Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 37

ตอนที่ ๓๗

แขกที่ไม่คาดฝัน

ราชันไพรสัณฑ์เป็นคนที่เข้าใจยากจริงๆ เมื่อเช้าพระองค์เพิ่งขับไล่หิรัญให้กระเซอะกระเซิงหนีการตามล่าของพี่น้องทหารภูตและบังคับให้เธอรับการตรวจทั้งที่เธอไม่ต้องการ แต่หลังจากนั้น พระองค์กลับไปทรงงานต่อเหมือนไม่เคยมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเลย

“เจ้าทำให้ข้าเสียสมาธินะโสม” ราชันหนุ่มถอนพระปัสสาสะก่อนละมือจากงานเพื่อสบกับดวงตาสีไพลินที่ยังจ้องมองพระองค์เขม็งมาจากโต๊ะทำงานฝั่งตรงข้าม “รีบตรวจเล่มนั้นเข้าสิ ถ้าด่วนก็ส่งมาให้ข้าก่อน แต่ถ้าไม่ด่วนก็แยกกองเอาไว้”

“ใครจะสุขุมเยือกเย็นอย่างท่านกันล่ะ ทั้ง ที่เพิ่งเกิดเรื่องวุ่นวายไปแท้ๆ กลับมานั่งทำงานเป็นปกติ” โสมวางเอกสารในมือเพื่อที่จะประณามราชันด้วยสายตาได้ถนัดมากขึ้น “หิรัญเป็นคนสนิทของท่านนะ ท่านไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรืออย่างไร”

“รู้สึกสิ” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งเรียบๆ “ข้าโกรธมาก ถ้ามันใช้การไม่ได้เมื่อใด ข้าจะฆ่ามันเพื่อชดใช้ให้แก่เจ้า”

“เขาต้องเคยสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านมานานแน่ๆ ทำไมท่านเหี้ยมจัง” หญิงสาวหน้าเสียเพราะรู้ว่าไม่ได้รับสั่งล้อเล่น

“เขาเป็นทหาร ทหารต้องไม่กระทำการนอกเหนือคำสั่ง แต่เขากลับคิดเองทำเองจนเกิดปัญหา หากเขาทำแบบนี้อีกก็ไม่ทราบจะมีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้ง ข้าเคยสาบานแล้วว่าจะให้คนที่ทำกับเจ้าได้ชดใช้อย่างสาสม” ราชันหนุ่มเอื้อมไปไล้ข้อพระดัชนีบนแก้มนุ่มนวลอย่างอ่อนโยน

“การที่ท่านทำแบบนั้นกับเขาก็หนักหนาสาหัสแล้วล่ะ ฉันไม่ต้องการให้เขาชดใช้อะไรให้ฉันอีก”

“ข้ามิเพียงจะให้มันชดใช้ให้แก่เจ้าเท่านั้น แต่จะให้มันชดใช้ให้แก่ข้าด้วย” ทรงปฏิเสธคำขอของนาง “ข้าไม่ชอบความรู้สึกของการถูกหลอกเลยโดยเฉพาะเมื่อคนที่หลอกข้าเป็นคนที่ข้าไว้วางใจ”

“ที่ฉันขอไม่ใช่เพียงเพราะฉันไม่อยากให้เขาชดใช้ แต่เป็นเพราะฉันอยากให้ท่านมีคนมีฝีมือที่จงรักภักดีเอาไว้ใช้งานต่อไปด้วย” เธอบอกอย่างจริงจัง “สิ่งที่เขาทำก็เป็นเพราะคำนึงถึงท่าน ถึงแม้ท่านลงโทษอย่างนั้นกับเขา เขาก็ยังทำงานให้ท่านไม่ใช่หรือ อีกทั้งตอนนี้เขาก็มีหน้าที่ต้องจงรักภักดีกับฉันด้วย คนแบบนี้ยังใช้งานได้อีกนานและมีค่าเกินกว่าจะมาตายเพราะเรื่องแค่นี้”

“เจ้าต้องเจ็บป่วยหนักเพราะเรื่องนี้นะโสม” ราชันไพรสัณฑ์รู้สึกทึ่งและซาบซึ้งที่นางคิดการณ์ไกลให้แก่พระองค์โดยยอมสละเรื่องส่วนตัว

