ตอนที่ ๓๕
เบาะแส
ราชองครักษ์หิรัญรอจนรุ่งสางจึงขอเข้าเฝ้าราชันไพรสัณฑ์ แต่กลับได้คำตอบจากมหาดเล็กว่ายังไม่ตื่นบรรทมทำให้ชายหนุ่มสงสัยเป็นอย่างมากด้วยราชันไม่เคยตื่นบรรทมสายเกินกว่าตะวันขึ้นเลยสักครั้ง เขาคิดว่าบางทีอาจจะประชวรจึงให้มหาดเล็กไปเรียกหมอมารอท่า บัดนี้เวลาได้ล่วงเข้ายามสายแล้ว ทั้งหัวหงอกหัวดำก็ได้แต่ยืนพะว้าพะวงอยู่หน้าพระตำหนักโดยไม่กล้าล่วงเข้าไปในตัวพระตำหนักแต่อย่างใด
“ราตรีที่แล้วราชันไพรสัณฑ์มีพระอาการอะไรไม่สู้ดีหรือเปล่า” ราชองค์รักษ์หิรัญเอ่ยถามมหาดเล็กเฒ่าเสียงเข้ม
“ทรงเกษมสำราญและมีพระพลานามัยดีอยู่ขอรับ” มหาดเล็กเฒ่าตอบพลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก
“แล้วเจ้าได้เข้าไปดูพระองค์แล้วหรือยัง”
“หากกระผมเข้าไปได้คงเข้าไปแล้วขอรับ” มหาดเล็กเฒ่าตอบอุบอิบแล้วปากเหงื่ออีกครั้ง “ทรงลงอาคมทุกประตูหน้าต่างไม่อนุญาตให้ใครก้าวล่วงเข้าไปได้เลย”
“เรื่องอันใดกัน” ราชองครักษ์หิรัญแปลกใจยิ่งยวด
“กระผมไม่ทราบขอรับ แหะๆ”
“แล้วเมื่อราตรีเจ้าทำงานอย่างไร พระองค์รับสั่งอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่” ราชองครักษ์หนุ่มซักไซ้
“อ่า… เมื่อราตรีกระผมอยู่รับใช้ปกติ แต่พอย่ำค่ำพระองค์รับสั่งให้กระผมออกมารั้งอยู่หน้าพระตำหนักแล้วก็ไม่ได้เรียกใช้กระผมอีกเลยขอรับ” มหาดเล็กเฒ่าตัดสินใจว่าควรควักผ้าเช็ดหน้ามาช่วยซับเหงื่อได้แล้วเพราะใช้มือปาดมันไม่ทันใจ “ยํ่ารุ่งกระผมพยายามจะเข้าไปในพระตำหนักเพื่อรอรับใช้ดังเดิมแต่ก็เข้าไปไม่ได้ขอรับ”
“แล้วทรงมีเรื่องอะไรจึงต้องไล่เจ้าออกมา” ชายหนุ่มพึมพำร้อนใจ
เขามีเรื่องมากมายที่จะกราบทูลให้ทรงทราบ ทุกเรื่องล้วนสำคัญเพราะสามารถไขเกือบทุกเรื่องที่ราชันทรงประสงค์ที่จะรู้ แต่เขากลับต้องมาพบว่าทรงห้ามไม่ให้ใครย่างเข้าพระตำหนักและไม่เสด็จไปว่าราชการอีกด้วย ถึงแม้เขาจะเข้าใจว่าพระองค์เริ่มส่งสัญญาณท้าทายกบฏให้เร่งโผล่หางออกมาก็ตามแต่เขาไม่คิดว่าจะทรงใช้วิธีไม่ไปว่าราชการ
“ทหารภูตทุกนายมารวมตัวกันที่นี่บัดเดี๋ยวนี้” ราชองครักษ์หิรัญตัดสินใจจะฝ่าอาคมของราชันไพรสัณฑ์เข้าไปด้วยความเป็นห่วงในความปลอดภัยของพระองค์ที่อยู่กับสตรีนางนั้นเพียงลำพัง อีกทั้งการที่ไม่มีใครล่วงเข้าพระตำหนักได้ยังชวนให้เขาคิดมาก แต่เขาต้องลองเสี่ยงอาศัยทุกคนร่วมใจกันทำลายอาคมของพระองค์ซึ่งเขายังไม่ทราบแน่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ “ข้ากำลังสงสัยว่าราชันอาจจะประชวรอยู่ในพระตำหนัก พวกเจ้าจงช่วยกันบริกรรมคาถาคลายอาคมของราชันให้สำเร็จ”
“มีใครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเจ้ารึหิรัญ เจ้าจึงต้องพยายามพังพระตำหนักของข้า” พระสุรเสียงรื่นรมย์ดังขึ้น พร้อมพระทวารที่แง้มเปิดออกเผยให้เห็นพระวรกายสูงใหญ่ของราชันไพรสัณฑ์
