Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 38

ตอนที่ ๓๘

ศึกฝ่ายเหนือฝ่ายใต้

เจ้าเมืองกิตติกระแทกแก้วลงกับโต๊ะจนสุรากระฉอกเปรอะเปื้อน

โสมแกล้งสะดุ้งแล้วกระโจนเข้าหาราชันไพรสัณฑ์ด้วยท่าทางตื่นตกใจ

ราชันหนุ่มโอบรับร่างของหญิงสาวที่กระโจนเข้ามานั่งซ้อนพระเพลาเอาไว้พลางกลั้นรอยแย้มพระโอษฐ์อย่างยากลำบาก ไฉนพระองค์จะทรงไม่ทราบว่านางแกล้งยียวนกวนประสาทในเมื่อก็ทรงเจอฤทธิ์ของนางมาก่อน

“อย่าทำอะไรแบบนั้นสิท่านอา ฉันเพิ่งรอดตายมาหมาดๆ ถ้าเคราะห์ร้ายตกใจจนกลับไปป่วยหนักอีกจะแย่เอา อาจถึงตายได้นะ”

“อย่างเจ้าน่ะรึเพิ่งรอดตายมา แต่ก็มีความเป็นไปได้ก็ในเมื่อกวนประสาทคนถึงเพียงนี้” เจ้าเมืองกิติพูดกึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม ท่านพอใจในความฉลาดเฉลียวของนางเป็นอย่างมากและหมั่นไส้ไปพร้อมกัน เสียงหัวเราะคิกคักของบุตรสาวทำให้ท่านต้องเหลือบมอง เมื่อเห็นว่าบุตรสาวกำลังก้มหน้าก้มตากัดฟันหัวเราะจนไหล่สั่นก็อดที่จะยิ้มออกมาด้วยความสบายใจไม่ได้

“ฉันกวนโมโหจริงหรือเปล่า” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามราชันหนุ่ม มือบางแตะพระอุระอย่างออดอ้อนเอาคำตอบที่น่าพึงพอใจ

“บางทีเจ้าก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันจ้ะ” ราชันหนุ่มรับสั่งตอบก่อนหันไปรับสั่งกับเจ้าเมืองกิตติ “เป็นอย่างที่โสมบอกขอรับ หากมีอะไรที่เราช่วยได้เราก็จะช่วย”

“เอาไว้คุยกันวันอื่น คืนนี้พักผ่อนสบายๆ เถอะ” เจ้าเมืองกิตติยอมรับกลายๆ

การสนทนาชะงักไปเมื่อทหารภูตสองหน่วยเดินตบเท้ากันเข้ามาอย่างขึงขัง

โสมขยับตัวตรงมองทุกคนตาวาวด้วยความตื่นเต้น ยิ่งหัวหน้าหน่วยทั้งสองก้าวออกมารายงานว่าจะแสดงสงครามชิงเมืองให้ดูชมก็แทบจะลุกขึ้น ไปยืนเชียร์ใกล้ๆ ทหารสองหน่วยคือตัวแทนทหารฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ แต่ละหน่วยจะมีหัวหน้าคนหนึ่งซึ่งทุกคนต้องปกป้องไม่ให้ถูกทำร้าย หากหัวหน้าถูกทำร้ายเมื่อใดฝ่ายนั้น ถือเป็นฝ่ายแพ้ ทั้ง นี้ไม่ห้ามที่หัวหน้าจะลุกขึ้น ต่อสู้ด้วย โดยทุกคนจะผูกมะเขือเทศคาดหน้าผากเอาไว้ขอเพียงตีโดนมะเขือเทศจนเละก็ถือว่าคนนั้นตายและต้องออกจากสนาม เมื่อจบศึกแล้วฝ่ายใดเหลือจำนวนมากที่สุดฝ่ายนั้น ชนะและได้เมืองไป