“เจ็บเดี๋ยวก็หายเพราะท่านจะดูแลฉันอย่างดี แต่คนภักดีน่ะหายาก” โสมยืนกรานด้วยสีหน้าจริงจัง “เชื่อฉันเถอะ เก็บหิรัญเอาไว้ใช้งานต่อไปมันเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า”

“ตามใจเจ้า” ราชันหนุ่มยอมแพ้ความมุ่งมั่นของอีกฝ่าย “ทำไมข้าถึงได้ยอมเจ้าอยู่เรื่อยเลยนะโสม”

“ก็เพราะท่านรักฉันไงล่ะ” หญิงสาวบอกยิ้ม ๆ ขณะหยิบเอกสารขึ้นอ่านอีกครั้ง ด้วยความสบายใจ “ฝึกเอาไว้เถอะ อีกไม่นานก็ชิน”

ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลเสียงดังด้วยความขบขันอยู่เป็นนานกว่าจะทรงงานต่อ

โสมทำหน้าที่ของตนพลางเหลือบมองพระสวามีด้วยความสุขใจ พระองค์มีเสน่ห์ลึกลับอ่านยาก จนบัดนี้เธอยังทำความเข้าใจในพระองค์ได้ไม่หมด แต่เธอตัดสินใจแล้วว่ามันไม่สำคัญเพราะไม่ว่าอย่างไร พระองค์ก็จะรักและดูแลให้เธอได้รับแต่ความผาสุกในชีวิตอยู่ดี ความรู้สึกที่ได้รับความรักเป็นความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน

โสมแอบมองราชันหนุ่มเงียบๆ พระองค์ทรงงานอย่างเคร่งขรึมและจริงจัง พระหัตถ์อันแข็งแรงหยิบจับกระดาษอย่างคล่องแคล่ว พระดัชนีชี้ทุกตัวอักษรด้วยความละเอียดรอบคอบ หน้ากากภูตครึ่งหน้าที่ทรงสวมอยู่ทำให้เธอเห็นพระโอษฐ์ซึ่งแย้มละไมเฉกเช่นยามปกติทั้ง ที่เอกสารในพระหัตถ์เป็นเรื่องที่ตัดสินพระทัยยากแท้ๆ ประหนึ่งว่าความกดดันไม่

สามารถทำลายความองอาจและความเชื่อมั่นของพระองค์ได้เลย แม้จะรู้สึกหมั่นไส้พระองค์นิดๆ แต่เธอกลับไม่สามารถห้ามรอยยิ้ม ของตัวเองได้ เธอได้รับความรู้สึกมากมายจากพระองค์ ดังนั้น เธอจึงคาดหวังว่าจะได้มอบความรู้สึกอันมากมายตอบแทนแก่พระองค์เช่นกัน

“เจ้าทำให้ข้าเสียสมาธิอีกแล้ว” ราชันหนุ่มแสร้งโอดครวญอย่างน่ารักในสายตาคนมอง

“ก็อยากมองสามีนี่นา” โสมกระเซ้า ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับจับตา “มองแล้วก็คิดในใจว่านี่แหละสามีของฉัน น่ารักเสียไม่มีใครเกิน”

“… เรามาช่วยกันเลือกเรื่องเร่งด่วนมาพิจารณาแล้วกลับห้องไปนอนกลางวันกันดีหรือไม่”

“ไม่!” หญิงสาวหัวเราะเสียงใส แก้มแดงก่ำเพราะเข้าใจความนัยของพระสวามี “มีสมาธิทำงานหน่อยสิ อย่าวอกแวก”

“เจ้าหวังให้ข้ามีสมาธิทั้งที่เจ้าเอาแต่ส่งสายตาให้อย่างนั้น หรือ”

“ฉันแค่มอง ไม่ได้ส่งสายตาให้สักหน่อยนะ!” เธอเอื้อมมือไปเขย่าพระหนุด้วยความมันเขี้ยว “ตั้ง ใจทำงานไปเสีย ถ้าทำเสร็จแล้วจะให้รางวัล”

