Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 4

ตอนที่ ๔

คืนเดือนมืด

ประกายดาบแปลบปลาบสาดแสงกล้าอยู่ห่างจากดวงตาของหญิงสาวเพียงเล็กน้อย เธอเห็นราชองครักษ์หิรัญเก็บดาบเข้าฝักแล้วรีบคุกเข่าลงกับพื้น ประนมมือรอรับพระราชอาญา ในขณะที่ราชันไพรสัณฑ์ทำเพียงเก็บพระแสงดาบอย่างพระทัยเย็น

“พอแล้วหิรัญ”

“ให้ตายเถอะ! ฉันเกือบจะถูกผ่าหัวครึ่งซีกโดยที่ในมือไม่มีอาวุธเพราะคนของท่าน! แต่ท่านกลับพูดแค่ ‘พอแล้วหิรัญ’ อย่างนั้น เรอะ!” โสมอารมณ์เดือด ลุกขึ้นกระชากคอฉลองพระองค์โดยแรง

หิรัญเห็นดังนั้น ก็ผลุดลุกขึ้น แต่เพียงเท่านั้น เขาก็ต้องเบี่ยงกายหลบเงาร่างที่พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วพร้อมการจู่โจมดุดันรุนแรงที่แทบจะทำให้เขาลืมสิ้นทั้งแขนและขา

ราชองครักษ์หิรัญป้องกันการจู่โจมที่ทะลักทลายเข้ามาอย่างสุดความสามารถ คู่ต่อสู้ไม่คิดจะเปิดช่องโหว่ให้เขาได้ตั้งหลักแม้แต่น้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังเขาคงได้ย่ำแย่จริงๆ ยังไม่ทันได้สลัดความคิดเมื่อครู่ออกจากสมองเขาก็รู้สึกเหมือนถูกลูกเหล็กซัดเอาที่ลิ้นปี่ จุกจนเกือบล้มควํ่า

“หายกัน!” โสมประกาศเสียงกร้าว หายใจแรงฟึดฟัดด้วยความโมโหก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวช้าจนกระทั่งลมหายใจเป็นปกติจึงได้หันไปเอ่ยกับราชันหน้ากากภูตว่า “วันนี้กะจะมารายงานความคืบหน้าของงานที่ให้ไปทำ เห็นทีจะไม่สะดวกแล้ว”

“สะดวก ต่างคนต่างได้ระบายโทสะกันไปแล้ว ยังจะเก็บเอามาแค้นเคืองกันอีกด้วยเหตุใด”

“ไม่ล่ะ ฉันยังมีอีกหลายเรื่องให้คิดให้ทำ” หญิงสาวไหวไหล่ เหล่มองชายหนุ่มร่างกำยำที่บัดนี้ยืนมองเธออย่างประเมินมากกว่าเดิม “แล้วก็แล้วกันไป เจ็บกันคนละทีแล้วนี่”

เห็นมีแต่ข้าที่เจ็บตัว เจ้าลองทบทวนเรื่องราวอีกครั้งดีรึไม่

ราชองครักษ์หิรัญคิดในใจ นึกเดือดดาลอยู่บ้างที่อีกฝ่ายไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แต่อีกใจหนึ่งยังพิศวงว่าเขาเป็นใคร เหตุใดราชันจึงไม่ถือสาหาความเขาเลย บางทีเขาคนนี้อาจมีบางอย่างที่ ‘พิเศษ’ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาต้องจับตาดูต่อไป

“แต่เรื่องความไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง…”

“ข้าไม่ถือสา” ราชันหน้ากากภูตรับสั่งขึ้น อย่างรู้ว่าราชองครักษ์คนสนิทคิดจะพูดสิ่งใด “เช่นนั้น เจ้าทั้งสองสมควรที่จะรายงานสิ่งที่พวกเจ้ารู้และคิดมาอย่างเป็นกิจจะลักษณะได้แล้ว”