“น่าสนุกนะว่าไหม” โสมเหลือบมองราชันไพรสัณฑ์

“อย่าแม้แต่จะคิด” ราชันหนุ่มรู้ทันความคิดของพระมเหสีของพระองค์จึงได้รับสั่งดักคอเอาไว้ก่อน

“แหม… แต่มันน่าสนุกจริงๆ นี่ โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ” หญิงสาวพยายามตื๊อ

“ข้าจะไม่ให้เจ้าไปจับดาบร่ายอาคมเล่นกับทหาร อย่าตื๊อเสียให้ยาก” รับสั่งดุ แต่เธอไม่กลัวเลยสักนิดเดียว กลับกันเธอก้มหน้าลงคิดแผนการอย่างเงียบๆ

“เมียเจ้าคิดเล่นโลดโผนถึงเพียงนั้นเชียวรึ” เจ้าเมืองกิตติถาม

“น้อยไปสิขอรับท่านอา” ราชันหนุ่มแสร้งถอนพระปัสสาสะ “นางเป็นถึงครูของทหารภูตและยังเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารเสือ เป็นเอตทัคคะในทุกด้าน นางออกปฏิบัติการครั้งเดียวชื่อกลับเสียงดุดันพอๆ กับข้าด้วยซ้ำ”

“ที่เจ็บตัวมาก็เป็นเพราะปฏิบัติหน้าที่สินะ” เจ้าเมืองกิตติทั้ง ชื่นชมและครั่นคร้าม ก่อนจะหันไปพูดกับบุตรสาว “ศรีศุภางค์เอ๋ย เจ้าสู้นางไม่ได้เลยแม้แต่ทางเดียว”

“ศรีศุภางค์น่ะงดงามเพียบพร้อมเป็นกุลสตรี ผู้ชายที่ไหนก็อยากจะรับไปครองเรือน ไม่เหมือนคนกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกอย่างฉันหรอก จะมีสามีทั้งทีคงต้องใช้วิชาอาคมร่ายมนตร์ให้รักให้หลง”

โสมแก้หน้าให้แม่หญิงศรีศุภางค์อย่างเต็มอกเต็มใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองพระสวามีด้วยนัยน์ตาแพรวพราว “นี่ท่านโดนไปกี่คาถาแล้วนะ ฉันจะลองถอนคาถาดูสักที”

“ถอนไม่ทันหรอก ข้าน่ะไร้ทางช่วยแล้วล่ะ” รับสั่งด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์อ่อนหวานก่อนจะรู้สึกพระเนตรพร่าและพระสติลอยวูบวาบไปชั่วครู่ รู้สึกองค์อีกทีโสมก็ไม่ได้อยู่ในอ้อมพระพาหาเสียแล้ว ทรงตกตื่นยิ่งนักจนต้องผุดลุกขึ้น

“นั่งลงเถอะไพรสัณฑ์เอ๋ย” เจ้าเมืองกิตติจุ๊ปากชอบอกชอบใจ “เมียของเจ้าฝากบอกว่านางขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมาร่วมสนุกเสียหน่อย”

“นางไปเมื่อไหร่น่ะท่านอา”

“พอนางร่ายมนตร์ใส่เจ้าจนจบก็หันมาฝากความกับข้า ใช้วิชาย่อจักรวาลไปได้สักพักแล้วล่ะ จุ๊ๆ ไพรสัณฑ์เอ๋ย… ข้าเวทนาเจ้านัก เจ้าน่ะแต่งกับนางก็ถือว่าเจอคู่มือที่ร้ายพอกันแล้ว”

ราชันไพรสัณฑ์ประทับนั่งลงตามเดิมพลางนึกคาดโทษโสม พระองค์ประมาทนางมากเกินไปที่พูดถึงเรื่องความเป็นเอตทัคคะขึ้น มาเรื่องนี้คงไปสะกิดความทรงจำและความอยากรู้อยากเห็นของนางเข้าจึงได้หยิบพระองค์เป็นหนูทดลองความเป็นเอตทัคคะด้านคาถาอาคมแล้วนางก็ทำสำเร็จเสียด้วย พระองค์เริ่มหนักพระทัยเสียแล้วว่าในเมื่อความ

