ตอนที่ ๓๙
ผู้ชายพายเรือ ผู้หญิงยิงเรือ
โสมเดินดูข้าวของในย่านร้านขายเครื่องเงินด้วยความเพลิดเพลิน
เมื่อราตรีที่ผ่านมาเธอถูกราชันไพรสัณฑ์และพรรคพวกทหารภูตรุมกลั่นแกล้ง เช้านี้เธอจึงตั้งอกตั้งใจงอนราชันพระองค์นั้นจนทรงท้อพระทัย เธอเอ่ยปากยื่นข้อเสนอว่าหากยินยอมให้เธอออกมาเที่ยวข้างนอกวังเธอจะทำเป็นลืมเรื่องเมื่อราตรีไปเสีย ราชันทรงครุ่นคิดอยู่นานกว่าจะพยักพระพักตร์อนุญาตโดยแลกกับการที่เธอจะต้องมีผู้ติดตามห่างๆ
โสมเหลือบมองข้ามไหล่ไปข้างหลัง เห็นว่ามีชายฉกรรจ์สองคนในชุดแบบชาวบ้านคอยเดินตามอารักขาเธออย่างเงียบๆ และเมื่อมองไปข้างหน้าก็ยังมีชายฉกรรจ์อีกสี่ห้าคนพากันเดินแฝงตัวกลมกลืนไปกลับฝูงชน ทั้ง หมดนี้ล้วนแต่เป็นบรรดาผู้ติดตามซึ่งประกอบไปด้วยผู้ติดตามของเธอส่วนหนึ่งและผู้ติดตามของผู้ร่วมเดินทางของเธอส่วนหนึ่ง
หญิงสาวก้มลงยิ้ม ให้แม่หญิงศรีศุภางค์ที่หยิบจับปิ่นเงินรูปดอกจำปามาอวดแล้วถามแจ้วๆ ว่าเหมาะกับนางหรือไม่ เธอเสนอตัวลองปักปิ่นอันนั้น บนมวยผมของนางแล้วทอดมองด้วยแววตายิ้ม ได้ก่อนจะควักเงินจ่ายให้โดยไม่พูดอะไร
แม่ค้าคนสวยยิ้ม หวานบาดจิตบาดใจยามรับเงินจากมือของเธอ ครั้นเธอยิ้มใส่ตาให้ก็อายจนหน้าแดง
“พระมเหสีทำแบบนั้น จะดีหรือเพคะ” แม่หญิงศรีศุภางค์เอ่ยถาม เมื่อพากันเดินออกจากร้านนั้น แล้ว
“ระวังด้วย เรียกฉันว่าท่านพี่สิ” โสมเตือนเบาๆ ก่อนจะเหลือบเห็นรอยยิ้ม ของสตรีอีกสองสามคนที่ทอดไมตรีมาให้ เธอจึงยิ้มตอบให้พวกนางได้กระชุ่มกระชวยใจเล่น “นี่เธอกำลังเตือนฉันเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่พระ… เอ้อ… ท่านพี่แต่งตัวแบบนี้แล้ว… เอ่อ… ทำเจ้าชู้” แม่หญิงศรีศุภางค์พูดตะกุกตะกักด้วยความเกรงใจและไม่แน่ใจว่าสมควรพูดหรือไม่
“ฉันแต่งอย่างนี้ก็เพราะฉันเป็นคนไปดึงตัวเธอมาเที่ยวด้วยก็ต้องเป็นคนดูแลเธอ หากฉันแต่งตัวเป็นผู้หญิงมาเดินกับเธอแค่สองคนมันก็จะดูไม่ดีใช่ไหมล่ะ เสี่ยงที่จะถูกลวนลามแล้วยังทำให้เสียชื่อเสียงอีกเพราะผู้หญิงเขาไม่ออกจากเรือนโดยไม่มีผู้ติดตามหรอก”
“แต่เราให้ผู้ติดตามมาเดินอารักขาใกล้ๆ ก็ได้นะเจ้าคะ” แม่หญิงคนงามท้วงอุบอิบเพราะเดิมทีก็ไม่ใช่คนที่มีปากมีเสียงอยู่แล้ว
“แบบนั้น มันก็ไม่สนุกสิ” หญิงสาวบอกแล้วรวบไหล่ของนางเข้าหาเพื่อปกป้องไม่ให้โดนใครชนล้ม “แล้วเธอว่าฉันแต่งตัวแบบนี้งามไหม”