โสม พยัคฆ์ดำรงมองราชองครักษ์หนุ่มก่อนเลิกคิ้วขึ้น อย่างกวนโทสะแล้วเป็นฝ่ายเดินไปกับราชันไพรสัณฑ์

ปล่อยให้ราชองครักษ์หิรัญยืนมองพระวรกายสูงใหญ่กำยำองอาจประดุจเทพสงครามในสนามรบเดินเคียงคู่ไปกับร่างสูงเพรียวที่ดูบอบบางกว่าบุรุษทั่วไปด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดบรรยายไม่ถูก ละม้ายเห็นสิ่งที่ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่ปรากฏขึ้น

ผู้ที่สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ราชันหน้ากากภูตนอกสนามรบได้นับว่าเป็นข้าราชบริพารธรรมดารึ กลิ่นอายรอบกายของเขาผู้นั้นยังนับได้ว่าธรรมดาอีกรึ แท้จริงแล้วบุรุษข้างกายราชันเป็นใครกันแน่ เห็นทีเขาต้องเร่งสืบเรื่องนี้ให้หายข้องใจโดยเร็ว

หลังจากถวายคำรายงานแผนการและได้รับพระบรมราชานุญาตให้นำแผนการที่เสนอไปปฏิบัติทันทีนั้น โสม พยัคฆ์ดำรงก็ยังไม่ได้เดินทางไปเรือนเริงรมย์

วันหนึ่งได้เสียไปให้กับการฝึกดาบและฝึกยิงธนู โดยมีเหล่าทหารภูตช่วยกันถ่ายทอดความรู้อย่างไม่หวงวิชา บางคราวเธอก็แวะเวียนไป ‘ก่อกวน’ ราชองครักษ์หิรัญและราชันไพรสัณฑ์ จนเธอคิดว่าท่านราชองครักษ์ชักจะเกลียดขี้หน้าเธอมากขึ้นเรื่อยๆ

โสมเห็นเงาร่างของคนที่กำลังคิดถึงเดินฉับๆ เตรียมกลับที่พักทหารภูตซึ่งเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว จึงรีบวิ่งอย่างเงียบกริบเข้าไปหาจากด้านหลังแล้วกระโดดถีบเพื่อหยั่งปฏิกิริยาตอบโต้ เห็นผลทันทีเมื่อร่างสูงกำยำเบี่ยงตัวหลบได้ราวกับมีตาหลัง หลังจากนั้น คือการต่อสู้พัลวันพันตู ทั้งแขนทั้งขาถูกงัดขึ้น มาเพื่อที่จะโค่นคู่ต่อสู้ตรงหน้าให้ล้มลง โชคคงไม่เข้าข้างหญิงสาวเมื่อเท้ากลับไปเหยียบก้อนหินจนเสียหลักแล้วเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเข้าประชิดตัว ร่างของเธอถูกรัดละม้ายถูกงูยักษ์บีบรัดกระดูกกระเดี้ยวแทบหักทีเดียว

“หากข้าไม่รวบตัวท่านไว้เห็นทีหัวของท่านได้ละม้ายมะพร้าวถูกขวานเฉาะ!” ราชองครักษ์หิรัญตำหนิเสียงเครียด

เมื่อครู่ท่านราชองครักษ์โสมเกือบจะม้วยชีวินเพราะล้มหัวฟาดจอบขุดดินที่คนสะเพร่าจับวางหงายด้ามจอบเอาไว้เหมือนรอท่าเสียแล้ว

คนที่เพิ่งรอดตายหวุดหวิดกะพริบตาปริบๆ มองลำคอใหญ่แข็งแกร่งที่ลอยอยู่ตรงหน้า ก่อนจะรู้สติว่าตนอยู่ใต้วงแขนกอดรัดของราชองครักษ์หนุ่ม ความร้อนพุ่งขึ้น สู่ใบหน้าทันทีเพราะถึงแม้จะห้าวและกอดคอเมากับผู้ชายมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยถูกใครกอดรัดเช่นนี้มาก่อน