ทรงจำของนางค่อยๆ กลับคืนมาเร็วถึงเพียงนี้หากไม่ทรงรีบรวบหัวรวบหางจะช้าการ แต่ครั้นจะปลุกปล้ำนางก็เวทนาสงสารนัก นางบอบบางและอ่อนแอถึงเพียงนั้น จะทรงหักพระทัยทำไปได้อย่างไร

ทหารภูตทั้งสองหน่วยช่วยกันร่ายมนตร์คุ้มกันให้แก่ราชันและแขกบ้านแขกเมืองก่อนที่จะแบ่งฝั่งแบ่งฝ่ายประจันหน้ากัน กลองศึกดังฮึกเหิมคลอเสียงโห่ร้องของเหล่าทหารภูต บ้างก็ชักดาบไม้ขึ้นมา บ้างก็หยิบ

ของขลัง โดยมีผู้ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นหัวหน้าผูกผ้าแดงที่ข้อมือเป็นสัญลักษณ์และอยู่ในการคุ้มกันอย่างแน่นหนา สิ้น เสียงกลอง การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น ต่างฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันแล้วจับคู่ต่อกรกันอุตลุด ดาบต่อดาบ ต่างฟาดฟันเข้าใส่กันอย่างไม่ออมมือ กลโกงในการศึกถูกหยิบออกมาใช้อย่างเต็มที่ วิชาอาคมกระหน่ำใส่กันอย่างไม่ไว้หน้า ทั้ง วิชาปลุกและวิชาเสกเหมือนสายลมต่างถิ่นหลายสายม้วนตัวโรมรันกันอย่างไม่มีการยอมกัน

ราชันไพรสัณฑ์ร้อนพระทัยถึงโสมแต่ไม่แสดงออกให้ใครเห็น เจ้าเมืองกิตตินั้น มองสงครามย่อมๆ ตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ จะมีก็แต่แม่หญิงศรีศุภางค์ที่หลับตาข้างเปิดตาข้างมองด้วยความหวาดเสียวเหมือนเด็กที่ขลาดกลัวแต่ก็อยากรู้อยากเห็น พระองค์นึกสะกิดพระทัยเล็กน้อยว่าอย่าได้ให้นางได้ใกล้ชิดกับโสมเป็นอันขาด มิเช่นนั้น นางอาจ

ถูกโสมชักพาไปเล่นทโมนจนเสียคนและทำให้พระองค์ปวดพระเศียรเพิ่มขึ้น

เสียงฟ้าคำรณดังขึ้น หยุดสงครามได้อย่างชะงัดก่อนที่หลุมมืดหลุมใหญ่จะปรากฏที่หน้าลาน เสือสมิงตัวสูงใหญ่เกือบเท่าตัวคนกว่ายี่สิบตัวพากันกระโจนออกมาแล้วคำรามลั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ลายพาดกลอนเด่นชัดฉูดฉาดเหมือนจะเรืองแสงได้ ท่าทางดุร้ายพร้อมจู่โจมของพวกมันทำให้ทุกคนขวัญกระเจิง เขี้ยวใหญ่ยาวโง้งคมกริบ พวก

มันส่งเสียงคำรามกันไม่หยุดจนกระทั่งร่างสูงโปร่งในชุดทหารภูตที่แบกห่อผ้าห่อใหญ่ก้าวออกมาจากหลุมมืดแล้วมนตร์ย่อจักรวาลก็ถูกถอนคืน

“เรื่องสนุกแบบนี้จะขาดฉันไปได้อย่างไรล่ะ”

“ครู!”