ทุกคนพากันคุกเข่าถวายบังคมโดยมีโอกาสเหลือบมองรอยแย้มพระโอษฐ์ที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของพระองค์เพียงพริบตาเดียว
“มิกล้าพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หิรัญตอบ
“แล้วนั่นหมอหลวงมาทำอะไร”
“กระหม่อมเพียงกังวลว่าอาจจะประชวรก็เลยเรียกให้มารอถวายการตรวจพระเจ้าค่ะ”
“ข้าสบายดี” รับสั่งให้ทุกคนวางใจพลางกลั้ว พระสรวลเบาๆ “ลุกขึ้น เถอะ ข้าไม่อยากคุยกับหัวของพวกเจ้า”
“พระเจ้าค่ะ”
“ยกสำรับเข้า บอกเรือนโภชนาด้วยว่าให้เตรียมของว่างต่างๆ มาที่นี่ตลอดทั้งวัน” ราชันหนุ่มรับสั่งเสร็จก็หันกลับเข้าพระตำหนัก ทำให้ทุกคนหันไปมองกันด้วยความงงงันเพราะราชันไพรสัณฑ์ไม่เสวยของว่างมานานมากเหลือเกิน
“ให้กระหม่อมเตรียมน้ำอุ่นสำหรับสรงด้วยหรือไม่พระเจ้าค่ะ”
มหาดเล็กเฒ่ายังคงรับผิดชอบหน้าที่ได้อย่างดีและไม่ตกหล่น
“ไม่ต้อง… ขอบใจ” ทรงหันมารับสั่งตอบพร้อมแย้มพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้ม ให้ทำเอามหาดเล็กเฒ่าตะลึงตาลานด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีวาสนาหล่นทับได้รับรอยแย้มพระโอษฐ์ในเช้าวันนี้
“ต้องประชวรแน่ๆ” หิรัญนึกยินดีที่สวมเครื่องแบบทหารภูตเอาไว้ ทุกคนจึงไม่เห็นใบหน้าตระหนกซีดเผือดของตน “บางทีอาจจะประชวรหนักแล้วทรงเก็บอาการเอาไว้”
ทหารภูตทุกนายพากันพยักหน้าเห็นด้วยอย่างลืมตัวแล้วหันไปกดดันให้บรรดาหมอชราเตรียมตัวเข้าไปถวายการตรวจ
มหาดเล็กเฒ่าซึ่งเพิ่งได้สติรีบเดินงกงั่นไปแจ้งให้ตระเตรียมเครื่องเสวยโดยเน้นให้เตรียมแต่ของบำรุงร่างกายมาชุดใหญ่เพื่อที่ทั้งราชันและพระมเหสีจะเสวยจนอิ่มท้องและทรงพระเจริญยิ่งขึ้นไป ไม่ประชวรให้ข้าราชบริพารใจหายใจคว่ำแบบนี้อีก
หิรัญเฝ้ารอคอยให้ทั้งสองพระองค์ในพระตำหนักเสวยพระกระยาหารเสร็จสิ้น ก่อนจะนำเหล่าหมอหลวงเข้าเฝ้าอย่างเร่งด่วน ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องส่วนพระองค์ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาด
แสงแดดที่ส่องผ่านพระบัญชรเข้ามาทอแสงอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมของมวลดอกไม้โชยตามพระพรายเย็นชื่น ผีเสื้อ ปีกสวยจำนวนหนึ่งบินหยอกล้อกันแล้วหุบปีกลงสู่ดอกมะลิลาที่จัดพุ่มใส่แจกันก่อนจะค่อยๆ พากันบินไปสู่ดอกจำปาทองที่แซมอยู่บนเส้นผมดำขลับละเรี่ยนวลแก้มสีชมพูระเรื่อ ดวงตาสีไพลินล้อมกรอบด้วยแพขนตาภายใต้คิ้วคมยาวจรดขมับเหลือบมองพวกมันเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีเห็นเพียงเสี้ยวหน้าอ่อนละมุน แต่เหล่าผีเสื้อแสนเจ้าชู้ไม่ยอมลดละ ปีกบางแสนสวยปัดผ่านแผ่วเบาบนริมฝีปากอิ่มสีชาดเสมือนการจุมพิตอย่างอ่อนโยน
ราชองครักษ์หนุ่มจ้องมองอย่างเหม่อลอย
