามองด้วยแววตาเย็นชาแล้วจิบสุราอย่างไม่ให้ความสำคัญ
“ไม่มีอะไร” ชายหนุ่มโบกมือให้ผู้ติดตามออกจากห้องจนหมดก่อนหลับตาสะกดกลั้น อารมณ์ให้สงบเพื่อเรียกสติกลับคืนมา “สรุปว่าเรื่องพระสนมก็ยังไม่ได้เรื่อง ทั้งเจ้ายังถูกปลดออกจากตำแหน่งเสียแล้ว”
ท่านกรวิกไม่ได้ตอบแต่เมินหน้าออกไปมองพระจันทร์นอกหน้าต่าง สายลมเย็นพัดแผ่วเข้ามาลูบโลมผิวหน้า สุรารสเผ็ดร้อนและหอมหวานพาให้ร่างกายอบอุ่นชวนให้ถอนใจด้วยความสุข อากาศดี สุราดี แต่หัวใจคนที่ร่วมดื่มสุรากลับลุกไหม้เริงร้อนเป็นเพลิงนรก ช่างทำให้เสียอรรถรสนัก
“เรื่องแย่งชิงอำนาจข้าไม่สนใจ” ชายหนุ่มพูดเมื่อกลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง หนึ่ง “เล่ามาสิว่าพระเหสีเป็นใคร”
“นั่นเป็นคำสั่งหรือ” ท่านกรวิกวางแก้วสุราลงด้วยอาการสงบแต่กดดันคน “เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ข้าควรต้องนอบน้อมต่อเจ้าอย่างนั้นหรือ”
“ข้าใจร้อนเกินไป ท่านกรวิกโปรดอภัย” ธรรม์เจรจาอะลุ่มอล่วยอย่างเสแสร้ง “เรายังต้องร่วมมือกันทำงานใหญ่ เรื่องที่ข้าเสียมารยาทก็ขอให้คิดเสียว่าข้าเป็นผู้น้อยที่ยังต้องได้รับการชี้แนะด้วยเถอะ”
ท่านกรวิกมองชายหนุ่มรินสุราใส่แก้วของตนด้วยแววตาเรียบเฉยก่อนจะยกขึ้นดื่มเป็นการยอมรับคำขออภัยแต่ในห้วงคิดกลับลึกซึ้งกว่านั้น หนุ่มใหญ่ไม่ลังเลที่จะสืบเรื่องของธรรม์จากการแทรกซึมคนเข้าไปในหมู่คนในปกครองของอีกฝ่าย ได้ความว่าเมื่อก่อนนั้น ธรรม์เป็นชายหนุ่มที่น่าเคารพนับถือ ใจเย็นและมีเมตตา แต่แล้ววันหนึ่งกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จนไม่มีใครกล้าเข้าหน้าและนับวันก็ยิ่งเหี้ยมโหดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนไม่ใช่ธรรม์คนเดิม นั่นทำให้เขาสนใจว่าเรื่องอะไรที่เปลี่ยนให้เทพบุตรกลายเป็นมารไปได้!
ความอยากรู้นี้ไม่ใช่ความอยากรู้ที่ไร้ ประโยชน์ หนุ่มใหญ่ตระหนักว่าเรื่องที่สามารถเปลี่ยนคนโดยสิ้น เชิงได้ย่อมต้องเป็นจุดตายของคนนั้น โดยความจริงแล้วธรรม์กับเขาเองก็ไม่ใช่มิตรและไม่ใช่ศัตรูเป็นเพียงคนที่ต่างก็อยากใช้ประโยชน์ของอีกฝ่ายเท่านั้น ความสัมพันธ์นี้สามารถเปลี่ยนไปได้ด้วยผลประโยชน์ วันข้างหน้าก็ไม่แน่ว่าจะต้องเป็น
ศัตรูกัน การรู้จุดอ่อนที่สุดของธรรม์ย่อมเป็นสิ่งจำเป็น!