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอจับจองสไบผืนที่เจ้าสวมอยู่เป็นรางวัลก็แล้วกัน”

โสมหัวเราะแหะๆ แล้วก้มหน้างุดทำงานต่อ ราชันไพรสัณฑ์มีวิธีเกี้ยวพาราสีที่น่าประทับใจมาก พระองค์ทรงทราบว่าเมื่อใดที่ควรรับสั่งตรงไปตรงมาและเมื่อใดควรใช้คารม ทำให้เธอต้องตื่นเต้นและอายม้วนต้วนทั้ง ที่ความจริงแล้วคนอย่างเธอไม่น่าจะมีอาการแบบนั้น ได้ด้วยซ้ำ

ที่เขาพูดกันว่าความรักทำให้คนเปลี่ยนไปเห็นจะจริง

“ขอเดชะฯ มีคนอ้างว่าเป็นเจ้าเมืองกิติแห่งเกษมศานต์นครพร้อมแม่หญิงศรีศุภางค์และผู้ติดตามมาขอเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”

โสมเหลือบมองราชันไพรสัณฑ์และสัมผัสได้ว่าบรรยากาศบางอย่างเปลี่ยนไปละม้ายกับความตื่นตัวระแวดระวัง หญิงสาวหรี่ตาสังเกตราชันหนุ่มด้วยแววตาคมกริบ แม้จะทรงแย้มพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้ม เช่นปกติแต่เธอเห็นว่ามุมปากกดลึกลงเป็นรอยเครียดเล็กน้อย

“ผู้ที่อ้างว่าเป็นท่านเจ้าเมืองมอบของสิ่งนี้ให้โดยบอกว่าพระองค์จะทรงทราบความหมาย”

“ท่านไม่ต้องลุกหรอก เดี๋ยวฉันไปเอามาให้” หญิงสาวลุกขึ้น ไปรับของจากมหาดเล็กทันทีโดยไม่รอรับสั่งอนุญาต เพราะเห็นสีพระพักตร์อีกทั้งได้ยินว่ามีผู้หญิงเดินทางมาด้วยทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่รู้จักผลักดันให้เร่งทำการตรวจสอบโดยไว ครั้นเห็นว่าเป็นหนังสือเล่มหนึ่งว่าด้วยเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ก็ถอนใจโล่งอกนิดหน่อยเพราะหนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นนัยยะบางอย่างเพื่อยืนยันฐานะของคนมากกว่าเป็นของขวัญแทนใจ

“เจออะไรน่าสงสัยหรือไม่ท่านผู้ตรวจการ” รับสั่งล้อเลียนด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์กว้างเมื่อนางยื่นหนังสือให้พระองค์ “สงสัยว่าเราจะมีแขกแล้วล่ะจ้ะ เจ้าเมืองกิติชอบปลอมตัวเป็นชาวบ้านแล้วผลุบไปมาอยู่บ่อยๆ ครั้ง นี้คงมีเรื่อง… เอ้อ… บางอย่างน่ะ”

“ต้องเป็นเรื่องใหญ่พอสมควรเพราะท่านพูดจาติดๆ ขัดๆ ด้วยท่าทางไม่สบายใจ” เธอจ้องจับผิดเพราะสัญญาณเตือนบางอย่างในใจร้องดังลั่นอย่างไม่ปรานี “สรุปว่าท่านจะอนุญาตให้พวกเขาเข้าวังไหม ฉันจะได้ไปบอกมหาดเล็กถูก”

ราชันไพรสัณฑ์พยักพระพักตร์แทนคำตอบพร้อมประทานยิ้มประจบให้ หญิงสาวมองแล้วแอบครุ่นคิดในใจว่าเรื่องนี้มีบางอย่างไม่เข้าที ไม่อย่างนั้น ราชันหนุ่มคงไม่มีทีท่าเกรงอกเกรงใจและพยายามประจบเอาใจเธอแน่ บางทีสาเหตุอาจมาจากผู้หญิงที่ร่วมเดินทางมากับเจ้าเมืองกิติ ผู้หญิงที่มีชื่อว่าศรีศุภางค์คนนั้น !