นางอุทานออกมาเบาๆ เมื่อถูกผีเสื้อ เจ้าชู้ล่วงเกิน แต่ไม่ปัดป้องจนเขาอยากจะเอื้อมมือเข้าไปเพื่อช่วยทำหน้าที่นั้นแทนให้ ครั้นแล้วดวงตางดงามสีไพลินของนางก็เหลือบแลมาสบ เขารู้สึกคล้ายถูกดึงเข้าไปในดวงตาของนางและตกเป็นทาสอย่างง่ายดาย จนกระทั่งนางหลุบตาลงแล้วเบือนหน้าหนีสายตาของเขาด้วยความประหม่า หัวใจของเขาก็เหมือนจะปลิวไปตามนางด้วย
“จ้องมองเมียของข้าจนนางขัดเขิน… พวกเจ้าขวัญกล้าไม่เลวดีนี่”
พระสุรเสียงเรียบเย็นทำให้ราชองครักษ์หนุ่มสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับมนต์สะกดได้ถูกทำลายลง ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆ แล้วรีบคุกเข่าก้มหน้าลงเอ่ยขอประทานอภัย เสียงที่ร้องประสานหลายเสียงนั้น ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่กระทำการล่วงเกิน แต่จะโทษพวกเขาได้หรือในเมื่อสตรีนางนั้น ช่างงดงามน่ามองเหลือเกิน
แต่… รับสั่งว่าเป็นเมีย นางคืออดีตท่านราชองครักษ์โสมอย่างนั้นหรือ!
ราชองครักษ์หิรัญเผลอเงยหน้าขึ้น มองอีกครั้ง เห็นราชันไพรสัณฑ์เอื้อมพระหัตถ์ปัดแมลงเจ้าชู้ทั้งหลายจนล่าถอยออกไป สตรีที่นั่งอยู่เคียงข้างราชันหน้ากากภูตนุ่งผ้าห่มสไบลวดลายเก่าแก่ซึ่งเป็นที่นิยมในรัชสมัยราชันอคิราภ์ ผมดำขลับแม้จะไม่ยาวเสมอกันแต่ยาวประบ่าดูงามแปลกตา ดวงหน้าของนางอ่อนละมุนและมีแววตาที่แปลกไป มิใช่แววตาเช่นที่เขาเคยเห็นมาก่อนในตัวของท่านราชองครักษ์โสม แต่เป็นแววตาของสตรี!
“ท่านคือ… ท่านราชองครักษ์โสมจริงหรือ” ราชองครักษ์หนุ่มหลุดปากถามออกมาอย่างแผ่วเบาขณะที่ยังจ้องมองตาค้าง
“ไม่ใช่” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งตอบแทนเจ้าตัว “แต่นี่คือพระมเหสีโสม เมียของข้าอย่างไรล่ะหิรัญ”
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า!” ชายหนุ่มรู้สึกตน รีบก้มหน้าลงรอรับพระราชอาญาทันที
“อย่าไปโทษพวกเขาเลยนะ พวกเขาไม่เคยเห็นของแปลกน่ะ” โสมเขินอายคนทั้งห้องโดยเฉพาะราชันไพรสัณฑ์ที่รับสั่งคำว่าเมียถึงสองครั้ง สองครา
“แปลกที่ไหนกัน” ราชันหนุ่มทอดพระสุรเสียงอ่อนหวาน
“แปลกสิ เสื้อผ้าพวกนี้มันก็สวยมากเกินกว่าที่ฉันจะใส่” โสมขยับตัวด้วยความไม่มั่นใจเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยสวมผ้าที่ถักลวดลายสวยงามและทรงค่ามากขนาดนี้มาก่อน
“เจ้างดงามน่ารักมาก” ราชันหน้ากากภูตปลอบประโลมเพิ่มความมั่นใจให้พระมเหสีของพระองค์ “นี่เป็นฉลองพระองค์ของทูลกระหม่อมแม่ที่ทูลกระหม่อมพ่อทรงเก็บเอาไว้ในหีบ มีความทรงจำแห่งความรักของทั้งสองพระองค์จารึกเอาไว้ทุกเส้นไหม เจ้าไม่รู้สึกถึงสิ่งที่ข้าพูดถึงหรือ”
โสมแกล้งยิ้มแห้งๆ แล้วก้มงุดๆ คล้ายจะสำรวจหาถึงสิ่งที่รับสั่งในทุกรอยถักของเส้นไหมเพื่อปกปิดแก้มแดงจัดของตัวเอง แต่ราชันไพรสัณฑ์ทรงทอดพระเนตรเห็นอยู่ดี ทรงพระสรวลแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู
ตั้งแต่ราตรีซึ่งพระองค์ได้มอบความรักปรนเปรอแต่เพียงนาง เมื่อรุ่งอรุณมาถึงนางก็ช่างเหนียมอายและเชื่อฟังพระองค์เหลือเกิน หากทรงรู้ว่าการมอบความรักจะทำให้นางสงบลง พระองค์จะมอบความรักให้นางเสียแต่เนิ่นแล้ว