“วันนี้ราชันไพรสัณฑ์ว่าราชการตามปกติ จนกระทั่งพระองค์ปลดข้าออกจากตำแหน่งจึงทำให้เกิดการต่อต้าน อรรณพเป็นคนค้านพระองค์อย่างออกหน้าออกตา ตอนนั้นเองที่มีมีดปอกผลไม้เล่มหนึ่งพุ่งออกมาทำร้ายอรรณพ”
ท่านกรวิกเหลือบมองตาคนฟังเพื่อหยั่งความคิด “ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลแล้วทรงประกาศว่าคนที่ปามีดทำร้ายอรรณพก็คือพระมเหสีที่ไม่มีใครทราบสักคนว่าทรงแต่งตั้งเมื่อใด”
“ผู้หญิงคนนั้น ใช้มีดได้คล่องแคล่วนักหรือ” ธรรม์แปลกใจจริงจัง
“พระมเหสีรับสั่งว่าที่ปาโดนแก้มของอรรณพนั้น เป็นการพลาดเพราะตั้งพระทัยให้โดนปาก”
ธรรม์นิ่งงันกับความหมายยียวนนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาจนแทบจะเบิกฟ้าได้ ดวงตาที่ไร้ประกายแวววาวขึ้น มาอีกครั้งด้วยความสนใจ เป็นนานกว่าชายหนุ่มจะหยุดตัวเองได้แล้วคะยั้นคะยอให้ท่านกรวิกเล่าต่อ
“ราชันไพรสัณฑ์ว่าราชการต่อไปราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งทรงกลับไปหลังม่านและพวกข้ากำลังหันมาหารือกัน” หนุ่มใหญ่จิบสุราดับกระหาย ลอบมองท่าทีกระหายใคร่รู้ระคนสนุกสนานของอีกฝ่ายเหนือขอบแก้วสุรา “พระมเหสีเสด็จออกจากหลังม่านโดยไม่มีการขานจากมหาดเล็ก ตัวข้าคุ้นชินกับความไม่คาดฝันในวังมานานจึงไม่เงย
หน้ามอง แต่ข้าราชการทุกคนที่นั่นไม่ได้เป็นเช่นนั้น”
“พวกเขาหันไปมองนางใช่หรือไม่” ชายหนุ่มถามพลางกลั้วหัวเราะ “แล้วก็ต้องพบว่านางสวมหน้ากากภูตอยู่ จึงโดนคำสาปให้ต้องเป็นไข้จับสั่นกันถ้วนทุกคนสินะ”
การพยักหน้าอย่างเงียบๆ ของท่านกรวิกทำให้ธรรม์เงยหน้าหัวเราะจนท้องขดท้องแข็ง โบกไม้บอกมือเป็นเชิงร้องขอให้อีกฝ่ายเล่าต่อ
“ราชันไพรสัณฑ์รีบเสด็จออกจากหลังม่านมารับตัวพระมเหสีในทันที แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว” หนุ่มใหญ่กอดอกมองคนหนุ่มกว่าหัวเราะด้วยคิดประเมินอยู่เงียบๆ
“พระมเหสีไม่ได้ทรงแสดงความเสียพระทัยเลยที่ทำให้บรรดาข้าราชการทั้งหมดจับไข้ แต่รับสั่งเยาะเย้ยถากถางอรรณพจนเขาแทบกระอักเลือดก่อนจะเสด็จออกไปจากโถงว่าราชการ ทิ้งให้ทุกคนนอนงอหงิกกัน ไม่มีทหารหรือมหาดเล็กให้ความช่วยเหลือเลยด้วยซ้ำ”