แม่หญิงศรีศุภางค์เหลือบมองคนข้างกายอย่างระมัดระวัง พระมเหสีโสมมีพระพักตร์ที่ผสมผสานระหว่างความอ่อนหวานและความเข้มแข็ง พระวรองค์สูงเพรียว บุคลิกผ่าเผยสง่างาม ดังนั้น เมื่อพระนางร่ายอาคมจำแลงเป็นบุรุษแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่างดงามนัก โดยเฉพาะพระเนตรสีไพลินที่เปล่งประกายระยับเหมือนรวมดวงดาวเอาไว้ด้วยกันและ
รอยยิ้ม อ่อนหวานนั้น ไม่ว่าสตรีนางใดได้มองก็ต้องจิตใจอ่อนระทวย ขนาดนางเองหากเผลอจ้องมองนานไปก็ไขว้เขวเช่นกัน
“ว่าอย่างไรล่ะ ฉันงามไหม” โสมสะกิดถามเมื่อเห็นว่าแม่หญิงคนงามเอาแต่จ้อง แล้วก็ต้องยิ้มขำเมื่อเห็นนางสะดุ้งแล้วหลบหน้าหลบตาด้วยความเขินอาย
“งามสิเจ้าคะ งามราวกับเทพบุตรเลยทีเดียว” เสียงตอบกลับไม่ได้มาจากคนถูกถาม แต่เป็นแม่ค้าคนงามจากร้านขายเครื่องเงินข้างๆ
โสมหันไปมองเห็นหูตาแพรวพราวของอีกฝ่ายแล้วก็ยิ้มขำอดที่จะหว่านเสน่ห์ให้ไม่ได้
“ปากหวานแบบนี้ฉันก็เขินแย่สิจ๊ะ แล้วใครจะรับผิดชอบล่ะ”
“อิฉันรับผิดชอบเองก็ได้เจ้าค่ะ” แม่ค้าเครื่องเงินขยิบตาให้ แล้วเดินปรี่ออกมาเชื้อเชิญ “ไปดื่มน้ำข้างในก่อนหรือไม่เจ้าคะ อิฉันรองน้ำฝนเอาไว้เต็มโอ่งทีเดียว เย็นชื่นใจเลยนะเจ้าคะ เอ่อ… เชิญน้องสาวด้วยก็ได้นะ”
“ไปกันเถอะท่านพี่” แม่หญิงศรีศุภางค์คว้าแขนของโสมแล้วรบเร้าอย่างร้อนใจเพราะเกรงว่าเรื่องราวจะบานปลายเป็นการใหญ่
“เสียดายที่วันนี้คงรับน้ำใจของแม่หญิงไม่ได้เสียแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าฉันจะหาทางมาดื่มน้ำที่นี่นะจ๊ะ” โสมหันไปตอบ โปรยเสน่ห์อย่างเต็มที่ “หวังว่าครั้งหน้าเมื่อฉันมาที่นี่ แม่หญิงจะจดจำฉันได้ ไม่อย่างนั้นฉันคงใจสลายแน่”
“โถ… อิฉันไม่มีวันลืมแน่เจ้าค่ะ…”
ประโยคต่อไปคืออะไรโสมไม่มีวันได้รู้เพราะถูกแม่หญิงศรีศุภางค์ฉุดลากออกมาเสียก่อน โสมหัวเราะให้กับใบหน้าแดงก่ำด้วยทั้ง โกรธและทั้งเขินอายของนางจึงถูกนางค้อนจนตาเขียว แต่ถึงอย่างไรในสายตาของเธอก็มองว่าน่ารักมากกว่าน่าเกรง จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงส่วนที่เป็นของกินจึงค่อยมีการพูดจากัน
“แม่ผู้หญิงคนนั้นกระไรนัก เป็นผู้หญิงยิงเรือแท้ๆ” แม่หญิงศรีศุภางค์บ่นด้วยใบหน้างอง้ำ “ท่านพี่ก็เหมือนกัน ทำราวกับผู้ชายพายเรือน้องจะเอากลับไปฟ้อง…”
“อาจถึงตายนะนั่น” โสมโบกมือห้ามหน้าตาตื่นก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบ “อีตาคนนั้น ยิ่งเดาใจยากอยู่ หากคิดจะลงโทษฉันขึ้น มามีหวังฉันต้องคอยหวาดระแวงว่าจะโดนตอนไหนเพราะเขาชอบหลอกให้ตายใจก่อนเสมอเลย”
