Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 33

ตอนที่ ๓๓

ตัดสินใจ

นางสุวิมลเดินกลับขึ้นเรือนที่ธรรม์สั่งให้คนปลูกแยกให้ด้วยความสดชื่นทั้งกายและใจโดยมีนางรับใช้ที่ธรรม์มอบให้เดินตาม ชีวิตที่ไม่ต้องคอยปั้นหน้าให้ความสำราญแก่ผู้คนช่างสงบสุขนัก นางสามารถยิ้มแย้มและหัวเราะรับอิสระด้วยความเบิกบานใจ แต่ความสุขเหนือสิ่งอื่นใดคือการที่นางไม่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนปรนนิบัติโสมผู้เป็นน้องชายของธรรม์!

เมื่อคิดถึงน้องชายของธรรม์คนนั้น แล้ว ช่วยไม่ได้เลยที่จะคิดถึงโสมผู้เป็นทหารภูต นางถอนหายใจความหม่นเศร้าเพื่อทิ้งอดีตและสร้างปัจจุบันของตนให้ดีก่อนจะมุ่งขึ้นเรือน แสงเทียนส่องสว่างไสวบนเรือนอย่างอบอุ่นและต้อนรับ นางรับใช้นางหนึ่งเดินลิ่วไปเปิดประตูห้องนอนรอท่า แต่เมื่อเห็นคนที่นั่งรออยู่บนเตียงก็ชะงักด้วยความตกใจกลัว แต่นาง

ไม่ได้ทันสังเกตเห็นถึงปฏิกิริยาของนางรับใช้เลยแม้แต่น้อย

“ไปนำน้ำขันหนึ่งมาให้ข้า” นางสั่งขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าห้อง ทันทีที่เท้าแตะพื้น ร่างก็ถูกฉุดเข้าห้องพร้อมกับที่ประตูถูกงับปิดดังปัง

นางสุวิมลกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าบุรุษในชุดดำปกปิดมิดชิดตลอดกายคนหนึ่งนั่งรอนางอยู่ที่เตียง นางจดจำเขาได้ทันทีว่าเขาคือโสมผู้เป็นน้องชายของธรรม์ เขาเป็นความหวาดกลัว ความสิ้นหวังและความทุกข์ทรมานของแผ่นดินนี้ ดวงตาวาววับที่จ้องนางอยู่นั้นประหนึ่งดวงตาของสัตว์ร้ายที่กำลังหิวกระหายและหมายชีวิตจนนางตัวสั่น

“ไม่ได้พบกันนาน อยู่ดีมีสุขมากรึสุวิมล” เสียงแหบแห้งคล้ายเสียงของอสรพิษเอ่ยขึ้น พร้อมกับที่นางสุวิมลถูกจับโยนลงทรุดอยู่แทบเท้า

“อา… ข้าไม่น่าถามเพราะเห็นอยู่ว่าเจ้าเป็นคนโปรดถึงขนาดพี่ของข้ายอมสร้างเรือนให้เจ้าใหม่หนึ่งหลังและยังมอบบ่าวไพร่กับอาหารการกินให้ไม่ขาด แต่ถึงจะสุขสบายขึ้น อย่างไรเจ้าก็คงไม่ลืมหรอกกระมังว่ากำพืดของเจ้ามาจากไหน”

นางสุวิมลกรีดร้องเมื่อฝ่ามือหยาบกร้านเชยคางนางขึ้น แล้วตบลงมาจนหน้าคว่ำ ริมฝีปากของนางปวดระบมและลิ้มได้ถึงรสเลือดที่ปลายลิ้น

“แค่เจอผัวเก่ากลับมาทำสะดีดสะดิง้ ถ้ามึงไม่หุบปากกูจะทำให้มึงพูดไม่ได้ตลอดชีวิต” โสมหนุ่มกระซิบบอกเสียงเหี้ยมและเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น “กว่ากูจะหามึงเจอก็ต้องสิ้นเปลืองกำลังไปมาก มึงจะไม่ปรนนิบัติให้กูหายเหนื่อยหน่อยรึ”