“พวกเขาต้องถ่อสังขารตัวเองออกจากเขตพระราชฐานสินะ” ชายหนุ่มว่าแล้วก็หัวเราะยกใหญ่ “หรือไม่ก็เข้าทำนองเตี้ยอุ้มค่อม”
“ดูเจ้าจะมีความสุขเหลือเกินนะ” ท่านกรวิกเปรย หวังจะให้หยุดหัวเราะให้กับความขายหน้าของคนอื่นเสียที แต่คนหนุ่มกว่ากลับทำเป็นไม่เข้าใจหรือความจริงเข้าใจแต่ไม่คิดสนใจก็ไม่ทราบ
“แน่นอนสิ ท่านไม่คิดว่ามันน่าขบขันหรอกหรือที่พวกเขาต้องย่ำแย่เพราะผู้หญิงคนหนึ่ง” ชายหนุ่มพยายามจะดื่มสุราในจอกที่ถือจ่ออยู่บนริมฝีปากอยู่นานแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะยังไม่สามารถหยุดหัวเราะได้ “อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ยังพูดจายียวนกวนประสาท ท่านต้องเล่าให้ข้าฟังนะว่านางเยาะเย้ยถากถางอรรณพว่าอย่างไร”
“พระมเหสีรับสั่งว่าจะขอแก้ตัวใหม่ในครั้งหน้า ตอนพูดให้อรรณพช่วยเงยหน้าขึ้นสักนิด พระองค์จะได้เล็งที่ปากของอรรณพไม่พลาดอีก”
“แสบแท้ๆ!”
ท่านกรวิกต้องทนฟังธรรม์นั่งหัวเราะจนน้ำตาลอดน้ำตาเล็ดไปอีกสักครู่ก่อนชายหนุ่มจะหยุดหัวเราะด้วยความเหนื่อยหอบ หนุ่มใหญ่รินสุราให้อีกฝ่ายอย่างพยายามจะประชดแต่กลับกลายเป็นว่าต้องคอยเติมสุราให้อีกหลายจอกหลังจากนั้นไม่มีทางที่ท่านกรวิกจะรู้ว่าธรรม์หัวเราะด้วยความรู้สึกใดบ้าง แต่ตัวของชายหนุ่มรู้ดีเกินกว่าจะเชื่อว่าตนสนุกสนานไปกับความแสบซนของสตรีนางนั้น เพราะนางทำให้เขาคิดถึงโสมจนแทบขาดใจ หากโสมยังมีชีวิตอยู่นางสร้างเสียงหัวเราะเช่นนี้ให้แก่เขา แต่เขาต้องเสียนางไปในขณะที่ราชันไพรสัณฑ์ได้สตรีเช่นที่เขาต้องการไว้ในครอบครอง
ทำไมคนที่ทำลายชีวิตของเขาจึงมีสิทธิ์เป็นเจ้าของสตรีที่มีชีวิตชีวาปานนั้นได้!
ธรรม์ยกสุราขึ้น ดื่มอีกหลายจอกจนเมามายเล็กน้อยแต่ก็เพียงพอที่จะคิดสงสารตัวเองว่าทำไมในขณะที่เขาสูญสิ้น ศัตรูกลับสมบูรณ์พูนสุข ชีวิตมันช่างไม่ยุติธรรม หรือเขาจะต้องแย่งชิงอำนาจจากศัตรูมาจึงจะเรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้มาโดยไม่ยากนัก แต่ชีวิตของโสมนั้น ต่อให้ได้บัลลังก์มาก็ไม่อาจเรียกคืนมาได้!
ไพรสัณฑ์ต้องชดใช้!