“ท่านพี่ก็อย่าทำเจ้าชู้อีกสิเจ้าคะ” แม่หญิงคนงามยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย
“ก็ผู้หญิงเขาทอดสะพานให้นี่นา” หญิงสาวแก้ตัวพลางโอบให้อีกฝ่ายเดินชมของกินด้วยกัน เมื่อเห็นว่าปากจิ้ม ลิ้มกำลังจะอ้าขึ้นแย้งก็รีบเบี่ยงเบนความสนใจ “ขนมนั่นน่ากินดีนะ เข้าไปเลือกให้ฉันหน่อยสิ”
แม่หญิงศรีศุภางค์ถูกต้อนไปยังหน้าร้านขนมเรไร กลิ่นหอมหวานและความสดใหม่ของขนมยั่วน้ำลายนัก โสมเห็นว่าแม่หญิงคนงามชอบใจนักหนาจึงซื้อให้นางกระทงใหญ่ พอได้ขนมถูกใจนางก็ไม่พูดมากอีกต่อไปทำให้หญิงสาวสบายใจนัก ครั้นผ่านไปยังร้านขายน้ำตาลสดจึงซื้อมาให้นางดื่มล้างปากได้รอยยิ้มสดใสกลับมาเป็นรางวัล
“ท่านพี่ก็กินบ้างสิเจ้าคะ ให้น้องกินคนเดียวคงกินไม่หมด” แม่หญิงศรีศุภางค์หยิบขนมเรไรขึ้นมาป้อน
โสมยิ้มให้อย่างขอบใจก่อนก้มลงไปกิน
ความหอมหวานในลิ้น ทำให้บางอย่างที่พร่าเรือนในอดีตเริ่มสั่นไหวอยู่ตรงหน้า โสมเห็นว่าในมือของตนมีกระทงขนมเรไรอยู่และกำลังอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าเลือนลาง เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงด้วยความขัดเขินและรับรู้ว่าชายคนนั้น กำลังมองเธอด้วยแววตาที่ทำให้หัวใจหลอมละลาย
ใครกัน? ต้องเป็นราชันไพรสัณฑ์อยู่แล้วสินะ… ใช่หรือเปล่า?
“ท่านพี่!”
เสียงของแม่หญิงศรีศุภางค์ทำให้ภาพอันเลือนลางตรงหน้าหายวับไป โสมสะดุ้งตกใจพร้อมกับรู้สึกสะบัดร้อนสะบัดหนาวตามด้วยอาการวิงเวียนศีรษะและดวงตาพร่าลาย เธอสะบัดหัวแรงๆ สองทีเพื่อเรียกคืนสติจนกระทั่งดวงตาทั้งสองเริ่มแจ่มชัด ถึงได้เห็นสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายของแม่หญิงคนงามลอยอยู่ตรงหน้าจึงรีบเหลือบไปส่งสายตาห้ามปรามไม่ให้พวกที่ยืนรีรออารักขาอยู่โดยรอบเข้ามาใกล้
“ท่านพี่เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร แค่เหม่อคิดอะไรนิดหน่อย” โสมลูบศีรษะของนางเบาๆ อย่างปลอบประโลมจนนางใจเย็นลง “ไปที่อื่นกันต่อเถอะ”
โสมดุนหลังให้แม่หญิงศรีศุภางค์เดินชมตลาดต่อโดยที่พยายามทำตัวให้เป็นปกติทั้ง ที่จิตใจกำลังว้าวุ่นสับสนถึงภาพอันเลือนรางเมื่อครู่
หญิงสาวคิดว่าผู้ชายคนนั้น น่าจะเป็นราชันไพรสัณฑ์เพราะความรู้สึกในตอนนั้น คือความอ่อนหวานและความอ่อนไหวอย่างที่ผู้หญิงจะมีให้ต่อชายที่พึงใจ แต่บางสิ่งในซอกลึกกลับร้องบอกเธอว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่จริง!