“ท่านธรรม์ไม่ยอมแน่” นางสุวิมลพูดปากคอสั่น นางรู้ว่าตนจนมุมและหากไม่สู้ก็ไม่มีโอกาสรอดเลยจึงได้แต่กัดฟันยอมเสี่ยงแข็งขืน “ท่านไม่เฉลียวใจเลยหรือว่าทำไมพี่ชายของท่านจึงต้องปล่อยข่าวว่าข้าพักอยู่ที่เรือนด้วยทั้ง ที่ข้าเร้นกายอยู่ที่นี่ นั่นเป็นเพราะข้าเป็นหมากตัวหนึ่งที่ท่านธรรม์ปกป้องเอาไว้สำหรับใช้ในการใหญ่อย่างไรล่ะ หากท่านกล้าทำอะไรข้า ท่านต้องชดใช้!”

“มึงขู่กู!” เสียงแหบตวาดฟังเหมือนเสียงอสรพิษขู่กรรโชก มือใหญ่เงื้อขึ้นฟาดไปที่ใบหน้าของหญิงสาวไม่ยั้งด้วยความคั่งแค้น

จนกระทั่งใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกจากจมูก “มึงสำคัญตัวเองผิดไปแล้วนางสุวิมล กูเป็นน้องชายของเขา มึงจะเทียบกับกูได้รึ”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าคงไม่แน่ใจในสิ่งที่ข้าพูด แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างรู้ดีว่าท่านธรรม์เปลี่ยนไปแล้ว” หญิงสาวเจ็บปวดและแสบร้อนไปทั่วใบหน้าจนคิดว่าใบหน้าของนางอาจจะแตกยับไม่มีชิ้นดี “แล้วท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านธรรม์จะเข้าข้างท่านอย่างที่แล้วมา มิใช่ว่าท่านธรรม์เมินเฉยต่อท่านหรอกหรือข้าถึงออกจากเรือนเริงรมย์และมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านเองก็คงได้รับคำสั่งว่าห้ามแตะต้องตัวข้ามากระมัง”

“นางคนอวดดี!”

“ตอนนี้ท่านทำให้ข้ามีบาดแผล คิดดูสิว่าเมื่อท่านธรรม์ทราบเรื่องจะเกิดอะไรขึ้น ” เสียงของนางฟังอู้อี้เพราะเลือดจากจมูกไหลกรอกปากอยู่ “หากท่านคิดไม่ออกข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าตัวข้าจะถูกนำตัวไปรักษาอย่างดี ส่วนท่านจะถูกท่านธรรม์ลงโทษสถานหนักเฉกเช่นโทษที่ผู้ขัดคำสั่งสมควรได้รับ!”

สิ้นเสียงของนางประตูห้องนอนก็ถูกกระแทกอย่างแรงจากด้านนอกจนไม้ขัดประตูหักเป็นสองท่อน เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนนางสุวิมลมองไม่ทันแต่เมื่อนางรู้สึกตัวอีกทีคนของโสมก็ถูกชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งควบคุมตัวเอาไว้และท่านธรรม์ก้าวเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเย็นเยียบ

“เจ้าขัดคำสั่งข้า” ธรรม์เอ่ยด้วยน้ำ เสียงราบเรียบขณะโบกมือให้คนของเขาไปดึงตัวนางสุวิมลออกจากเงื้อมมือของน้องชายแล้วให้พาออกไปพยาบาลด้านนอก “เจ้าเห็นคำสั่งของข้าเป็นแค่คำพูดไร้สาระอย่างนั้น หรือโสม”

“มันเป็นความชอบธรรมของข้าที่จะมาหาเมีย” โสมเถียงคอเป็นเอ็น “คำสั่งของท่านมันออกจะไร้สาระจริงๆ”

“นางสุวิมลไม่เคยเป็นเมียของเจ้า” ผู้เป็นพี่ชายตอบด้วยสีหน้าทะมึนมืดแฝงความเกรี้ยวกราด “นา______________งนี่เป็นเพียงหญิงคณิกา แม้เจ้าจะเชยชมแล้วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเมีย”