“เจ้าเรียกผู้หญิงคนนั้น ว่าพระมเหสี นั่นหมายความว่าเจ้ายอมรับฐานะของนางอย่างนั้นหรือ” ธรรม์ตั้ง ข้อสังเกตด้วยเสียงอ้อแอ้เล็กน้อย
“ข้ายอมรับเพราะนางสวมหน้ากากภูต” ท่านกรวิกยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ท่านไม่คิดหรือว่าผู้ที่สวมหน้ากากภูตได้นั้น นอกจากราชันแล้วไม่มีใครอื่นอีก แต่นางกลับมีอำนาจบารมีควบคุมอาถรรพ์ของหน้ากากจนกระทั่งสวมมันได้โดยไม่เป็นอันตราย”
“ข้ารู้จักสตรีผู้หนึ่งที่อาจสวมหน้ากากเส็งเคร็งนั่นได้ แต่นางตายไปแล้ว” ชายหนุ่มทิ้งจอกสุราแล้วหันไปคว้าทั้ง ขวด “ไพรสัณฑ์ได้เอ่ยนามของนางหรือไม่”
“ทรงมีรับสั่งเรียกพระเมหสีว่าแม่หนูน้อย” ท่านกรวิกมองชายหนุ่มยกขวดสุราขึ้นกรอกปากอย่างนึกผิดสังเกต
“ท่านไม่เคยเรียกไพรสัณฑ์อย่างสามัญชนเลยสักนิด ข้าแคลงใจเหลือเกินว่าแท้จริงแล้วท่านคิดอย่างไรกับไพรสัณฑ์กันแน่”
“ข้าจะถือว่าเพราะเจ้าเมาจึงพูดจาไร้สติ” หนุ่มใหญ่บอกอย่างเย็นชา “ข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มกบฏแต่ไม่เคยหลบหลู่พระเกียรติเลย ท่านคิดว่าตัวข้าประพฤติตัวขัดแย้งให้ราชันเคลือบแคลงใช่หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการเพราะเป็นศัตรูโดยเปิดเผยกับราชันไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย”
“แหม… ไม่เห็นต้องเครียด ข้าก็แค่แคลงใจเล็กน้อยเท่านั้น” ธรรม์หัวเราะอีก “วันนี้ข้าคิดอะไรไม่ออกเสียแล้ว คิดได้อย่างเดียวคือน่าจะโจมตีไพรสัณฑ์เรื่องที่แต่งตั้งพระมเหสีโดยผิดโบราณราชพิธี เสนอไปอย่างลับๆ ว่าเราจะไม่โจมตีเรื่องนี้หากรับนางสุวิมลไปเป็นพระสนม”
“เจ้าเมามายอยู่จริงหรือ” หนุ่มใหญ่หรี่ตามอง
“ข้าไม่เมาสักนิด” เอ่ยตอบขณะที่ยังคาบปากขวดสุราอยู่ อีกทั้งดวงตายังแดงก่ำฉ่ำเยิ้ม “ท่านไปจัดการตามนั้น ข้าจะรอฟังความสำเร็จของเรา”
“คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ข้าจะเข้าไปทำด้วยตัวเอง เพราะตัวข้าถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว คงต้องให้คนที่ไว้ใจได้ไปทำแทน”
“แสดงพลังของพวกท่านด้วยสิ ให้ไพรสัณฑ์เห็นว่าการปลดท่านลงทำให้เรื่องเลวร้ายได้เพียงใด” ชายหนุ่มชี้ไม้ชี้มือบอก “พวกโง่ในเมืองนั่นยังใช้การได้ ปลุกปั่นเรื่องชนชั้นเข้าไป”
“ไม่มีใครออกมาหรอก นอกจากคนที่เราจ้าง” ท่านกรวิกเอ่ย
“ยังไงก็จะต้องมีการซุบซิบแล้วใส่สีตีไข่เรื่องนี้อยู่ดี ท่านกลับผิดให้เป็นถูกเสีย พวกคนโง่มันจะเชื่อและลือกันในเรื่องเสียหายของคนอื่นมากกว่าเรื่องดีของคนอื่นอยู่แล้ว สันดานคนมันก็เหมือนสายน้ำนั่นแหละไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำเสมอ!”