ขณะที่เธอพยายามทรงตัวยืนเพื่อให้หลุดออกจากวงแขนแข็งแกร่งนี้ เหล่าทหารภูตที่เดินกลับเรือนที่พักก็ผ่านแนวพุ่มไม้เจอภาพเหตุการณ์นี้เข้าทันที ทุกคนนิ่งตะลึงงันราวกับต้องคำสาป รู้สึกคล้ายโลกหมุนพลิกเอาหลายตลบจนไม่แน่ใจว่าผืนดินใต้ฝ่าเท้ายังอยู่ดีหรือไม่

โอ… หรือราชองครักษ์หิรัญก็เป็นไปอีกคน

ราชองครักษ์หิรัญก็ดูเหมือนจะทราบว่าเกิดความคิดอกุศลเข้าเสียแล้วจึงรีบปล่อยวงแขนออกทันทีราวกับต้องของร้อน ใช่ว่าเขาจะไม่ได้ยินข่าวลือของราชองครักษ์โสมกับราชันไพรสัณฑ์เพราะตั้งแต่เขาเริ่มสืบเรื่องที่มาของราชองครักษ์โสมคนนี้นอกจากเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่าราชองครักษ์โสมมาจากที่ไหนแล้ว เรื่องอกุศลนี้เป็นเรื่องแรกที่ถูกกล่าวถึง เพียงแต่เขาไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าราชันจะเป็นดั่งที่ทุกคนบังอาจกล่าวหาและตัวเขาเองก็ไม่อยากจะตกเป็นขี้ปากในข้อครหาอกุศลนี้อีกคนหนึ่งด้วย

“ท่านราชองครักษ์โสมพลาดท่า เกือบล้มลงหัวฟาดจอบขุดดิน ข้าเพียงช่วยเอาไว้ได้ทันเท่านั้น ”

“ใช่ๆ ฉันกับเขาแค่พัวพันกันมากไปหน่อยเลยไม่ทันระวัง”

พัวพัน! พัวพันอันใด!

“ไม่มีอะไรแล้ว แยกย้ายไปได้!” ราชองครักษ์หิรัญรีบเอ่ยปากไล่เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อนานนัก และเมื่อถูกออกคำสั่งเหล่าทหารภูตจึงรีบก้มหัวคำนับทั้งสองแล้วสาวเท้าก้าวเดินจ้ำอ้าวกลับเรือนของตนไปทันที

“เพราะท่าน!” ชายหนุ่มหันมากล่าวโทษทันที ใจอัดอั้นเหลือจะกล่าวเพราะไม่อาจรู้ได้ว่าจะเกิดข่าวลืออกุศลมากน้อยเท่าใดต่อจากนี้

“อะไรล่ะ กำลังจะขอบคุณที่เมื่อกี๊ช่วยเอาไว้อยู่พอดี ไม่พูดซะดีมั๊ง”

“ท่านจะขอบคุณข้าได้อย่างยิ่ง หากต่อไปนี้ท่านจะไม่เข้าใกล้ข้าอีก!” เขาบอกเสียงเข้ม แล้วสะบัดหน้าจะเดินขึ้น เรือนของตน แต่ถูกมือเล็กบางดึงรั้ง ชายเสื้อ เอาไว้ก่อน

“แค่นี้ก็โกรธหรือท่าน แหม… หัวก็ยังไม่ล้าน ทำไมขี้ใจน้อยจัง”

“อุวะ! ท่านมันตัวอันตรายต่อศักดิ์ศรีของชายชาตรีมิรู้รึ อย่ามาจับข้า ขนลุก!” พูดจบก็สลัดหลุดออกไปได้แล้วเดินขึ้น เรือนปิดประตูเงียบ

ปล่อยให้โสมยืนเอ๋อกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นี่เธอไปเป็นตัวอันตรายต่อศักดิ์ศรีของชายชาตรีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย!