“พวกเจ้าพากันมาพบข้า มีเรื่องอะไรล่ะ” ทรงหันไปรับสั่งถามข้าราชบริภารด้วยพระอารมณ์ดี
“เอ่อ… เกล้ากระหม่อมพาหมอหลวงมาตรวจพระพลานามัยพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หิรัญกราบทูล
“ไม่ต้องตรวจข้าหรอก ข้าสบายดีมาก ตรวจนางจะดีกว่า เมื่อราตรี…”
“ฉันไม่เป็นอะไรนี่ ท่านทำแผลให้เรียบร้อยแล้ว จำไม่ได้หรือ” โสมพูดขัดขึ้นมาด้วยหน้าแดงแปร๊ด ใครจะยอมให้หมอเอาเข็มมาไล่จิ้มบนเนื้อตัวอีกล่ะในเมื่อพระองค์ทรงทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้เสียทุกที่แบบนั้น
“ตามใจ” ทรงพระสรวลเบาๆ และโอนอ่อนตามความต้องการของนางโดยง่ายเพราะทรงรู้ว่านางเขินอายสายตาของหมอหลวงและพระองค์ก็ไม่ประสงค์ให้ใครมองนางเช่นกัน “พวกเจ้าพากันกลับไปเถอะ ขอบใจมาก”
หมอหลวงพากันก้มงุดๆ ล่าถอยออกจากห้องอย่างว่าง่ายโดยพยายามที่จะไม่เงยหน้าขึ้นมองพระมเหสีอีกทั้งที่ใจอยากทำ ทิ้งไว้เพียงราชองครักษ์หิรัญที่ยังคงหมอบนิ่งรอพระราชอาญาไม่ไปไหน
ราชันไพรสัณฑ์ทอดพระเนตรราชองครักษ์คนสนิทอย่างเงียบงันและทดสอบ จนกระทั่งเป็นโสมที่ทนบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างทั้งสองไม่ได้เอง
“มีอะไรก็รีบๆ พูดสิ เงียบแบบนี้ฉันอึดอัด หรือไม่ก็ให้ฉันไปที่อื่นก่อนได้ไหม แล้วจะนั่งเงียบไม่พูดอะไรกันแบบนี้อีกสักกี่ชั่วโมงก็จะไม่ว่าอะไรเลย”
“ปากกล้านักรึ” ราชันหนุ่มแสร้งรับสั่งเสียงเข้ม “นั่งเงียบๆ นิ่งๆ มิเช่นนั้น ข้าจะลงโทษเจ้า”
โสมนึกขำการแสดงอำนาจบาดใหญ่ของราชันไพรสัณฑ์จนอยากเอื้อมไปขยุ้มพระหนุ แต่เธอแกล้งทำเป็นหงอเพื่อล้อเลียนกลับคืนทำให้พระองค์ทรงพระสรวล
“ได้ยินพระมเหสีรับสั่งแล้วมิใช่หรือหิรัญ มีอะไรจะพูดก็รีบพูด” ทรงหันมารับสั่งกับราชองครักษ์คนสนิท “ลุกขึ้น ก่อนเถอะ ในเมื่อพระมเหสีไม่ประสงค์จะลงโทษที่เจ้าล่วงเกินนาง ข้าก็จะตามใจนาง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หิรัญลุกขึ้น ยืนสงบเสงี่ยม “หัวหน้ากองกำลังกลุ่มกบฏและท่านกรวิกนัดพบกันที่เรือนเริงรมย์ ทั้งสองแปลกใจที่พระมเหสีปรากฏตัวที่โถงว่าราชการและพยายามตามสืบว่าพระมเหสีเป็นใครมาจากไหน อีกทั้งยังวางแผนบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องพระสนมพระเจ้าค่ะ”
“มีพระสนมด้วยหรือไง!?” โสมหลุดปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงขึ้ง เครียดก่อนที่ตัวเองจะทันได้รู้ตัว หญิงสาวแปลกใจกับความหวงแหนที่ลุกโพลงอยู่ในอก ทั้งยังตกใจกับความคิดที่ว่าราชันไพรสัณฑ์เป็นคนของเธอเพียงคนเดียว เธอรู้สึกว่าชั่วชีวิตของเธอนั้น ไม่เคยเป็นเจ้าของสิ่งใดอย่างแท้จริง ในครั้งนี้เธอจึงตั้งใจว่าจะไม่แบ่งคนของเธอให้ใครเด็ดขาด
แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าตัวเองไม่เคยเป็นเจ้าของสิ่งใดอย่างแท้จริง?