ราชันไพรสัณฑ์มองออกไปนอกพระแกลด้วยความเป็นกังวลถึงคนที่บัดนี้น่าจะกำลังเริงร่าอยู่ข้างนอก เมื่อเช้าโสมเย็นชากับพระองค์มาก ดวงตาและสีหน้าราบเรียบราวกับแผ่นกระจก ไม่ว่าจะทรงง้องอนอย่างไรก็ไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากริมฝีปากของนางแม้แต่ครึ่งคำ ดังนั้น เมื่อนางยื่นคำขอว่าจะไปเที่ยวข้างนอกแล้วสามารถตกลงกันเรื่องผู้ติดตามได้พระองค์จึงจำต้องปล่อยให้นางออกไปทั้ง ที่ทรงกลัวว่านางจะไปพบกับคนที่ไม่สมควรพบ
“คิดถึงเมียอยู่สินะ” เสียงของเจ้าเมืองกิตติเรียกให้ราชันหนุ่มรู้สึกองค์
“ท่านอามีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยหรือขอรับ” รับสั่งเข้าเรื่องเพื่อที่จะไม่ขายพระพักตร์ว่าห่างโสมเพียงไม่ถึงวันก็เอาแต่เฝ้าคะนึงหาเสียแล้ว
“เรื่องของศรีศุภางค์น่ะ” เจ้าเมืองเกษมศานต์ยกน้ำขึ้นดื่มเช่นกัน เพราะเรื่องที่จะพูดทำให้รู้สึกกระดากใจ “ลูกสาวของข้าเจ็บป่วยประหลาด ข้าลองรักษาด้วยสมุนไพรก็แล้ว ด้วยพิธีกรรมอาคมก็แล้ว แต่เมื่อ… อ่า… เมื่อนางมีระดูคราใด นางจะปวดท้องจนสลบไปทุกครั้ง”
ราชันไพรสัณฑ์ถึงกับพ่นน้ำที่กำลังดื่มออกมาแล้วทรงพระกรรสะเป็นนานกว่าจะรวบรวมพระสติเรียกคืนความสุขุมกลับมาได้
“______________ในตอนนีไม่มียาตัวใดสามารถช่วยนางได้ ผู้ที่มีอาคมแกร่งกล้าที่สุดของเมืองก็ไม่สามารถช่วยนางได้เช่นกัน ข้าจึงต้องพานางมาหาเจ้าเผื่อว่าเจ้าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง” เจ้าเมืองกิตติกลั้นใจพูดให้จบ ถึงจะ
กระดากอย่างไรแต่ศรีศุภางค์ก็คือบุตรสาวที่ท่านรักและเอ็นดูมากที่สุด ท่านไม่มีวันปล่อยให้นางป่วยเช่นนี้ต่อไป
“หากอาการของนางเป็นเพราะความผิดปกติของร่างกาย ข้าก็ไม่แน่ใจว่าหมอที่นี่จะศึกษาอาการพวกนี้มาบ้างหรือไม่ แต่ถ้าเป็นเพราะนางต้องคำสาปข้าก็ไม่ทราบจะแก้ให้อย่างไร” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งอึกอักเล็กน้อยเพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีความจำเป็นต้องพูดเรื่องส่วนตัวของสตรีเช่นนี้ “นอกจากข้าแล้ว ท่านได้ปรึกษาใครมาก่อนหรือไม่”
“ปรึกษาเจ้าเมืองอคัมย์มาแล้ว แต่คนตอบเป็นบุตรชายของเขา”
เจ้าเมืองกิตติทำหน้าบึ้งตึง “เป็นความเห็นที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวเป็นที่สุด”
“แล้วเขาบอกว่าอย่างไรขอรับ” ราชันหนุ่มรับสั่งถามเบาๆ
