ตอนที่ ๓๔
ราตรีของเจ้า
โสมไม่คิดว่าเพียงสัมผัสพระโอษฐ์อย่างแผ่วเบา สายลมที่อ่อนโยนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายลมกรรโชกที่หอบเอาการควบคุมตัวทั้งหมดของตนไปได้ ร่างของหญิงสาวถูกดึงเข้าไปตระกองแนบสนิทกับพระวรกายแข็งแกร่งจนรับรู้ถึงความอุ่นซ่านของกันและกัน กลิ่นพระสุคนธ์หลอมรวมกับกลิ่นกายของเธอเกิดเป็นความหอมเย้ายวนอย่างหนึ่งที่ยั่วเย้าให้เธอยินยอมพร้อมใจสู่เส้นทางที่ราชันไพรสัณฑ์ปรารถนา รสจุมพิตดื่มดํ่าร้อนแรงเจือไปด้วยความหวามหวานที่ชวนมึนเมาของพระองค์ทำให้เธอนึกถึงรสชาติของน้ำตาลเมา กว่าจะรู้ตัวว่ามึนเมาก็สายเกินกว่าจะควบคุมตนไม่ให้ลุ่มหลงเสียแล้ว
โสมเองก็เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังมึนเมาจุมพิตของราชันไพรสัณฑ์และไม่อาจปฏิเสธความปรารถนาของพระองค์ได้ ร่างของหญิงสาวถูกพลิกกลับให้นอนระทวยอยู่บนพระแท่นบรรทมพลางแหงนเงยหน้าตอบรับการปรนเปรอด้วยความคลั่งไคล้ แขนทั้งสองข้างโอบรัดรอบพระศอแน่นพลางส่งเสียงครางอย่างวาบหวามเมื่อถูกสัมผัสอย่างยั่วยวนและร้อนแรง
เธอส่งเสียงประท้วงด้วยความขัดใจเมื่อทรงละจุมพิตก่อนจะอุทานเมื่อทรงถอดเสื้อ ที่เธอสวมอยู่ออกอย่างรวดเร็วก่อนจะทรงจุมพิตและขบเม้มกลืนกินเธอด้วยความกระหาย เธอสอดนิ้ว เข้าขยุ้มพระเกศากึ่งผลักไสกึ่งโอนอ่อนจนกระทั่งความเร่าร้อนและความปรารถนาบรรจบกัน
สัตว์ร้ายถูกปลดปล่อยออกจากกรงขังโดยทันที!
พระวรกายแข็งแกร่งกำยำก็เคลื่อนขึ้นแนบเนาเสมือนเป็นอาภรณ์คลุมกายให้แก่เธอ มือบางบีบต้นพระพาหาที่เปี่ยมไปด้วยพระมังสาทรงพลังเพื่อระบายความอัดอั้น กระวนกระวายก่อนจะเลื่อนลูบไล้พระอุระแข็งแกร่งอันแข็งกระด้างและอบอุ่นด้วยความลุ่มหลง พระโอษฐ์ประพรมไปทั่วใบหน้านุ่มและเล็มไปทุกจุดอันอ่อนไหว พระหัตถ์ใหญ่กระด้างลูบไล้
ความนุ่มเนียนอย่างแผ่วเบาและระมัดระวัง
โสมกระสับกระส่ายอยู่บนเพลิงพิศวาสที่ไม่เคยพานพบ ผิวของเธอซาบซ่านและเปี่ยมไปด้วยความสุขสมและความต้องการที่จะแนบชิดสนิทสนมมากขึ้น มีความเจ็บแปลบบางอย่างเกิดขึ้น แต่เธอไม่นึกใส่ใจเธอทำได้เพียงมึนเมาไปตามรสสัมผัสที่รุมเร้าอยู่ทั่วทุกสรรพางกาย บดเบียดยั่วเย้าและต่อสู้กับความปรารถนาด้วยความเคลิบเคลิ้ม
แต่ราชันไพรสัณฑ์กลับต้องชะงักเมื่อปลายลิ้น สัมผัสได้ถึงรสปะแล่มและกลิ่นโลหิตบริเวณท้องน้อยของโสม พระดัชนีลูบไล้สำรวจบริเวณนั้น อย่างแผ่วเบาจนกระทั่งสัมผัสได้ถึงของเหลวบางอย่างที่ซึมออกจากรอยเย็บบาดแผล ทรงสบถไม่เป็นภาษาแล้วเร่งกอบเอาเศษเสื้อผ้าที่ได้ทึ้งออกจากกายนางมากดบนแผลนั้น ก่อนตะเกียกตะกายไปจุดตะเกียง
“อย่าไปนะ!” โสมร้องเรียกอย่างลืมอายเมื่อทรงผละออกไปก่อนจะกลับมาพร้อมตะเกียงที่ส่องแสงสว่างรำไร
“ชู่ว์… เจ้าเลือดออก ข้าขอโทษ… ข้าไม่ควรรุนแรงกับเจ้า” แสงตะเกียงที่ทรงนำมาส่องให้เห็นพระอุระแข็งแกร่งที่ทำเธอใจแกว่ง
“รู้ไหมว่าฉันเป็นคนมีจินตนาการ” โสมบิดกายหาความสุขสบายเกิดเป็นภาพอันเกียจคร้านกึ่งยั่วยวนที่ชวนให้แตะต้องสัมผัส
“เดี๋ยวก่อน” ราชันหนุ่มรับสั่งกับพระองค์เองด้วยพระสุรเสียงแหบพร่า “ข้าอยากรู้เสียแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงทำแบบนี้ ทั้งที่เจ้าพยายามหลีกเลี่ยงมันมาตลอด”