“แล้วมันเป็นเมียของพี่หรือยังไง!” ผู้เป็นน้องชายลุกขึ้น เดินปรี่เข้าไปยืนต่อหน้าพี่ชายด้วยความโมโห “รสชาตินางนั่นเป็นอย่างไรบ้างเล่า ของที่ข้าเคยกินคงถูกปากพี่มากสินะ ไม่อย่างนั้น พี่คงไม่แล่นมาช่วยมันทัน ทั้งที่ข้ามาอย่างลับๆ”

“เมื่อเจ้าไม่อยู่ที่เรือน ไม่ได้กลับเมืองลับแลและไม่ได้แอบซุ่มติดตามอยู่รอบกายข้า ข้าย่อมรู้ว่าเจ้าน่าจะอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มบอกอย่างใจเย็นและจงใจไม่ตอบในประเด็นคำถามที่สำคัญที่สุด “ข้าเข้าใจว่าก่อนที่เจ้าจะทำแบบนี้เจ้ารู้บทลงโทษสำหรับคนที่ฝ่าฝืนคำสั่งของข้าแล้ว”

“พี่จะลงโทษข้าหรือยังไง”

“กฎต้องเป็นกฎ หากละเว้นเจ้าแล้วคำสั่งของข้าจะยังคงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้อย่างไร” ธรรม์เอ่ยอย่างเย็นชาแล้วโบกมือให้คนของเขากุมตัวโสมเอาไว้ก่อนสั่งการ “นำตัวทุกคนไปเฆี่ยนยี่สิบครั้งแล้วเอาไปขังที่คุกใต้ดินเป็นเวลาห้าวัน”

“พี่ทำกับข้าได้ยังไง! ข้าเป็นน้องของพี่นะ!” ชายผู้วิปริตพยายามสะบัดตัวออกจากการจับกุมแต่ด้วยเรี่ยวแรงของคนที่ร่างกายอ่อนแอแล้วย่อมสู้เรี่ยวแรงของชายฉกรรจ์ไม่ได้

“จะว่าไปแล้วเจ้าเองก็ถือว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า” หัวหน้ากองทหารกลุ่มกบฏเอ่ยเรียบๆ แต่แววตากระด้าง “ยาพิษสาปจันทราของเจ้าไปถึงไหนแล้ว ข้าต้องการคำตอบโดยเร็วที่สุดว่าออกฤทธิ์อย่างไร นานแค่ไหน และเป็นยาที่จำเป็นต้องใช้ยาถอนพิษจึงจะหายจริงๆ หรือไม่ ข้าให้เวลาเจ้าอีกเพียงสองสัปดาห์หลังจากนี้เท่านั้น เมื่ออยู่ในคุกก็คิดเรื่องนี้ไปพลางเถอะ หากมัวแต่คิดเรื่องไร้สาระ แม้แต่ชีวิต ข้าก็จะให้เจ้าชดใช้!”

โสมหนุ่มได้ฟังแล้วก็อึ้ง ตะลานไปด้วยความคาดไม่ถึง ดวงตาของเขามองไปเบื้องหน้าแต่มองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด เขาครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ของตนถึงเหตุผลที่ทำให้ธรรม์เปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้และแล้วใบหน้าของสตรีนางหนึ่งก็ผุดขึ้น มาในห้วงคิด แม้ในยามที่จิตใจของเขาเพริดไปกับสิ่งเร้าต่างๆ เขาจะกลายเป็นคนโง่ แต่ในยามที่เขามีสติก็สามารถขบคิดได้ปกติ พี่ชายของเขาเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิดตั้งแต่ที่เข้าใจว่านางคนเดนตายคนนั้นได้ตายไปแล้ว

หากเขาต้องการนำพี่ชายคนเดิมกลับคืนมาจะต้องบอกว่านางคนนั้นอาจจะยังไม่ตายใช่หรือไม่ แต่หากทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเขาต้องเปิดเผยความผิดของตนเองออกมาและด้วยตัวตนของพี่ชายในตอนนี้ไม่มีใครรับรองได้ว่าเขาจะไม่โดนฆ่า

ถ้าอย่างนั้นก็บอกความจริงเพียงแค่บางส่วนสิ!

“ข้ามีเรื่องบางอย่างจะบอกพี่ นางคนที่ชื่อเดียวกับข้าคนนั้น ยังไม่ตายอย่างที่พี่คิด! พี่ต้องเชื่อข้า!”