อย่างไรก็ตามเมื่อถึงเวลาที่ต้องต้อนรับแขก โสมกลับอ้างว่ารู้สึกเพลียและต้องการนอนพักที่ห้อง ราชันไพรสัณฑ์อยู่ดูแลจนเธอนอนสบายก่อนประทับจุมพิตบนหน้าผากของเธอเบาๆ หนึ่งทีแล้วบอกว่าจะไปต้อนรับเจ้าเมืองกิติที่พระตำหนักกรกัติซึ่งตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของวังและจะรีบกลับมาเท่าที่ทำได้ เธอแสร้งยิ้ม อ่อนเพลียให้แล้วหลับตาลงจนกระทั่ง

แน่ใจว่าเสด็จออกจากห้องไปแล้วจึงนอนเอาแขนก่ายหน้าผากคิด

เธอต้องการเวลาคิดบางอย่างเงียบๆ ใครจะว่าเธอคิดมากเกินไปก็ยอมล่ะ!

จันทราดวงโตแผ่แสงนวลราวกับกล่อมใจ ดวงดาราหลบหนีซุกซ่อนอยู่ตามกลีบเมฆ ลมราตรีเย็นชื่นพัดลอดแนวไม้ จนเกิดเป็นเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติอันไพเราะ เสียงนกกลางคืนร้องโหยหวนกลับกลืนหายไปในเสียงดนตรีอ่อนหวานรื่นเริงจากเหล่ามนุษย์

ราชันไพรสัณฑ์จัดงานเลี้ยงต้อนรับเจ้าเมืองกิติและแม่หญิงศรีศุภางค์ที่ลานนันทน์ แต่สตรีที่แอบหาวอยู่บนพระแท่นเดียวกันกำลังทำให้พระองค์ร้อนรุ่มพระทัยด้วยความกังวลจนไม่มีสมาธิเพียงพอจะทำหน้าที่เจ้าบ้านได้เต็มที่เพราะโสมไม่เอ่ยถึงแม่หญิงศรีศุภางค์เลยแม้แต่น้อยทั้ง ที่พระองค์รู้ว่านางเอะใจบางอย่างเหมือนกัน

“ทนหน่อยนะจ๊ะ ถ้าง่วงก็พิงข้าหลับไปก่อนก็ได้” รับสั่งข้างหูของโสมซึ่งพระองค์กำชับให้สวมหน้ากากภูตเต็มหน้าเอาไว้เป็นการอำพราง

ส่วนพระองค์เองทรงหน้ากากภูตครึ่งหน้าที่นับแต่นี้คงต้องหยิบใช้เป็นประจำแทนอันที่ยกให้นางอันเป็นที่รักไป

“ถ้าการแสดงมีอย่างอื่นบ้างนอกจากร้องเล่นเต้นรำก็คงดีกว่านี้” หญิงสาวพึมพำบอกเสียงงัวเงีย “ไม่ใช่ว่าพวกนางรำไม่สวยนะ พวกนางรำสวยมาก หน้าตาก็จิ้มลิ้ม งดงาม ดูแล้วก็เจริญตาเจริญใจ แต่มันไม่ตื่นเต้นนี่นา”

“แล้วต้องแบบไหนถึงจะตื่นเต้นล่ะ” รับสั่งถามด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์บางๆ

“แบบที่มีดาบ แล้วก็มีเสียงโห่คำราม ต่อสู้กันแบบดูแล้วหวาดเสียวๆ น่ะ”

ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลออกมาอย่างอดไม่ได้ สตรีนางอื่นมีแต่จะชื่นชมศิลปะงดงามอ่อนช้อยแต่นางกลับมองเป็นน่าเบื่อและเรียกร้องหาการประลองที่ตื่นเต้นหวาดเสียวแทน ดังนี้เพื่อเห็นแก่นางแล้ว พระองค์จึงขยับมือเรียกทหารภูตนายหนึ่งเข้ามากระซิบสั่งความให้ไปจัดการกัน