บุตรชายของเจ้าเมืองอคัมย์มีอายุอ่อนกว่าพระองค์เพียงไม่กี่ปี มีชื่อว่า อุครา ทรงพบปะกับเขาเมื่อสี่ปี่ก่อนตอนเสด็จไปเยี่ยมเจ้าเมืองอคัมย์ที่อสุรนคร อุคราเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่สักยันต์ทั้งกายตามแบบของชายเมืองอสุรและพยายามท้าทายพระองค์ด้วยการจ้องมองหน้ากากภูต สุดท้ายก็ถูกหามไปรักษาตัวและไม่สามารถออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้จนกระทั่งพระองค์เสด็จกลับ หากเป็นความเห็นของคนผู้นั้นคาดว่าน่าจะเป็นความเห็นที่มุทะลุไม่ใช่น้อย
“เจ้าอุครามันบอกว่าให้ยกศรีศุภางค์ให้มันทำเมีย พอมีลูกแล้วจะหายเอง!” เจ้าเมืองเกษมศานต์ขึ้นเสียงด้วยแรงอารมณ์ก่อนจะตบเข่าฉาดด้วยความโมโห
อืม… มุทะลุเกินไปจริงๆ
“โดยส่วนตัวแล้วข้าคิดว่าอาการของนางน่าจะเกิดจากความผิดปกติของร่างกายมากกว่าการต้องคำสาป ข้าไม่แน่ใจว่าจะช่วยท่านได้หรือไม่ แต่ก็จะเรียกประชุมหมอหลวงให้ช่วยกันศึกษาอาการของนาง” รับสั่งแบ่งรับแบ่งสู้
“ถามเมียของเจ้าให้ด้วย ข้าคิดว่านางอาจจะรู้ว่าควรแก้ไขอย่างไร” เจ้าเมืองกิตติคิดถึงความฉลาดเฉลียวกับความเป็นเอตทัคคะของนางแล้วก็เกิดความหวัง “ข้าขอถามตามตรงเถอะไพรสัณฑ์ เจ้าพบนางได้อย่างไร สตรีที่เช่นนางไม่น่าจะหาได้ง่ายดาย”
“ต้องขอโทษด้วยขอรับท่านอา ตอนนี้ข้ายังเปิดเผยความเป็นมาของนางไม่ได้” พระองค์ปฏิเสธอย่างนอบน้อม แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้เจ้าเมืองเกษมศานต์ทราบแล้วว่าที่มาของนางย่อมไม่ธรรมดา
“ป่านนี้พวกนางจะเป็นอย่างไรกันบ้างก็ไม่รู้” ท่านเปลี่ยนเรื่อง “เมียของเจ้าจะพาศรีศุภางค์ไปเล่นซนอันใดหรือไม่”
“ข้าก็ไม่ทราบ แต่โดยนิสัยของนางแล้วข้าคงพูดไม่ได้เต็มปากว่านางจะไม่ชวนศรีศุภางค์ทำเรื่องสุ่มเสี่ยง” ราชันไพรสัณฑ์ดื่มพระสุธารสเพื่อนำความฉํ่าชื่นรดบนหัวใจที่เริ่มร้อนรุ่ม ความวิตกที่รุมเร้าทำให้ทรงสังหรณ์พระทัยว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่อีกใจก็ค้านว่านางเก่งกล้าพอจะดูแลตัวเองและศรีศุภางค์ได้ อีกทั้งยังมีขบวนผู้ติดตามที่พระองค์
ส่งไปทั้งหญิงชาย หากเกิดเรื่องขึ้น จริงนางจะต้องกลับมาถึงวังก่อนที่อันตรายจะได้ถึงตัวนางแน่
“ไพรสัณฑ์เอ๋ย” เจ้าเมืองกิตติส่ายหัวด้วยความเห็นใจ “เจ้าเลือกเมียได้น่าปวดหัวนัก ยายหนูนั่นเป็นตัวแสบแท้ๆ!”