ธรรม์ยืนตกตะลึงตัวแข็งก่อนจะเปลี่ยนเป็นความโกรธแล้วปรี่เข้าไปตบหน้า โสมหน้าหันไปตามแรงตบด้วยความมึนงง ซีกแก้มข้างหนึ่งร้อนฉ่าและค่อยๆ ไร้ความรู้สึก เขาเบือนหน้ามองสีหน้าเหี้ยมเกรียมเกรี้ยวกราดปานพญามารของพี่ชายด้วยความไม่เข้าใจ จะว่าไปแล้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงนักแต่บางสิ่งภายในกลับมีอาการสาหัสอย่างคาดไม่ถึง

“หากเจ้ายังกล้าเอ่ยอีกแม้แต่คำเดียว ข้าจะตัดลิ้น เจ้า!” ธรรม์ประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงไร้ปรานี ดวงตาลุกโรจน์ราวกับรวมเอาความโกรธทั่วพื้น พิภพมาไว้ในที่เดียว “เอาตัวไปให้พ้นหน้าข้าบัดเดี๋ยวนี้!”

นางสุวิมลผู้ได้รับฟังสถานการณ์ตลอดได้แต่นั่งตัวแข็งด้วยความตกใจในอารมณ์ร้ายของธรรม์ นางคาดไม่ถึงว่าธรรม์จะตบโสมต่อหน้าทุกคนและเกิดความสงสัยว่านางคนที่ชื่อเดียวกับโสมนั้นเป็นใคร มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างน่าหัวเราะกระมังหากบนแผ่นดินนี้นอกจากจะมีบุรุษชื่อโสม แล้วยังมีสตรีนางหนึ่งที่มีชื่อว่าโสมด้วย

ที่สำคัญคือสตรีนางนั้นเป็นคนสำคัญของธรรม์ไม่ผิดแน่!

แต่สิ่งที่นางควรจะสนใจมากที่สุดในตอนนี้คือความอยู่รอดของตัวเอง นางไม่ควรไว้วางใจธรรม์อีกต่อไปแล้วเพราะขนาดโสมซึ่งเป็นน้องชาย เขายังกล้าลงโทษอย่างเด็ดขาดถึงเพียงนี้แล้วตัวเธอที่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของเขาจะถูกลงโทษถึงเพียงไหนหากทำงานพลาด มิต้องตกตายถึงชีวิตหรอกหรือ

นางมีทางเลือกอยู่สองทาง ทางหนึ่งทำหน้าที่หมากบนกระดานอย่างเคร่งครัด อีกอย่างหนึ่งคือทรยศ!

โสมตั้งใจจะให้ราชันไพรสัณฑ์ช่วยทายาให้เหมือนเช่นที่ทรงทำให้ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ปอดแหก เธอไม่โทษตัวเองสักนิดแต่โทษราชันหนุ่มที่มีท่าทีชวนให้เธอเกิดความไม่ไว้วางใจ ความจริงแล้วพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอแปลกไปแต่อย่างใด แต่เธอกลับรู้สึกว่าถูกคุกคาม บางทีอาจจะเป็นเพราะกระแสบางอย่างที่แผ่ออกจากพระวรองค์

ก็เป็นได้

“ฉันจะทาบนเตียง ขอตะเกียงด้วย” เธอยื่นมือไปรับตะเกียงจากพระหัตถ์แล้วคลี่ม่านคลุมเตียงสีรัตติกาลคลุมทุกด้านเป็นการกั้นลมหนาวและกันสายพระเนตรด้วย “ท่านจะไปยืนที่อื่นก่อนก็ได้นะ คงอีกสักพักกว่าเราจะเข้านอน”

“ข้าชอบที่จะยืนตรงนี้มากกว่า” ราชันหนุ่มรับสั่งตอบ

“สัญญานะว่าจะไม่เปิดม่านคลุมเตียงออกเด็ดขาด”