โสมแสร้งทำเป็นง่วงซึมทั้ง ที่ดวงตาจ้องไปยังร่างอรชรอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมราวกับดอกไม้กลีบบางของแม่หญิงศรีศุภางค์ นางมีวงหน้ารูปไข่ ดวงตาดำขลับละม้ายตากวาง จมูกโด่งงาม ริมฝี ปากจิ้ม ลิ้ม สีระเรื่อ พวงแก้มเปล่งปลั่ง ผิวเรียบเนียนผุดผ่องเหมือนแสงจันทร์ ทรวงอกที่ถูกโอบรัดด้วยสไบนั้นดูกลมกลึงได้รูป เอวเล็กคอด แขนอ่อนอ้อนแอ้น

กิริยามารยาทอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรีทุกระเบียดนิ้ว

นางสวยจนน่าหลงใหลเพราะขนาดเธอเองยังเคลิ้มเลย!

โสมพอจะทราบแล้วว่าทำไมพระสวามีถึงได้มีทีท่าเกรงอกเกรงใจเธอนัก เมื่อก่อนพระองค์คงจะพึงพระทัยในตัวของแม่หญิงศรีศุภางค์อยู่ จึงกลัวว่าเธอจะไม่พอใจซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องดีเพราะมันบอกได้ว่าทรงไม่ปรารถนาให้เธอต้องเป็นกังวลกับเรื่องเก่าก่อนที่ไม่ได้มีความหมายกับพระองค์อีกต่อไปแล้ว

แน่สิที่ว่าไม่มีความหมายเพราะพระองค์รักเธอนี่นา!

เมื่อคิดตกแล้วหญิงสาวจึงถอนใจอย่างเป็นสุข ความกังวลและความรู้สึกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้จางหายไปอย่างช้าๆ และเงียบสงบ เธอฉวยพระหัตถ์ของราชันหนุ่มมาลูบเล่น สำรวจทั้งด้านที่นุ่มนวลและด้านที่แข็งกระด้างพลางนึกในใจว่ามือนี้เองที่ประคับประคองเธอจนผ่านช่วงเวลาอันเจ็บป่วยมาได้ และมือนี้อีกเช่นกันที่มอบความผาสุกและความรักให้แก่เธอ เธอเหลือบมองพระพักตร์ที่ถูกบดบังด้วยหน้ากากภูตอย่างเงียบๆ รอยแย้มพระโอษฐ์ของพระองค์กดลึกด้วยความไม่สบายพระทัย

จากเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงทำให้เธออ่านพระอิริยาบถและอ่านพระอารมณ์ของราชันหนุ่มได้อยู่บ้าง คาดว่าตอนนี้คงจะกำลังกระวนกระวายเรื่องเดียวกับที่เธอกระวนกระวายเมื่อนาทีก่อนเป็นแน่

“เจ้าไพร” มือบางเขย่าพระหัตถ์ใหญ่เพื่อเรียกร้องความสนพระทัย “ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันไม่ถือสาเรื่องอดีตหรอก”

“เจ้า!” ราชันไพรสัณฑ์ทรงอุทานเบาๆ ด้วยความตกพระทัยและทรงอ้ำอึ้ง อยู่นานกว่าจะถอนพระปัสสาสะออกมา “เจ้าทำให้ข้าใจหายใจคว่ำอยู่นานทีเดียว”

“แต่ช้าแต่… เย็นอกเย็นใจนะจ๊ะ” โสมหัวเราะคิกคัก ลูบพระอุระเบาๆ อย่างปลอบประโลมระคนหยอกเย้า ราชันหนุ่มจึงค่อยทรงพระสรวลออกมาได้ “ว่าแต่… ท่านหลงรักแม่หญิงศรีศุภางค์มานานหรือยังน่ะ”

“ไม่ถึงกับหลงรักจ้ะ ก็แค่เห็นว่าเป็นกุลสตรีที่น่าพึงใจเท่านั้น” รับสั่งเบาๆ อย่างออกจะเกรงใจอยู่บ้าง “แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนรสนิยมแล้ว อย่างเจ้านี่ล่ะ ต้องรสนิยมที่สุด”