“ไม่มีจ้ะ อย่าโมโหหึงเลยนะ” ราชันหนุ่มลูบปลายนิ้วของหญิงสาวอย่างปลอบประโลม “หิรัญคงจะหมายความว่ามีการคิดจะให้ข้ารับนางสนม ซึ่งข้าจะไม่รับนางสนมมากวนใจเจ้าแน่นอน”
“อ้อ… แล้วไป” หญิงสาวหัวเราะแหะๆ “เชิญต่อเถอะ ฉันจะไม่พูดขัดท่านอีกแล้วล่ะ ขออภัยด้วย”
“หามิได้พระเจ้าค่ะพระมเหสี” ราชองครักษ์หนุ่มกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “จากที่ฟังการสนทนาของทั้งสองแล้วความคิดเกี่ยวกับเรื่องพระสนมมาจากธรรม์ ท่านกรวิกรับเรื่องมาโดยตั้งใจจะกราบทูลพระองค์ที่โถงว่าราชการ แต่ท่านกรวิกกลับถูกปลดออกจากตำแหน่งและรู้เรื่องพระมเหสีเสียก่อนจึงทำให้ท่านต้องระงับเอาไว้ก่อนพระเจ้าค่ะ”
“ถูกจังหวะเวลาโดยแท้” ราชันไพรสัณฑ์หันไปแย้มพระโอษฐ์ยั่วให้พระมเหสีของพระองค์ “พระมเหสีทรงมองเห็นอนาคตว่าจะมีการกราบทูลถึงเรื่องพระสนมจึงได้ปรากฏตัวขึ้น ในจังหวะเวลานั้น ใช่หรือไม่”
“ฉันไม่รู้หรอก” หญิงสาวหัวเราะแห้งๆ แล้วแอบหยิกพระนาภีเพื่อเป็นการแก้แค้นที่ทรงกระเซ้าให้เธออาย “พวกท่านว่ากันต่อเถอะ ฉันจะนั่งฟังอย่างสงบเสงี่ยมเลย”
“เกล้ากระหม่อมยังแอบติดตามไปจนถึงเรือนของหัวหน้ากองกำลังฝ่ายกบฏ ต้องเสียเวลาไปกับการฝ่าการตรวจตราอันเข้มงวดไปบ้างแต่ก็ไปทันได้พบเห็นเหตุการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง” หิรัญหยุดเพื่อเรียบเรียงเหตุการณ์แล้วกราบทูลด้วยถ้อยที่กระชับได้ใจความที่สุด “มีการพูดถึงยาพิษสาปจันทรากับแผนการร้ายที่จะให้ชาวเมืองทุกคนได้รับพิษนี้เพื่อ
นำไปเป็นข้อต่อรองกับทางราชการ ที่สำคัญคือมีการพูดถึงท่านโสม… เอ้อ… พระมเหสีโสม และธรรม์มีน้องชายคนหนึ่งซึ่งปกปิดร่างกายทุกส่วนด้วยเครื่องแต่งกายสีดำเว้นไว้แต่เพียงช่องดวงตาเท่านั้น เขามีชื่อว่าโสม!”