“ข้าสัญญา” ราชันไพรสัณฑ์ยืนกอดอกทอดมองไปที่เตียงด้วยแววพระเนตรแวววาว วันนี้แม้โสมจะสนุกแต่ก็คงอ่อนเพลียอยู่จึงไม่ทันเฉลียวใจเลยว่าตะเกียงนั้น ได้เปิดเผยสิ่งที่นางต้องการซ่อนเร้นจากพระเนตรของพระองค์ออกมาหลายส่วน แต่พระองค์ก็โปรดการเฝ้าทอดพระเนตรนางเช่นนีมิ้ใช่น้อยจึงไม่ได้ขัดใจเมื่อนางร้องขอคำสัญญา

แสงทองของตะเกียงส่ายวูบไหวสะท้อนเป็นเงาอ่อนช้อยบนผืนผ้า สตรีสาวผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงค่อยๆ ปลดเสื้อผ้าของนางออกทีละชิ้น เผยให้เห็นเงาลาดไหล่กลมมน หลังตรง แขนอ่อน ปทุมถันอวบสวย หน้าท้องเย้ายวนใจ ช่วงเอวเล็กคอด สะโพกกลมกลึง และขาเรียวยาวที่ทรงปรารถนาจะจุมพิตสักหลายครั้ง

“ฉันนึกขึ้น ได้ว่าฝันประหลาดๆ ตอนที่ท่านบอกให้ฉันงีบไปบนหลังม้า” โสมเอ่ยขึ้น เพื่อทำลายความเงียบอันชวนประดักประเดิด “ฉันฝันเห็นเทพธิดาองค์หนึ่งหน้าตาเหมือนฉันมาก นางรู้จักชื่อฉันด้วยนะ แต่พูดอะไรแปลกๆ มากมาย แปลกที่สุดคือนางบอกว่าจะไม่ช่วยเหลือมนุษย์อีกแล้ว สิ่งใดที่มนุษย์ทำก็ให้รับผิดชอบกันเอาเอง”

ทรงชะงักไปชั่วครู่ด้วยความตกตะลึงก่อนจะได้พระสติรับสั่งถามออกมา “แล้ว… นางได้บอกหรือไม่ว่าทำไมถึงไม่คิดช่วยเหลือมนุษย์อีก”

“นางบอกว่ามนุษย์ไม่รู้จักพอ” หญิงสาวตอบก่อนไหวไหล่ “ถ้าฝันของฉันมีความหมายก็นับว่าสิ่งที่นางบอกสมเหตุสมผลแล้ว ปัญหาทั้งหมดมนุษย์ก่อเองทั้งนั้นทำไมต้องให้เทพมาตามแก้ปัญหาให้ พวกมนุษย์ขี้เหม็นชอบเคี่ยวเข็ญแต่เทวดานี่สมควรได้รับบทเรียนแล้ว”

ราชันหน้ากากภูตขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนว่าเทพธิดาที่นางฝันถึงจะเป็นแม่หญิงจันทรวดีผู้ที่คอยช่วยเหลือชาวกณวรรธน์นครมาโดยตลอด พระองค์ทรงสงสัยมานานแล้วว่าบ้านเมืองวิกฤตไฉนแม่หญิงจึงไม่ช่วยเหลือ บัดนี้ได้รู้เหตุผลเสียทีว่าเพราะเหตุใด

“ท่านว่าความฝันของฉันมีความหมายไหม”

“เป็นความฝันที่เตือนใจคนได้อย่างหนึ่ง” ราชันหนุ่มไม่ตอบคำถามของนางตรงๆ เพราเกรงว่าจะทำให้นางนึกถึงเรื่องอดีตเกี่ยวกับที่มาของนางได้เร็วกว่าที่พระองค์ต้องการ

“ชอบตอบเลี่ยงไปเลี่ยงมาอย่างกับกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่อย่างนั้นล่ะ”

“รีบทายาเถอะนะโสม ข้างนอกนี่หนาวเหลือเกิน ข้าอยากขึ้นเตียงแล้ว” ทรงแสร้งเปลี่ยนเรื่อง