โสมยืนเอ๋ออยู่ที่เดิมเพื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก จึงได้แต่ส่ายหัวปล่อยให้เรื่องผ่านเลยไป สู้เอาเวลาไปคิดว่าจะกลับไปเหยียบเรือนเริงรมย์อย่างไรไม่ให้นางสุวิมลโกรธที่เธอหายไปนานจะดีกว่า สงสัยต้องหาของกำนัลที่ทำเองกับมือ ผู้หญิงมักจะใจอ่อนให้กับความพยายามง้อของผู้ชายนี่นะ หญิงสาวพยักหน้าอือออให้ตัวเองแล้วหันไปด้อมๆ มองๆ เลือกเก็บดอกไม้ด้วยความใส่ใจและเพลิดเพลิน

บังเอิญมีทหารภูตกองที่กำลังจะไปเปลี่ยนเวรที่พระตำหนักสุริยันเดินผ่านมาเห็นเข้า จึงได้เกิดข่าวลือว่า ‘ท่านโสมเก็บดอกไม้หน้าชื่นราวสตรี’ ติดตามมาโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลย

ท้องฟ้ายามราตรีเยือกเย็นไร้แสงจันทร์สาดส่อง มีเพียงแสงดาวกะพริบวูบวาบราวกับดวงวิญญาณ ท่ามกลางป่าไม้รกชัฏนั้น บรรยากาศกลับบิดเบี้ยวกระหนึ่งมีมือลึกลับจับบิดให้ผิดรูป เหล่าสัตว์กลางคืนตื่นตัวเพราะรับรู้ถึงอันตรายที่จะก้าวเข้ามาต่างพากันเร้นหายไปอย่างเร็วรี่

ความโกลาหลยุติลงด้วยความเงียบสงัดวังเวงชวนขนหัวลุกและแล้วบรรยากาศบิดเบี้ยวก็แหวกออกราวกับถูกมีดกรีดก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายคนจะก้าวออกมาด้วยเครื่องแต่งกายดำสนิทรัดกุมมิดเม้นจนเห็นเพียงนัยน์ตาวาววับฉายประกายเย็นเยียบเท่านั้น

ชายฉกรรจ์ทั้งสิบคนยืนล้อมชายผอมสูงคนหนึ่งเพื่ออารักขาก่อนจะเคลื่อนขบวนเดินทางอย่างเงียบเชียบ ฉับพลันชายผู้เป็นที่อารักขาก็จับความผิดปกติบางอย่างได้ เสียงคำรามแหบต่ำอันเต็มไปด้วยความเกรี้ยว

กราดดังขึ้น พร้อมหันไปยังทิศทางที่มีความผิดปกตินั้น หนึ่งในผู้อารักขารีบเร่งรุดไปที่นั่นด้วยความว่องไวราวกับปีศาจโผนเข้าหาเหยื่อ

เกิดการต่อสู้ขึ้นในความมืดโดยที่ชายฉกรรจ์ที่เหลือไม่มีใครขยับเขยื้อนกายออกจากตำแหน่งแม้สักก้าวเดียว ชั่วครู่เสียงการต่อสู้ก็สงบลงก่อนที่ร่างยับเยินของชายคนหนึ่งจะถูกโยนลงมากองกับพื้น ต่อหน้าเหล่าชายฉกรรจ์

“เจ้าเป็นคนของใคร” เสียงทุ้มเต็มไปด้วยความสุขุมของหนึ่งในชายฉกรรจ์ที่มีอำนาจพอกับผู้ที่ถูกอารักขาเอ่ยถามขณะเอาตัวบดบังชายร่างผอมกว่าตนไว้อย่างปกป้อง

“ไม่จำเป็นต้องถามไถ่” เสียงแหบเยือกเย็นชวนขนหัวลุกเอ่ยขึ้น ร่างผอมสูงชะโงกมองร่างชายที่บาดเจ็บสะบักสะบอมเลือดอาบกายตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดด้วยประกายตาเจิดจ้าแฝงไปด้วยความตื่นเต้นและมาดร้าย “ไม่ว่าเป็นคนของใคร ผลก็ไม่ต่างกัน”