โสมไม่ได้พาศรีศุภางค์ไปเสี่ยงอันตรายอย่างที่ใครนึกกังวล หญิงสาวจับจูงแม่หญิงคนงามเดินเรื่อยไปจนถึงคลองเล็กๆ แห่งหนึ่งด้วยความประสงค์จะข้ามฟากไปดูของแปลกตาของตลาดฝั่งตรงข้ามคลอง แต่จนใจที่ตนมองไม่เห็นสะพาน
แม่หญิงคนงามถึงกับหัวเราะเมื่อเธอบอกว่าหาสะพานไม่เจอก่อนที่นางจะชี้ไปยังแผ่นไม้กระดานริมคลอง
“สะพานอยู่นั่นไง ท่านพี่ไม่เคยเห็นสะพานแบบนี้หรอกหรือ” นางหัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นสีหน้าเหรอหราของเธอ “สะพานนี้เขาเรียกว่าสะพานชัก ถ้าจะใช้ข้ามฟากก็ต้องทอดสะพานไปฝั่งตรงข้าม พอข้ามเสร็จก็ต้องชักสะพานกลับมาอีกฝั่งหนึ่งจะได้ไม่ขัดขวางการสัญจรอย่างไรล่ะเจ้าคะ”
“แหม… อย่างนั้น หรอกหรือ” โสมหัวเราะแหะๆ แล้วหันไปมองสะพานชักอีกครั้ง หญิงสาวเห็นแม่หญิงคนหนึ่งกำลังชะเง้อชะแง้มองผู้ชายที่กำลังพายเรือมาจนกระทั่งเรือลำนั้นแล่นเข้าใกล้นางจึงค่อยทอดสะพานไป เรือของชายหนุ่มจำต้องหยุดลงแล้วแม่หญิงก็เดินขึ้นไปบนสะพานชักเพื่อเจรจาพาทีกับชายหนุ่มด้วยใบหน้าอุธัจขัดเขิน
“นั่นเขาเรียกผู้ชายพายเรือกับผู้หญิงยิงเรือ[1] ” ศรีศุภางค์กระซิบบอกเขินๆ
————————————
[1] ผู้ชายพายเรือผู้หญิงยิงเรือ สำนวนนี้เป็นการกล่าวถึง “ผู้ชาย” กับ “ผู้หญิง” เท่านั้น ส่วนคำว่า“พายเรือ” กับ “ยิงเรือ” นั้น เป็นคำสร้อย กล่าวคือแทนที่จะพูดว่า “พวกผู้ชาย ผู้หญิง” หรือ “พวกชายหนุ่มหญิงสาว” ก็พูดเล่นสำนวนให้ไพเราะเพราะพริ้งขึ้น ไป โดยอาศัยคำคล้องจองว่า ผู้ชายพายเรือผู้หญิงยิงเรือ อย่างไรก็ตาม คำว่า “พายเรือ” และ “ยิงเรือ” นี้ก็ช่วยขยายความให้คำว่า“ผู้ชาย” และ “ผู้หญิง” ได้ กล่าวคือ ในสมัยก่อนอาจมีหนุ่มๆ พายเรือเกี้ยวสาวที่กำลังอาบน้ำตาม
ท่าน้ำ ก็เรียกว่าพวกผู้ชายพายเรือ และหญิงสาวที่กำลังลงมาอาบน้ำ หรือลงมานั่งพักผ่อนตามท่าน้ำ ทำให้พวกหนุ่มๆ พายเรือแวะมาเกี้ยวพาราสีก็เปรียบเหมือนกับ “ยิงเรือ” ทำให้ชายต้องจอดเรือแวะมาหา
อ้างอิงจากบุญสิริ สุวรรณเพ็ชร์, อธิบายสำนวน สุภาษิต และคำพังเพย, พิมพ์ครั้งที่ 1
(กรุงเทพฯ : บริษัทสำนักพิมพ์ดวงกมล (พ.ศ.2520) จำกัด, พ.ศ. 2541), 209-210
กรณีนี้ผู้เขียนนำไปปรับเข้ากับวิถีชีวิตริมน้ำของชาวบ้านสมัยก่อนที่มีการใช้สะพานชักริมคลอง