“ฉันจะทายาให้นานๆ เลย” นางบอกด้วยความมุ่งมั่นจนเกือบเป็นคำสาบาน

ราชันหน้ากากภูตทรงทอดพระเนตรเงาร่างของนางอย่างมีความสุข มือของนางแต้มยาบางเบาด้วยมือทั้งสองข้างแล้วลูบไล้เรียวแขน เรียวขา ช่วงเอว สะโพก และปทุมถัน ทุกการบีบเคล้นของนางแทบจะทำให้ความดิบเถื่อนดิ้นรนหลุดรอดออกจากกรงขังเพราะไม่อาจห้ามมิให้จินตนาการถึงผิวเรียบเนียนและความละมุนละไมของนางได้ อีกทั้งยัง

มิอาจห้ามจินตนาการว่านางจะอ่อนหวาน ร้อนแรง หรือช่างปรนนิบัติยามพลอดรักกันมากเพียงใด

“เสร็จแล้ว รอฉันใส่เสื้อ ก่อนแป๊บหนึ่งนะ”

“ยังไม่เสร็จนะโสม” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงแหบแห้ง “เจ้ายังไม่ได้ทารอยช้ำบนหลังของเจ้าเลย”

“เอ๊ะ! ท่านรู้ได้ยังไง” โสมเอะใจและชะงักมือที่กำลังจะสวมเสื้อผ้า “แสงตะเกียงใช่ไหม! นี่ท่านเห็นหมดเลยหรือ!”

“เห็นแค่เงาเท่านั้น”

หญิงสาวอยากจะกรีดร้องให้ก้องโลกด้วยความอับอาย เธอบีบเคล้นร่างกายตัวเองให้พระองค์ทอดพระเนตรมาตั้ง แต่ต้นหรอกหรือนี่ พระองค์ก็ช่างร้ายนักที่ไม่รับสั่งเตือนเธอให้รู้ตัวแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อเธอเป็นภรรยาก็ย่อมเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของสามีที่จะกระทำต่อเธอได้ทุกอย่าง ทุกวันนี้ยังนับว่าทรงเมตตาเธอมากแล้วที่ไม่เรียกร้องสัมผัสฉันสามีภรรยาจากเธอ

ว่ากันตามจริงแล้วเธอเอาเปรียบพระองค์อยู่แท้ๆ!

“ช่างเถอะ… ท่านเป็นสามีของฉันนี่” หญิงสาวกัดฟันพูด รีบป้ายยาเอี้ยวตัวไปทารอยช้ำบนหลังให้เสร็จแล้วสวมเสื้อผ้ากลับก่อนจะแหวกม่านเตียงเชิญราชันหนุ่มขึ้นเตียงอย่างอบอุ่น “รีบขึ้นเตียงได้แล้วเจ้าไพร บนเตียงอุ่นนะ”

“ข้าอยากให้เจ้าพูดประโยคนี้ทุกวัน” ราชันหน้ากากภูตพึมพำแล้วเดินตัวแข็งเข้าไปหยุดอยู่ที่เตียงอย่างละล้าละลัง “จะให้ข้านอนตรงไหน”

โสมไม่ตอบแต่ทิ้งตัวนอนตะแคงมองพระองค์ตาแป๋วอยู่บนเตียงอีกฟากหนึ่ง

“เจ้า… จะให้ข้านอนกับเจ้าจริงหรือ” รับสั่งถามด้วยความไม่แน่พระทัยขณะทรุดองค์นั่งที่ริมพระแท่นบรรทม

“เตียงจะเย็นหมดแล้วนะ รีบขึ้น เตียงมาได้แล้ว” หญิงสาวไม่ตอบคำถาม แต่แสร้งเชิญชวนด้วยสีหน้าไร้เดียงสาจนพระองค์อยากจะกุมพระเศียรด้วยความกลัดกลุ้ม

โสมกลั้นขำและกลบเกลื่อนสีหน้าอาการของตนอย่างเต็มที่เมื่อพระวรองค์สูงใหญ่กำยำเขยิบขึ้น มาก่อนจะดับตะเกียงแล้วเอนองค์ลงนอนตะแคงหนีเธอไปจนชิดขอบเตียง หญิงสาวยื่นมือไปแตะต้นพระพาหาเบาๆ จนสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดใต้ฝ่ามือก่อนที่จะทรงขยับแขนหนีอย่างนุ่มนวล เธอยิ้ม สนุกสนานอยู่ในความมืดเพราะคนที่นอนตะแคง