“ไม่ได้หลีกเลี่ยงสักหน่อย”
“อ้อ… ไม่หรอกหรือ”
สัมผัสแผ่วเบาบนหน้าท้องที่ทรงพยายามห้ามเลือดทำให้เคลิบเคลิ้ม หญิงสาวถอนใจสุขสบาย ปล่อยให้ร่างระทดระทวยอยู่ภายใต้สัมผัสของพระองค์ ในขณะที่ดวงตาซุกซนหรี่ปรือมองกล้ามพระมังสางดงามยั่วยวนใจซึ่งต้องแสงสีทองของเทียนไขแลดูมีชีวิตชีวานัก บางส่วนก็ถูกซุกซ่อนด้วยความมืดดูลึกลับและชวนให้ค้นหาเหลือเกิน
“เลิกมองข้าแบบนั้น เสียที” ราชันไพรสัณฑ์แสร้งรับสั่งเสียงเข้ม
“เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามข้า”
“คำตอบของฉันก็คือเราเป็นสามีภรรยากัน มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ท่านสมควรจะได้รับและฉันไม่รังเกียจเลยหากคนที่จะสัมผัสฉันคือท่าน”
“อ้อ… เจ้าอนุญาตให้ข้าใช้สิทธิของสามี” ราชันหนุ่มรับสั่งหลังจากนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่ง
“ไม่เห็นต้องทำเสียงน้อยอกน้อยใจแบบนั้น เลยนี่นา” เธอยิ้มขบขัน เดาออกเลยว่าทรงน้อยพระทัยเรื่องใด
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่โสม” ราชันไพรสัณฑ์ทรงมองลึกลงไปในดวงตาหวามไหวของนางจนกระทั่งพบบางอย่างที่นางซุกซ่อนเอาไว้ “เจ้ากลัวว่าสักวันข้าจะทิ้ง เจ้าไปหรือ เจ้าคิดว่าหากเจ้ายินยอมมอบกายให้แก่ข้า ข้าจะไม่มีวันทิ้ง เจ้าไปใช่หรือไม่”
“ท่านควรจะภูมิใจที่ฉันเห็นท่านเป็นลูกผู้ชายที่น่ายกย่องคนหนึ่งที่จะไม่มีวันทอดทิ้งภรรยานะ” แม้จะถูกจับได้แต่โสมก็ยังเป็นโสมที่ไม่เคยยอมรับอะไรง่ายๆ
“ข้าไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า” ราชันหนุ่มรับสั่งปลอบโยน “เจ้าเป็นโลกทั้ง ใบของข้า ข้าจะทอดทิ้งไปได้อย่างไร”
“บางทีท่านอาจจะพบโลกใบใหม่ในวันข้างหน้า”
“ถ้าข้าเป็นคนเยี่ยงนั้นจริง ต่อให้ได้ครอบครองเจ้าแล้ว ข้าก็ทอดทิ้งเจ้าได้อยู่ดีใช่หรือไม่” ทรงก้มลงจุมพิตดวงตาที่ฉายความหวาดหวั่นของนางเบาๆ เพื่อปัดเป่าสิ่งนั้นออกไป ทรงเข้าใจจิตใจของนางว่าการที่สตรีนางหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนไม่มีความทรงจำย่อมทำให้นางตื่นตระหนกและรู้สึกเหมือนตัวคนเดียว ดังนั้น เมื่อพระองค์เสนอตัวเป็นสวามี นางจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากยึดพระองค์เอาไว้
“เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบกายให้ข้าเพียงเพื่อรั้งข้าเอาไว้เพราะข้าเป็นของเจ้า ไม่มีใครจะมาแยกข้าออกจากเจ้าได้นอกจากเจ้าจะเป็นฝ่ายทอดทิ้งข้า”
แต่อย่าหวังว่าพระองค์จะยอมให้นางทอดทิ้งพระองค์ไปได้!
ไม่คาดว่ารับสั่งของพระองค์จะทำให้นางโอนอ่อนให้ยิ่งกว่าเดิม แสงไฟสีทองจากตะเกียงสะท้อนดวงตาที่หวามไหวของนาง ผิวของนางเปล่งปลั่งนุ่มนวลรองรับร่างของพระองค์ด้วยความเต็มใจ พระองค์ถูกปลุกเร้าด้วยอารมณ์รักที่ถาโถมเข้าใส่จนไม่ทราบจะจัดการกับมันอย่างไร
“ข้าเสียใจที่ราตรีนี้ไม่ใช่ราตรีของข้า” ทรงเกลี่ยปอยผมให้พ้นดวงหน้าของนางอย่างนุ่มนวล “แต่เป็นราตรีของเจ้าเพียงคนเดียวจ้ะยอดรัก”
“ท่านหมายความว่ายังไง”
“ให้ข้าค่อยๆ อธิบายเถิดนะ” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งอย่างเจ้าเล่ห์เจ้ากลก่อนจะดับตะเกียงจนทั่วทั้งห้องตกอยู่ในความมืดและหันกลับมามุ่งมั่นจุดไฟอีกดวงหนึ่งให้ลุกโชติช่วงตลอดทั้งราตรี