เหล่าทหารภูตร้องออกมาเสียงดังโดยพร้อมเพรียงกันฟังดูรันทดท้อนัก

ราชันไพรสัณฑ์คลึงพระกรรเจียกสองสามครั้งก่อนจะพบกับแววตาตกตะลึงแฝงคำถามของเจ้าเมืองกิตติซึ่งกำลังโอบไหล่ปลอบขวัญบุตรสาวผู้กำลังตกใจกลัวอยู่ พระองค์ถอนพระปัสสาสะเฮือกยาวขณะเหลือบทอดพระเนตรทหารจากเมืองเกษมศานต์ที่พากันแห่เข้ามาในเขตปลอดภัยหน้าตาตื่น ทรงส่ายพระเศียรกึ่งระอากึ่งขบขันก่อนจะหันไปพยัก

พระพักตร์ตอบเจ้าเมืองกิตติเพราะรับสั่งไม่ออก

“นั่นนางรึ! เมียของเจ้าแน่รึ! ยายหนูที่บอกว่าเพิ่งรอดตายมาหยกๆ แล้วเจ้าก็ดูแลราวกับเป็นแก้วบางๆ นั่นน่ะรึ!” เจ้าเมืองกิตติถามซ้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ราชันหนุ่มทรงพระสรวลแห้งๆ เป็นคำตอบก่อนจะหันไปให้ความสนใจความวุ่นวายตรงหน้าเพราะแม่เมียรักเมียขวัญเริ่มจะออกลายจนทำให้คนอื่นเขาปั่นป่วนไปหมด

“เฮอะ! ทหารฝ่ายเหนือฝ่ายใต้เรอะ! พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายน่ะต่างก็เชื้อชาติเดียวกันมัวแต่สู้กันเองอยู่ได้ ข้าพาศัตรูมาเยียบถึงมาตุภูมิของพวกเจ้าแล้ว สู้กันต่อเถอะอย่าได้เกรงใจ เมื่อฝ่ายไหนชนะ ข้าจะเข้าไปสังหารล่ะนะ แล้วก็จะยึดเมืองของพวกเจ้าทั้งสองฝ่ายด้วย”

“โธ่… ครู” เหล่าทหารภูตครางในลำคอพลางมองหน้ากัน หากพวกเขาสู้กันต่อมิเท่ากับต้องรับศึกสองด้านหรือ แต่ใครจะไปกล้าต่อกรกับพระนางเล่า ในเมื่อนอกจากพระนางจะเป็นครูของพวกเขาแล้วยังเป็นถึงพระมเหสีในราชันไพรสัณฑ์อีกด้วย แต่ดูเหมือนความคิดของพวกเขาจะส่งไปถึงราชันไพรสัณฑ์เพราะพระองค์รับสั่งขึ้น ทันที

“นางอยากเล่นสนุก พวกเจ้าก็เล่นกับนางหน่อยเถอะ นั่นครูของพวกเจ้านี่นะ”

“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ” พวกเขาแอบแตะมือกันด้วยความยินดี

“สู้กันต่อเลย ฆ่ากันต่อ เอาให้บาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่ายนะฉันรอได้” โสมพูดยั่วอย่างสนุกสนาน

“ครูมาสู้กับพวกกระผมดีกว่า ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้น่ะถึงอย่างไรก็ยังเป็นเชื้อชาติเดียวกัน ในเมื่อมีศัตรูอื่นมารุกรานถึงหน้าประตูบ้านก็ต้องเลิกฆ่ากันเองเพื่อรับมือกับศึกนอกก่อนล่ะ”

“พูดได้ดี!”