นางถูกเลี้ยงมาอย่างกุลสตรีในห้องหับจึงไม่คุ้นชินกับการจีบกันของหนุ่มสาวแต่ก็พอจะทราบมาบ้างเพราะนางชอบซักถามถึงชีวิตของชาวบ้านจากนางรับใช้ ครั้นนางเห็นอีกฝ่ายอ้าปากค้างตาโตด้วยความประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นจึงอาสาให้ความรู้ “ก็อย่างที่ท่านพี่เห็นล่ะเจ้าค่ะว่าผู้ชายน่ะเขาจะพายเรือมา ทีนี้หากแม่หญิงคนไหนพึงใจชายใดก็จะทอดสะพานชักไปยังฝั่งตรงข้ามคลองเพื่อให้เรือลำนั้น หยุดเพื่อเจรจากัน การที่ผู้หญิงทอดสะพานแล้วทำให้เรือต้องหยุดนั้น เขาเรียกว่ายิงเรือเจ้าค่ะ”
“ก็เลยกลายเป็นสุภาษิตที่ว่าผู้ชายพายเรือผู้หญิงยิงเรือ กับผู้หญิงทอดสะพานใช่ไหม” โสมถามด้วยความอัศจรรย์ใจ ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งจะรู้นี่แหละว่าเรื่องราวเป็นเช่นนี้เองจึงเกิดสุภาษิตเหล่านั้น ได้ “เธอนี่มีความรู้รอบตัวเหมือนกันนะ”
“น้องอยู่แต่บนเรือนก็เหงาเลยชอบถามเรื่องของชาวบ้านจากนางรับใช้ก็เลยพอรู้มาบ้าง” แม่หญิงคนงามยืนบิดไปมาด้วยความขวยเขินที่ถูกชม
“ดูนั่นสิ เขาคงตกลงนัดเจอกันได้แล้ว ผู้ชายพายเรือไปหน้าบานแฉ่งเลย ผู้หญิงก็ข้ามสะพานไปฝั่งตรงข้ามและชักสะพานกลับมาแล้ว”
หญิงสาวสะกิดให้ดู “เราเองก็ไปทอดสะพานบ้างดีกว่านะ”
“ท่านพี่ล่ะก็… พูดจาสองแง่สองง่ามจริงๆ” แม่หญิงศรีศุภางค์บ่นพึมพำด้วยใบหน้าแดงจัดแล้วเดินไปตามแรงจูงของโสม
“เอ… ทอดสะพานนี่ผู้หญิงเขาทำได้เพศเดียวหรือเปล่า” หญิงสาวแกล้งตั้งข้อสงสัยโดยไม่ต้องการคำตอบให้แม่หญิงคนงามเขินเล่น
“แล้วถ้าฉันจะทอดสะพานบ้างนี่ จะมีเรือลำไหนจอดคุยด้วยไหม”
แม่หญิงศรีศุภางค์ค้อนคนพูดตาเขียว โสมพูดหยอกล้อนางอีกสองสามประโยคก่อนที่จะทอดสะพานไปฝั่งตรงข้ามคลองตามวิธีที่เห็นแม่หญิงคนที่แล้วทำ เธอสำรวจความแข็งแรงของสะพานชักที่เป็นเพียงแผ่นไม้หนาๆ และสำรวจคนฝั่งตรงข้ามจนกระทั่งเห็นหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีใบหน้างดงามกำลังเดินผ่านเข้าไปในฝูงชน
ภาพความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้น แล่นเข้ามาฉายตรงหน้าเป็นฉากๆ แต่มันรวดเร็วและไม่ประติดประต่อจนโสมปวดหัว หญิงสาวกระพริบตาเรียกสติแล้วจ้องเขม็งไปยังผู้หญิงคนนั้น ก่อนร้องตะโกนเรียก
“เธอคนนั้นน่ะหยุดก่อน!” เพราะคนเยอะจึงไม่มีใครสนใจการเรียกอันไร้การเจาะจงตัวบุคคล ดังนั้น เธอจึงเพิ่มความเจาะจงลงไป “คนสวย! หยุดรอฉันก่อน!”