“แล้วอย่างฉันนี่ มันยังไงล่ะ” หญิงสาวถามอย่างรู้สึกทะแม่งๆ

แต่ราชันกลับแย้มพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้ม ปริศนาให้แล้วไม่รับสั่งตอบ

เธอเองก็ไม่กล้าซักเอาความจริงเพราะกลัวจะรับความจริงไม่ได้

“เจ้าให้เมียสวมหน้ากากนั่นทั้งวันเลยหรือไพรสัณฑ์”

โสมหันขวับไปมองคนพูดด้วยความประหลาดใจ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนแท่นข้างๆ กล้าเรียกชื่อจริงของราชันไพรสัณฑ์โดยไม่ใช้ราชาศัพท์เลยหรือนี่ แต่ในเมื่อราชันไม่รับสั่งตำหนิอะไรเธอจึงสันนิษฐานว่าพระองค์คงจะนับถือเจ้าเมืองกิตติคนนี้เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งและอนุญาตให้ท่านละเลยจารีตได้

“ก็ไม่ใช่ตลอดเวลาหรอกท่านอา แค่เวลาที่นางออกจากพระตำหนักเท่านั้น” ราชันรับสั่งตอบอย่างสุภาพนอบน้อมจนน่าชื่นชมก่อนจะหันมาอบรมเธอ “โสม… เจ้าอย่าหันปุบปับสิ หากเคราะห์ไม่ดีจะมีคนโดนคำสาปหน้ากากภูตที่เจ้าสวมอยู่ได้”

“ลืมตัวน่ะ” เธอแก้ตัวพลางหัวเราะแหะๆ

“แนะนำเมียให้ข้ารู้จักหน่อยสิ”

“นางชื่อโสม”

โสมเงยหน้ามองราชันไพรสัณฑ์อย่างงุนงงว่าตกลงแล้วพระองค์เจตนาจะแนะนำเธอจริงหรือไม่ในเมื่อรับสั่งตอบห้วนสั้น เหลือเกิน แต่เจ้าเมืองกิตติไม่มีทีท่าขุ่นเคืองกลับหัวเราะขึ้น มาอย่างเห็นขันคล้ายกับรู้ต้นสายปลายเหตุอะไรบางอย่างที่หญิงสาวไม่ได้รู้ด้วย

“หวงเหลือเกิน ข้าไม่ได้จะรังแกเมียของเจ้าสักหน่อย”

อ้อ… ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง

“ฉันไม่คิดว่า เอ่อ… ท่านอาจะมีเหตุผลที่จะรังแกฉัน แต่มันน่าสนใจดีว่าทำไมท่านอาถึงพูดถึงเรื่องการรังแกขึ้น มาได้” หญิงสาวเอ่ยออกไปและจับสังเกตอาการของเจ้าเมืองกิติได้ว่าแปลกใจกับการกระทำของเธอมาก สงสัยว่ากุลสตรีที่ดีคงจะไม่ควรพูดในวงสนทนาของบุรุษ แต่เธอไม่ชินกับสังคมแบบนี้บอกไม่ถูกและนึกไม่ออกเหมือนกันว่าทำไม

“ก็เพราะว่าไพรสัณฑ์เคยส่งของกำนัลให้ศรีศุภางค์เสมือนได้จับจองตัวเอาไว้น่ะสิ ข้าเป็นพ่อของนางย่อมต้องมีเหตุผลที่จะไม่ชอบหน้าเจ้าและรังแกเจ้า”

“พูดตรงแน่วเลย” เธอพูดและได้เห็นท่านเจ้าเมืองทำท่าแปลกใจแล้วหัวเราะอีกครั้ง

“ศัพท์แสงประหลาดนักแต่ก็ตลกดี มันมีความหมายว่าอย่างไร ไอ้ ‘ตรงแน่ว’ ของเจ้าน่ะ”

“แน่ล่ะว่าท่านไม่เคยได้ยินหรอก มันเป็นศัพท์ของวัยรุ่นเขาพูดกันส่วนความหมายก็ประมาณว่าตรงอย่างที่สุด ตรงแบบไม่บันยะบันยัง”