ราชันไพรสัณฑ์ถึงกับชะงักงันแล้วเบิกพระเนตรจ้องโสมที่กำลังหัวเราะด้วยความตกตะลึง นี่นางกำลังเล่นละครฉากใหญ่ให้พระองค์ทอดพระเนตรใช่หรือไม่ นางจำแลงตัวเองเป็นข้าศึกชั่วช้าที่เฝ้ารอให้คนเชื้อชาติเดียวกันเองฆ่ากันตายเสียก่อนจนเหลือแต่ผู้บาดเจ็บกับผู้อ่อนแอ แล้วนางจะบุกเข้ายึดเมืองของทั้งสองฝ่ายโดยง่ายแบบหยิบชิ้น ปลามัน

เพราะฉะนั้น จึงมีแต่ต้องร่วมมือกันรับศึกนอกก่อนจึงค่อยคิดถึงศึกใน

“ในเมื่อพวกเจ้าไม่กลัวตาย ก็เตรียมรับมือกับกองกำลังทหารเสือของฉันได้เลย!” โสมประกาศก้องราวกับปีศาจกระหายเลือด ทั้งนี้หญิงสาวคำนึงถึงความสมบทบาทเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ความสนุก… จริงๆ นะ

“พวกเราไม่กลัวอยู่แล้ว!” เหล้าทหารภูตร้องตอบด้วยความฮึกเหิมและสนุกสนาน ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้จึงรวมเป็นหนึ่งช่วยกันต่อต้านศัตรู

ใครมีอะไรดีในตัวต่างก็หยิบจับออกมาอย่างพรักพร้อม

“ได้ยินแล้วใช่ไหมเด็กๆ” หญิงสาวหันไปพูดกับทหารเสือของตนที่อ้าปากคำรามเสียงดังตอบรับก่อนที่เธอจะทำให้สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือ ทิ้งตัวลงนั่งยองๆ รื้อเอามะเขือเทศและผ้าโพกผืนยาวออกมาคาดหน้าผากให้กับเสือสมิงทุกตัวที่ต่างก็เข้าแถวเรียงกันมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

“โสม… เจ้าไปหาของพวกนั้น มาจากไหน” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงสั่นๆ

“ตอนฉันรีบไปเปลี่ยนเสื้อ ผ้าก็เจอทหารภูตนายหนึ่งเข้าพอดี ฉันเลยให้เขาไปเอามาให้บ้างแล้วก็ไปตามพรรคพวกเสือสมิงมาเล่นด้วย” เธอตอบขณะผูกมะเขือเทศบนหน้าผากโตๆ ของเสือสมิงตัวสุดท้าย

การได้เห็นเสือสมิงตัวใหญ่ตัวโตน่าเกรงขามมีมะเขือเทศผูกอยู่บนหน้าผากนั้น เป็นบ่อนทำลายความสามารถในการควบคุมตัวของคนยิ่งนัก ยิ่งเมื่อได้เห็นหัวหน้ากองกำลังทหารเสือจัดการผูกมะเขือเทศบนหน้าผากของตัวเองบ้างแล้วชูดาบหราท่าทางองอาจสั่งการให้สมัครพรรคพวกเข้าแถวจัดกระบวนทัพกันอย่างเป็นระเบียบก็แทบไม่ต้องพูดถึง ทุกคนต่างแผดเสียงหัวเราะกันดังสนั่น ไม่เว้นแม้แต่แม่หญิงศรีศุภางค์ที่ตอนแรกทำท่าขลาดกลัวหนักหนา

“กระบวนทัพพร้อม!” โสมแกว่งดาบไกวแล้วชี้ไปทัพเบื้องหน้า

“เล่นสนุกกับพวกไม่เจียมตัวกันสักนิด ตะปบมะเขือเทศบนหน้าผากนั่นให้หมด เอาแค่เบาะๆ พอน่ารักน่าเอ็นดูนะจ๊ะเด็กๆ”

ทหารเสือคำรามดังลั่นแต่ไร้จิตสังหาร ทั้งสองฝ่ายต่างคำรามใส่กันก่อนจะโผนเข้าโรมรันกันอย่างดุเดือดและสนุกสนานยิ่งโดยสัดส่วนหนึ่งต่อสามคือสมิงหนึ่งตัวต่อมนุษย์สามคน ทั้ง ดาบไม้ ทั้งอาคมรบพุ่งใส่กันอย่างไม่ยินยอม