“คิดได้ดี” ท่านกรวิกกระตุกยิ้มเย็น “เจ้าใช้งานได้มากกว่าที่ข้าคิด”
“ แต่สำหรับข้าแล้วท่านยังใช้การอะไรไม่ได้เลย” ชายหนุ่มผวาไปแย่งขวดสุราคืนมา “ไปทำเรื่องของข้าให้สำเร็จและสืบให้ได้ว่าผู้หญิงคนนั้น เป็นใครมาจากไหน แสดงให้ข้ารู้ทีว่าท่านใช้งานได้!”
ท่านกรวิกทนฟังธรรม์พูดพร่ำเช่นคนเมาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อรอให้อีกฝ่ายหลุดความในใจออกมา แต่กลับกลายเป็นว่าชายหนุ่มเมาจนหัวราน้ำ คอพับหลับสนิทไปหลังจากนั้นไม่นาน หนุ่มใหญ่เริ่มเอะใจเล็กน้อยว่าบางทีเสียงหัวเราะเบิกบานของชายหนุ่มอาจจะไม่ใช่ความเบิกบานอย่างแท้จริง แต่เขาคิดไม่ออกว่าทำไมเพราะดูไม่มีแรงจูงใจใดสนับสนุน
ความคิดของเขาเลย เมื่อเห็นว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์จึงลุกขึ้น และลากลับไป
เมื่อท่านกรวิกกลับไปแล้วคนที่เมาหลับไปกลับลุกขึ้น มานั่งดื่มต่อด้วยอาการเป็นปกติ สุราทุกหยดคือความขมขื่นและความอิจฉาศัตรูที่ได้ครอบครองสตรีที่มีชีวิตชีวาเช่นนั้น น้ำตาทุกหยดที่หลั่งรินลงผสมกับสุรา คือความเคียดแค้นและความอาฆาตพยาบาท เขาลิ้ม รสทุกความรู้สึกอย่างดื่มดํ่าราวกับมันเป็นทัณฑ์ทรมานอันแสนหวาน ยิ่งเจ็บปวดก็ยิ่งสาแก่ใจ ยิ่งเป็นทุกข์ก็ยิ่งฮึกเหิมบ้าคลั่งเพราะความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตนยังมีชีวิตอยู่!
ธรรม์รํ่าสุราอย่างเดียวดายจวบจนดวงจันทร์คล้อยตํ่าลับทิวยอดไม้จึงลุกขึ้นออกจากห้อง ชายฉกรรจ์ผู้ติดตามโค้งตัวให้นิดหนึ่งก่อนพากันกระจายกำลังอารักขาเยี่ยงบุคคลสำคัญแต่แล้วก็ต้องรีบเข้ามาหิ้วปีกพยุง เพราะเจ้านายหนุ่มแกล้งซวนเซให้สมกับที่ท่านกรวิกเห็นว่าเขาดื่มหนักจนเมาหลับไป
ชายหนุ่มทิ้ง ตัวลงสู่การประคับประคองของผู้ติดตามอย่างเต็มที่เพื่อความสมบทบาท หากมีใครจับจ้องเขาอยู่จะต้องเห็นว่าเขาเมามายจนไร้สติและช่วยตัวเองไม่ได้เพียงไร เขาหลับตาลงแล้วหัวเราะโดยไร้เหตุผลเพื่อเย้ยหยันให้กับความบิดเบี้ยวของชะตาชีวิต ในขณะที่ใครบางคนเกิดมาเพื่อรับ แต่เขากลับเกิดมาเพื่อสูญเสีย!