โสมสูดลมหายใจแรงเฮือกหนึ่งก่อนที่ร่างกายจะสั่นสะท้านอาการปวดศีรษะตรงเข้าจู่โจมอย่างไร้สัญญาณเตือน มันรุนแรงจนเธอเกือบกระตุกไปทั้งตัว
“เป็นอะไร” ราชันทอดพระเนตรเห็นอาการของนางก็ทรงวิตกกังวลเพราะการได้มารับรู้เรื่องหนักๆ อาจทำให้นางสะเทือนใจจนกระทบกระเทือนต่อสุขภาพที่ยังไม่สมบูรณ์ของนางได้
“ฉันจำเขาได้ เขานั่นแหละที่ทำให้ฉันพิการแบบนี้” หญิงสาวได้สติด้วยพระสุรเสียงเปี่ยมไปด้วยความห่วงใยของราชัน เธอเบียดเข้าหาการปกป้องของพระองค์เพื่อสงบใจของตนเอง
“เจ้ายังไม่ได้พิการ แค่เจ็บป่วยเท่านั้น” ทรงปลอบโยน
แต่หญิงสาวแสยะยิ้มหมิ่นๆ อย่างเงียบเชียบ
ความเสียหายทั้งทางกายและทางใจที่เกิดขึ้นกับเธอ เกรงว่าจะมีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่าเสียหายถึงขั้นไหนและมากมายเพียงใด!
“เป็นไปได้ว่าคนที่จับเจ้าไปก็คือเจ้าโสมคนนั้น หากมันเป็นน้องชายของธรรม์จริง ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าได้ทำตามคำสั่งของพี่ชายนั่นหมายความว่าผู้ที่ควรรับผิดชอบต่อความเจ็บป่วยของเจ้าก็คือมันและพี่ชายของมัน”
“จะให้เกล้ากระหม่อมทำอย่างไรต่อไปพระเจ้าค่ะ” ราชองครักษ์หิรัญละอายใจที่ต้องปล่อยให้ศัตรูรับผิดชอบในความผิดของตนเอง แต่เพื่อที่เขาจะแสดงความภักดีแก่ราชันไพรสัณฑ์ให้ทรงได้รับชัยชนะเหนือศัตรูจึงต้องกล้ำกลืนความอัปยศเอาไว้
หากเรื่องนี้จบสิ้น เขาจะสารภาพทุกความผิดเพื่อรับอาญาโทษทุกสถานแม้กระทั่งโทษประหารชีวิต!
“ตามต่อไป” ราชันหนุ่มรับสั่งด้วยพระสุรเสียงนุ่มนวล พระหัตถ์ลูบไล้ลาดไหล่อันสั่นเทาเล็กน้อยของโสมอย่างปลอบประโลม “ลำบากเจ้าแล้วหิรัญ ข้าอุตส่าห์ให้เจ้าได้หยุดพักผ่อนแต่เจ้าก็ไม่นำพา กลับดั้นด้นพาตัวไปสืบเสาะหาข่าวให้ข้าเสียอีก”
“เป็นวาสนาของเกล้ากระหม่อมที่ได้รับใช้พระองค์”
“โดยหน้าที่ราชองครักษ์แล้วเจ้าสมควรรั้งอยู่ข้างกายของข้า แต่ข้าไม่ไว้วางใจความสามารถในการพรางตัวสืบเบาะแสเรื่องต่างๆ ของคนอื่นนอกจากเจ้า” ราชันหนุ่มรินพระสุธารสให้พระมเหสีของพระองค์รับไปดื่ม “สิ่งที่ข้าจะทำกับเจ้าต่อไปนี้อาจทำให้เจ้าเสื่อมเกียรติ เจ้ายินดีที่จะทำให้ข้าหรือไม่”
สิ้นรับสั่ง ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่หนึ่ง
“ขอเพียงพระองค์รับสั่ง เกล้ากระหม่อมยินดีที่จะปฏิบัติตามพระเจ้าค่ะ”
“เจ้าไว้ใจในวิจารณญาณของข้าหรือไม่หิรัญ”
“พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นคนมีฝีมือ แม้นจะถูกเหล่าทหารภูตพวกพ้องของเจ้าไล่ล่า เจ้าก็จะสามารถหลบหนีไปได้ใช่หรือไม่” รับสั่งพร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์อย่างที่จะทำให้คนมองตัวสั่น
“พระเจ้าค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น จงเตรียมตัวเถอะหิรัญเพราะหลังจากนี้จะไม่มีการออมมือ” ราชันหนุ่มรับสั่งเตือนด้วยพระสุรเสียงปรานี แต่การกระทำของพระองค์ในเวลาต่อมาทำให้โสมใจหายวาบและคลางแคลงในน้ำพระทัย
“ทหารภูตทุกนายจงฟัง! มาจับตัวไอ้หิรัญคนทรยศไปสำเร็จโทษสูงสุดของกองกำลังทหารภูตบัดเดี๋ยวนี้!”