อยู่สุดขอบเตียงนี้ทำองค์น่าแกล้งเหลือเกิน มือบางขยับไปแตะที่บั้นพระองค์แล้วรอคอยว่าจะทรงทำอย่างไร ในที่สุดบั้น พระองค์ก็ขยับไหวนิดหนึ่งแต่ส่งผลให้มือของเธอเลื่อนออกจากบริเวณนั้น แต่มือบางยังไม่ยอมแพ้ด้วยการขยับไปแตะพระอูรุแข็งแกร่ง และแทบจะในทันทีก็ทรงขยับพระอูรุหลบหนีมือของเธอไปอีกครั้งหนึ่ง

แหม… ทำมาเป็นสะดิ้ง

“ขยับมาใกล้ๆ ก็ได้ ไปนอนเสียติดขอบเตียงแบบนั้น เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” โสมแสร้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงใสซื่อบริสุทธิ์ชนิดที่สามารถล้างบาปได้

“ข้านอนได้ ไม่ต้องเป็นห่วง”

“ขยับเข้ามาเถอะน่าพ่อตัวโต” หญิงสาวพูดแหย่และเฝ้ารออยู่หลายอึดใจเพียงเพื่อจะพบว่าพระองค์ขยับองค์เข้ามาในเตียงนิดเดียวเท่านั้น จนแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง เธอไม่รู้ว่าขำอะไรแต่มันน่าขำจนเธอเกือบกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่ได้

โถ… พ่อเทพบุตรเนื้อทอง เนื้อพ่อผ่องไม่หมองนวลเลยเจ้าค่ะ

“ความจริงแล้วฉันอาจจะฝืนใจท่านมากเกินไปสินะ” เธอแสร้งกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงผิดหวังก่อนขยับไปที่ริมเตียงอีกฟากหนึ่งแล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้อีกฝ่าย

“ท่านคงอึดอัดรำคาญฉันน่าดูเลย มันก็มีเหตุผลสมควรอยู่เพราะจะว่าไปแล้วฉันรบกวนท่านมามากจริงๆ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น นะโสม” ราชันไพรสัณฑ์พลิกองค์เข้าหา ทรงร้อนพระทัยด้วยเกรงว่านางจะน้อยใจจริงๆ เพราะคนป่วยมักจะมีอารมณ์ไม่คงที่นัก “ข้าอาจจะอึดอัดก็จริง แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่เจ้าเข้าใจ”

“นอนเถอะ เราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” เธอยิ้ม ขณะแสร้งทำเสียงเงื่องหงอย

ราชันหนุ่มมองแผ่นหลังบอบบางในแสงสลัวด้วยความร้อนรุ่มกลัดกลุ้มพระทัยนัก ไฉนนางจึงไม่เข้าใจพระองค์บ้างว่าต้องทรงอัดอั้นและลำบากมากเพียงใดที่จะหักห้ามพระทัยไม่ให้แตะต้องนางทั้ง ที่นางนอนอยู่ใกล้ๆ ในบรรยากาศและสถานที่อันเป็นใจถึงเพียงนี้พระองค์ไม่อยากจินตนาการว่าหากมีเรือนร่างนุ่มนวลหอมระรินของนางอิงแอบพระ

วรกายจะทรงดำรงความสุขุมและความเข้มงวดต่อองค์เองไว้ได้หรือไม่ แต่หากการที่พระองค์ต้องอึดอัดและลำบากมากขึ้นแล้วแลกกับความสบายใจของนางได้ ทำไมพระองค์จะไม่ทำ

โสมเกือบหลุดเสียงอุทานออกมาเมื่อถูกรวบตัวเข้าไปโอบกอดอยู่กลางเตียง แผ่นหลังของหญิงสาวแนบชิดอยู่กับพระอุระอบอุ่น พระพาหาแข็งแรงกอดรัดเอวของเธอเอาไว้แนบกับบั้นพระองค์ พระหนุกดอยู่บนกระหม่อมของเธอเบาๆ และสาบานได้ว่าเธอสัมผัสได้ถึงพระโอษฐ์ที่ประทับลงมาชั่วครู่หนึ่ง