ผู้ติดตามที่หิ้วปีกเขาหยุดชะงักเท้าลงจึงทำให้เขาจำต้องลืมตาขึ้นมองว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ทันทีที่เขาเห็นสตรีร่างอรชรผู้หนึ่งยืนขวางทางจ้องมองเขาด้วยท่าทางน้อยอกน้อยใจและรักระคนเคียดแค้น เขาก็หัวเราะออกมาด้วยความหฤหรรษ์ วันนี้ช่างเป็นวันดีโดยแท้เพราะเขาได้หัวเราะมากที่สุดเท่าที่เคยเป็นมานับแต่สูญเสียโสมไป
“นึกว่าใครที่ไหน” ธรรม์แกล้งชี้มือชี้ไม้ใส่อย่างไร้สติ “ที่แท้ก็นางอรดี นางหญิงเริงเมืองนั่นเอง สมบูรณ์พูนสุขมากใช่หรือไม่ ข้าอุตส่าห์เห็นใจและสงสารเจ้าที่ไม่ได้รับความรักจากข้าจึงส่งเจ้ามาที่นี่เชียวนะ เจ้าได้ความรักจากบุรุษมากพอเท่าที่เจ้าต้องการแล้วหรือยัง”
“ท่านมันคนใจทมิฬหินชาติ!” นางอรดีโกรธจนตัวสั่น ดวงตาเริงโรจน์มีน้ำตาคลอคลอง “ข้าเป็นเมียของท่าน ท่านกลับส่งข้ามาที่นี่ แต่กลับไถ่ตัวนางโสเภณีสุวิมลไปบำเรอทั้งที่นางนั่นเป็นของน้องชายท่าน ใจของท่านทำด้วยอะไร!”
“โอ… ฟังแล้วเจ้าคงมีความสุขมากๆ เลยสินะ” ธรรม์หัวเราะร่าอีกครั้ง “ข้าอยากจะสนทนากับเจ้าต่อเหมือนกัน แต่ข้าง่วงเต็มแก่ อยากกลับไปนอนสุขสบายที่เรือนเสียแล้ว”
เหล่าผู้ติดตามลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนผลักร่างของนางอรดีไปให้พ้นทางแล้วพยุงร่างเจ้านายผ่านออกไปโดยมีเสียงของสตรีที่ครั้งหนึ่งเคยมีวาสนาเป็นถึงภรรยาของเจ้านายด่าทอตามหลัง แต่เจ้านายของพวกเขากลับหัวเราะขบขันราวกับเป็นเรื่องสนุกสนาน ยิ่งนางโกรธเกรี้ยวมากเท่าใดเจ้านายก็ยิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
ใจคนที่เปลี่ยนเป็นใจมาร ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก!
ภายนอกหน้าต่างห้องที่ธรรม์เพิ่งลาจากไปนั้น ค่อยๆ ปรากฏร่างของชายร่างสูงใหญ่กำยำร่างหนึ่งราวกับผุดมาจากความว่างเปล่า ชายหนุ่มอยู่ที่นี่มานานแล้วและได้ยินได้ฟังการสนทนาทุกถ้อยคำของคนในห้อง เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนจากไปเขาจึงค่อยๆ ถอนตัวออกจากที่นั่นอย่างเงียบเชียบและไร้ร่องรอย ลัดเลาะเข้าสู่แนวป่ามืดทึบแล้วเข้าสู่เขตอาคมที่ร่ายเพื่อกำบังตนขณะใช้ความคิด
เขาก็คือราชองครักษ์หิรัญนั่นเอง หลังจากธรรม์ย้ายออกมาจากเมืองลับแลแล้วนั้น เขาก็สามารถลอบติดตามชายหนุ่มได้มากขึ้น ครั้งนี้เขาติดตามมาจนถึงเรือนเริงรมย์ แต่ด้วยลางสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาเลือกที่จะซ่อนกายอยู่ด้านนอก เขาได้รู้แล้วว่าหากตั้งใจบอกความจริงทั้งหมดเรื่องสตรีที่อยู่ข้างพระวรกายของราชันแล้วย่อมเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ดังนั้นเขาจะกลับเข้าวังและจะมุ่งมั่นอารักขาราชันให้ปลอดภัยจากพวกบฏ ปลอดภัยจากสตรีนางนั้น และปลอดภัยจากตัวของเขาเอง!