ความพยายามของโสมสัมฤทธิ์ผลแต่ไม่ตรงเป้าหมายเพราะคนที่อยากให้หยุดกลับไม่หยุด
“พ่อหนุ่มรูปงามเอ๊ย อุตส่าห์ทอดสะพานจะจีบแม่หญิงแต่เอะอะมะเทิ่งเช่นนี้แม่หญิงคงจะยอมข้ามสะพานไปหาหรอกนะ” แม่ค้าวัยกลางคนส่งเสียงล้อเลียนทำให้มีเสียงโห่ฮาตามมาอีกหลายเสียง
“เดี๋ยวก่อนสิ! อย่าเพิ่งไป!” โสมรีบจับจูงแม่หญิงศรีศุภางค์ที่กำลังเขินอายสายตาและเสียงหัวเราะหยอกเย้าของอีกฝั่งคลองข้ามสะพาน แต่ก้าวขึ้น ไปบนสะพานชักได้ไม่เท่าไรเสียงบุรุษที่แหบพร่าด้วยความรู้สึกอันหลากหลายก็หยุดเธอเอาไว้ก่อน
“โสม”
หญิงสาวหันไปมองตามเสียงพบว่าตนได้ยิงเรือลำหนึ่งเอาไว้โดยไม่ตั้ง ใจเสียแล้ว แต่เมื่อได้เห็นหน้าของคนที่กำลังจ้องเธอด้วยแววตาสับสนและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอันมากมายก็เหมือนโลกได้ดับไปชั่วขณะ ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรนั้น ดวงตาคู่นั้น น้ำเสียงเช่นนั้น ช่างคุ้นเหลือเกิน ภาพความทรงจำมากมายหลากทะลักเข้ามาในวูบเดียว
ความรู้สึกทั้ง มวลถาโถมเข้าใส่จนเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ จนกระทั่งทุกสิ่งเริ่มเชื่องช้าลงกลายเป็นความกระช่างชัดและเธอกำลังปวดหัวเหมือนถูกเข็มนับพันนับหมื่นทิ่มแทงจนยากทานทน
“โสม! เจ้ายังไม่ตาย! ยอดรัก… เป็นเจ้าจริงๆ!” ธรรม์ลุกขึ้นยืนบนเรือด้วยความรวดเร็วจนเรือโคลงเคลงและผู้ติดตามต้องรีบช่วยกันพยุงเรือเอาไว้
“ธรรม์” โสมเอ่ยชื่อนี้ออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ความทรงจำที่ติดอยู่ในใจคือ เขาปล่อยให้เธอต้องถูกทรมานแสนสาหัส เขาไม่ปรานีเธอแม้แต่น้อย เขามีสิทธิ์อะไรมาทำท่าดีใจที่ได้พบเธออีกครั้ง
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา รู้หรือไม่ว่าข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้วต้องปวดใจแค่ไหน!” ธรรม์พยายามจะกระโจนขึ้น ไปบนสะพานเพื่อที่จะรวบกอดสตรีที่เขารักสุดดวงวิญญาณเอาไว้แนบอก แต่ผู้ติดตามพยายามห้ามเพราะเกรงจะทำให้เรือล่ม
“ปวดใจหรือ? ท่านเป็นคนปล่อยให้ฉันตาย! เป็นท่านนั่นแหละที่ทำให้ฉันต้องทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้ง เป็น!”
โสมตวาดออกไปด้วยความเจ็บช้ำเสียใจ มีเสียงเส้นเลือดแตกดังเปรี๊ยะลั่นอยู่ในหูตามด้วยเลือดมากมายที่ไหลออกจากจมูก ฉับพลันหัวของเธอก็ปวดจี๊ดจนต้องทรุดลงท่ามกลางเสียงร้องตกใจของศรีศุภางค์และการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของผู้ติดตาม
ธรรม์เองก็พยายามกระโจนเข้ามาหาเธอ แต่เธอไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว เธอเรียกอาคมย่อ
จักรวาลพลางนึกถึงพระตำหนักสุริยันซึ่งมีใครบางคนติดหนี้คำอธิบายของเธออยู่ก่อนที่สติจะดับวูบไป
ราชันไพรสัณฑ์!