ทหารภูตส่วนหนึ่งถูกสมิงตะปบมะเขือเทศบนหน้าผากต้องออกจากสนามไป สมิงบางส่วนก็ถูกรุมจนเสียท่าต้องออกไปนอนหวดลมเล่นอยู่นอกสนามเช่นเดียวกัน

ราชันไพรสัณฑ์ เจ้าเมืองกิตติและแม่หญิงศรีศุภางค์สนุกสนานเป็นการใหญ่เพราะการต่อสู้ที่ดูจะน่าหวาดกลัวในคราแรกกลับเปลี่ยนเป็นการละเล่นที่สนุกสนานแทน แม่หญิงคนงามถึงขั้นลืมตัวส่งเสียงให้กำลังใจผู้เป็นแม่ทัพฝ่ายทหารเสือซึ่งยังไม่เพลี่ยงพล้ำง่ายๆ แม้ว่าจะถูกรุมด้วยจำนวนคนที่เยอะกว่าเพราะเจ้าตัวสู้โดยไม่คำนึงวิธีการทำให้ผู้รุมล้อมทั้ง ห้าระส่ำระสาย ต้องทนรับมือกับความเจ้าเล่ห์เพทุบาย ความขี้เล่นและฝีมืออันเป็นเอตทัคคะอย่างทุลักทุเล

เวลาผ่านไปเสือสมิงหลายตัวต้องออกไปนอนเขลงอยู่วงนอก ในขณะที่ทหารภูตอีกหลายนายก็ต้องออกไปยืนส่งเสียงให้กำลังใจอยู่วงนอกเช่นกัน ตอนนี้เหลือเพียงโสมและทหารภูตห้านายเท่านั้น

“เขาออกไปกันหมดแล้วนะ” โสมพูดเบี่ยงความสนใจ

“ครูก็รีบยอมแพ้สิขอรับ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยล้อพร้อมกับส่งพายุลูกหนึ่งไปหาแต่ถูกอีกฝ่ายปัดออกมาอย่างง่ายดายจนเกือบกระโดดหลบกันไม่ทัน

“ชิชะ! อย่าได้หวัง ฉันจะจัดการพวกนายเสียพร้อมกันทีเดียวนั่นล่ะ” โสมบอกพลางแสร้งหัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วช้าก่อนจะเรียกลมเรียกฝนให้ตกเฉพาะบนหัวของทหารทั้งห้า สายฝนกระหน่ำแรงบนหัวพร้อมสายฟ้าแปลบปลาบทำให้ทหารทั้ง ห้าต้องก้มหัวหลบกันจ้าละหวั่น ไม่คาดคิดว่าเพียงเสียสมาธิไปวูบเดียวก็ถูกสายลมอันคมกริบเหมือนมีดที่มองไม่เห็นผ่ามะเขือเทศบนหน้าผากออกเป็นสองซีกพร้อมกันทีเดียวห้าคน

“ครูขี้โกง!” ทหารทั้ง ห้ากล้าพอที่จะประท้วง แต่คนที่กำชัยชนะเอาไว้ในมือไม่ยี่หระ

“ในสงครามไม่มีคำว่ายุติธรรมหร๊อก พวกนายเสียสมาธิเปิดโอกาสให้ฉันเองนี่นา” หญิงสาวหัวเราะฮ่าก่อนเรียกลมเรียกฝนกลับมา

“ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นเชลย! เมืองของพวกนายเป็นของฉันแล้ว!”

“ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจรไม่ใช่หรือขอรับครู”

“ฉันมาตีเมืองนะ ชนะเป็นเจ้า แพ้ก็ต้องเป็นเชลยนั่นแหละถูกแล้ว

พวกนายน่ะเป็นเชลยศึก ต้องฟังคำสั่งฉัน”

“คงไม่ใช่” พระสุรเสียงแบบนี้โสมจำได้ไม่มีวันลืม หญิงสาวเอะใจร้องว่าผิดท่าแต่หนีไม่ทันเพราะเจ้าของพระวรกายสูงใหญ่กำยำรวบเอวบางเอาไว้มั่นแล้วเอื้อมพระหัตถ์มาบีบมะเขือเทศบนของหน้าผากของเธอเสียเละ ราชันหนุ่มหัวเราะเมื่อชะโงกมาดูเห็นน้ำมะเขือเทศเปื้อนอยู่เต็มหน้ากากก่อนจะทรงหันร่างเธอมาประจันหน้าเพื่อหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดให้

“ไม่ยุติธรรมเลย! ท่านน่ะไม่ได้ร่วมสงครามด้วยสักนิด อยู่ๆ จะมาชุบมือเปิบได้อย่างไรกัน!” โสมโวยวายท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน

“ในสงครามไม่มีคำว่ายุติธรรมหรอก เจ้าพลาดให้ข้าที่นั่งรอผลประโยชน์อยู่เงียบๆ มาหยิบฉวยเอาได้เองนี่นา” รับสั่งย้อนทำให้เสียงหัวเราะจากรอบด้านดังขึ้นอีกหลายเท่าตัว

“เอาล่ะ! ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นเชลยใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะทำอย่างไรกับเชลยอย่างเจ้าดี

นอกจากความผิดฐานร่ายมนตร์ใส่ข้า ทำการโดยพละการ ไม่ถนอมตัวเอง เล่นสนุกเกินงาม เหยียบยํ่าความเป็นห่วงของข้า แล้วยังมีโทษอะไรอีกเจ้าช่วยคิดทีสิ”

“โทษฐานรักท่านมากเกินไปไงล่ะ นี่ความผิดสถานหนักที่สุดเลยนะ” หญิงสาวพยายามออดอ้อนออเซาะ แค่คิดถึงโทษจากความผิดทั้ง หลายแหล่ที่พระองค์หยิบยกขึ้นมาขนก็ลุกชันไปทั้งตัวแล้ว

“ข้าไม่เชื่อลมปากของเจ้าหรอก” รับสั่งเหมือนคนแสนงอนเสียงั้น

“แต่คืนนี้ข้าจะละเว้นโทษหนักให้เจ้าสักครา”

“ในโลกนี้ไม่มีราชันพระองค์ไหนจะพระทัยดีและน่ารักเท่านี้แล้วนะเนี่ย”

“อย่าเพิ่งดีใจไป โทษหนักได้ละเว้น โทษเบาไม่อาจละได้” ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวงหึๆ ผายพระหัตถ์ไปด้านข้างเพื่อให้นางเห็นว่ามีทหารภูตจำนวนหนึ่งยืนถือถังน้ำาอุ่นที่ยังมีควันกรุ่นขึ้นมาเล็กน้อยอยู่หลายนาย

“แค่กๆ ฉันป่วย แหม… ตอนนี้รู้สึกหนาวๆ ยังไงไม่รู้สิ” โสมพยายามหาทางรอด เจ้าพวกลูกศิษย์คิดล้างครูพวกนั้น ยังคงถือถังน้ำอุ่นเตรียมพร้อมกันอย่างกระตือรือร้นจนน่าหมั่นไส้นัก

“ถ้าเจ้าป่วยมากจริงๆ คงลุกขึ้น มาเล่นโลดโผนแบบนี้ไม่ได้” ทรงถอยออกห่างไกลจากนางเพียงการเคลื่อนไหวแค่สามครั้ง ทรงไม่รอให้นางไหวตัวทันจึงรีบยกพระหัตถ์ให้สัญญาณแก่ทหารภูตทุกนายที่รอท่าอยู่ด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ “จัดการเสีย!”

“พระเจ้าค่ะ!”

ด้วยเหตุฉะนี้โสมจึงต้องถูกน้ำาอุ่นหลายถังสาดร่างในคืนนั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคนในลาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!