“ข้าปรารถนาจะนอนกอดเจ้าเอาไว้ในยามหลับ แต่เจ้าคงไม่เข้าใจหรอกว่ามันยากสำหรับข้ามากแค่ไหนที่จะทำเช่นนี้และพยายามหักห้ามใจไม่ให้รังแกเจ้าไปพร้อมกัน” ราชันหนุ่มกระซิบแนบกับริมหูของหญิงสาวเสมือนการจุมพิต “ข้ายังมีความปรารถนาอื่นอีกมากที่ยังไม่ได้บอกเจ้า บางทีเจ้าอาจจะอยากฟัง”

สาบานได้ว่าไม่ได้อยากฟังสักนิด ฉันกลัวใจตัวเองเป็นนะ

“ข้าปรารถนาจะจุมพิตและลิ้มรสเจ้าให้ทั่วทั้งกาย ปรารถนาจะมอบให้ทั้งการปกป้อง ความสุข ความรักและความภักดีทั้งหมดให้แก่เจ้า” ข้อพระดัชนีลูบไล้แก้มเนียนนุ่มของนางด้วยความรักระคนเอื้อ เอ็นดู “หากเจ้าปรารถนาจะให้ข้าอ่อนโยน ข้าจะอ่อนโยนเพื่อเจ้า ทุกสิ่งของข้าล้วนเพื่อเจ้าเท่านั้น ”

ราชันไพรสัณฑ์ถอนพระปัสสาสะด้วยความสบายพระทัยมากขึ้นเหมือนได้ปลดปล่อยความอัดอั้น ไปบางส่วน โสมนอนนิ่งและผ่อนคลายอยู่ในอ้อมพระพาหาของพระองค์ซึ่งนั่นทำให้พอพระทัยเป็นอย่างมาก นางไม่ผลักไสออกจากอ้อมพระพานั่นเป็นสัญญาณที่ดีว่านางไม่รังเกียจความปรารถนาพระองค์!

ขณะที่ราชันไพรสัณฑ์กำลังอิ่มเอมพระทัยอยู่นั้นคนที่นอนนิ่งอย่างผ่อนคลายในอ้อมพระพาหาก็พลิกกายเข้าหาพระองค์อย่างรวดเร็วจนร่างอันอ่อนนุ่มของนางก่ายเกยพระวรกาย พระองค์สัมผัสได้ถึงความอุ่นซ่านของผิวเนียนนุ่มและแรงเต้นของหัวใจกับความอวบหยุ่นที่แนบอยู่กับพระอุระ รวมถึงลมหายใจที่คลอเคลียอยู่บนพระโอษฐ์ของพระองค์

“เจ้ากำลังทำอะไร” รับสั่งถามด้วยเสียงแหบพร่าและเกือบรั้งองค์เอาไว้ไม่ได้เมื่อมือแสนซุกซนของนางเริ่มขยับเคลื่อนไหวอีกครั้ง

“ท่านดีกับฉันมากจนฉันคิดว่าไม่มีใครดีกับฉันได้มากเท่าท่าน” เสียงแผ่วหวานกระซิบอยู่ริมพระกรรณเสมือนการยั่วเย้าอย่างหนึ่ง “ฉันยังไม่เคยขอบคุณและให้รางวัลท่านอย่างจริงจังสักครั้งเลยใช่ไหม”

“เจ้า…” ถ้อยรับสั่งติดขัดอยู่ในลำคอเมื่อสัมผัสได้ว่านางกำลังจุมพิตพระกรรณของพระองค์อย่างอ่อนหวานและยั่วยวนใจนัก

“ฉันตัดสินใจว่าคืนนี้จะมอบรางวัลให้แก่ท่านแทนคำขอบคุณจากใจ” หญิงสาวจุมพิตเสี้ยวพระปรางที่พ้นจากหน้ ากากภูตเรื่อยมาจนกระทั่งหยุดอยู่ที่มุมพระโอฐอุ่นซ่าน “แค่จุมพิตพอไหม”

“ข้าปรารถนามากกว่านั้น” ทรงกอดและลูบไล้นางด้วยความรัก “เจ้าจะมอบให้ข้าหรือไม่”

โสมไม่ตอบแต่ก้มลงประทับจุมพิตพระองค์อย่างนุ่มนวล

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!