หญิงสาวตอบ เจ้าเมืองกิตติหัวเราะตัวโยนจนน้ำตาเล็ด ปากก็พึมพำคำศัพท์วัยรุ่นไปมาเหมือนจะท่องจำให้ขึ้นใจ เธอเชื่อว่าหากท่านอยู่ที่นี่อีกสักหนึ่งอาทิตย์แล้วได้พูดคุยกัน ท่านจะได้คำศัพท์ที่มีชีวิตชีวาแบบนี้กลับบ้านไปเผยแพร่อีกหลายคำแน่

“แต่ว่าท่านจะไม่รังแกฉันใช่ไหม ฉันน่ะเป็นเด็กดีนะ แถมถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย ฉันเป็นผู้บริสุทธิ์แท้ๆเลย ท่านน่าจะเห็นใจฉันมากกว่าที่รักผู้ชายซึ่งวันๆ เอาแต่ปิดหน้าปิดตาแถมฉันยังต้องปิดหน้าปิดตาเหมือนกับเขาด้วย เห็นไหมว่าฉันน่าเห็นใจแค่ไหน”

“อย่าพูดต่อเลยนะ” ราชันไพรสัณฑ์โอดครวญอย่างอ่อนพระทัย แต่กลับทำให้เจ้าเมืองกิติหัวเราะหนักยิ่งกว่าเก่า

สายตาอันว่องไวของโสมเหลือบไปเห็นแม่หญิงศรีศุภางค์แอบเบือนหน้าหนีไปหัวเราะ นั่นเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เธอเบาใจไปได้อักโขว่าแม่หญิงที่งดงามเพียบพร้อมนางนี้ไม่ได้มีใจให้ราชันเลยเพราะคงไม่มีผู้หญิงที่ผิดหวังในความรักคนไหนสามารถหัวเราะในสถานการณ์นี้ได้กระมัง

“เอาเถอะ! ข้าน่ะรังแกเจ้าไม่ลงหรอก คิดไปแล้วเจ้าก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย” เจ้าเมืองกิตติพูดพลางกลั้วหัวเราะ ดวงตาสดใสไม่มีรอยขุ่นมัว เธอจึงเบาใจไปอีกหนึ่งเรื่องว่ากณวรรธน์นครและเกษมศานต์นครจะไม่ผิดใจกันเพราะเรื่องนี้

“แล้วเจ้านึกชังศรีศุภางค์บ้างหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรนางก็เคยเป็นผู้หญิงที่เกือบจะได้ขึ้นตำแหน่งพระมเหสีนี่นะ”

“ฉันจะไปชังคนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันได้ยังไง” โสมบอกแล้วอมยิ้ม

เมื่อเห็นท่าทีผ่อนคลายลงของแม่หญิงศรีศุภางค์ “คนที่ผิดน่ะคือสามีของฉันต่างหากเพราะฉะนั้น ฉันคงต้องขอถามล่ะว่าแม่หญิงศรีศุภางค์ต้องเสียหายเพราะเรื่องนี้เพียงใด”

“สามีของเจ้าน่ะส่งของขวัญที่มีค่าชดเชยให้ศรีศุภางค์แล้ว ทั้งข้าและนางต่างไม่ติดใจเรื่องนี้อีก”

“ถ้าอย่างนั้น ท่านต้องการให้เราช่วยอะไรแม่หญิงศรีศุภางค์ล่ะ”

“ทำไมเจ้าถึงคิดว่าศรีศุภางค์ต้องการความช่วยเหลือ” เจ้าเมืองกิตติชะงักเล็กน้อย

เธอแสร้งถอนหายใจแล้วเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ในเมื่อท่านไม่ติดใจแล้ว หากท่านต้องการมาเยี่ยมเยียนสามีของฉันเพียงอย่างเดียวคงไม่ต้องพาแม่หญิงศรีศุภางค์ลำบากเดินทางมาด้วยหรอกจริงไหม ราชันไพรสัณฑ์เคารพท่านเฉกญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง เพราะฉะนั้น กณวรรธน์นครและเกษมศานต์นครต่างถือเป็นญาติกัน หากมีเรื่องอะไรให้ช่วยก็ขอให้บอกมาตามตรงเถอะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!