“แต่เราควรจะรู้ว่าใครเป็นนายมัน” ชายคนเดิมทักท้วง

“ไม่จำเป็น!” เสียงเหี้ยมดั่งคำประกาศิตที่ทำให้ชายผู้ทักท้วงต้องถอนหายใจและยอมตามใจดั่งเช่นทุกครั้ง ชายร่างผอมหัวเราะอย่างชั่วร้ายจนทำให้ผู้ที่รู้ชะตาตัวเองต้องตัวสั่นแล้วรีบเผ่นหาทางรอดอย่างไร้ผล เพราะได้ถูกจับมัดมือมัดเท้าอย่างว่องไวแล้วขึงพืดอยู่กับพื้น โดยมีชายสองคนจับเอาไว้ทั้ง บนและล่าง วงล้อมของชายฉกรรจ์ตีวงแคบเข้ามา

เสมือนกำแพงมนุษย์ ใบหน้าของทุกคนเบือนออกไปด้านนอกเพื่อดูแลความปลอดภัย

ชายร่างผอมฟังเสียงกรีดร้องขอชีวิตด้วยความอภิรมย์ เลือดในกายแล่นพล่านด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะชักมีดคมกริบเล่มหนึ่งออกมาค่อยๆ กรีดเสื้อผ้าทั้งหมดออกอย่างประณีตบรรจงที่สุด

“ดูทีซิว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนุกได้มากเพียงใด” เสียงเหี้ยมว่าพลางหัวเราะสนุกสนาน ปลายมีดคมกริบค่อยๆ กรีดลงบนหน้าอกวาดเป็นลวดลายสวยงามจรดท้อง เลือดแดงไหลซึมไปทั่วจนต้องใช้เศษผ้าเช็ดออก “ไม่สวยเลย หนังเจ้ามันหนาไป เกรียมไป แห้งไป ใช้ไม่ได้ หมดประโยชน์”

มีดปลายแหลมกรีดลงบนหน้าท้องลึกลงด้วยความบรรจง

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนของชีวิตที่มีแต่จะทำให้ฆาตกรโหดชื่นฉํ่าใจ ดูเหมือนเมื่อทำไปได้ครึ่งทางเขาจะรู้ว่าเหยื่ออาจจะตายก่อนงานเสร็จ ดังนั้นจึงได้ฉวยเอายาของตนยัดใส่ปากเหยื่อซึ่งจะทำให้เหยื่อมีชีวิตอยู่จนถึงขั้นตอนสุดท้าย

เมื่อเห็นว่าเหยื่อไม่แสดงอาการเจ็บปวดแล้วเขาก็ยิ่งกดปลายมีดกรีดท้องจนครบวงแล้วกระชากแผ่นหนังออกมาโดยแรงพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนานและเสียงโหยหวนอันเกิดจากความตระหนกและหวาดกลัวของเหยื่อ

เมื่อเห็นว่าฝีมือการกรีดของตนงดงามเรียบร้อยดีก็โยนแผ่นหนังท้องนั้น ทิ้งลงกับพื้น อย่างไม่ใยดี ก่อนจะเริ่มจรดปลายมีดลงบนกรอบใบหน้าช้าๆ ไม่สนใจเสียงร้องขอชีวิตและดวงตาเบิกโพลงแดงกํ่าด้วยความกลัวสุดชีวิตของเหยื่อ

ครานี้เขาไม่กระชากออกมาอย่างหยาบๆ แต่ค่อยๆ ใช่ปลายมีดแซะเนื้อ ออกจากใบหน้าอย่างประณีตเหลือไว้เพียงบริเวณรอบเบ้าตาที่หลั่งน้ำตาพราก จากนั้น จึงค่อยดึงแผ่นหนังที่ใบหน้าออกวางกับพื้น เวลานั้น เองที่เขารู้ว่าเหยื่อกลัวจนถ่ายของเสียออกมาเหม็นคลุ้ง

“เสียอารมณ์หมด!” เขาตวาดอย่างเกรี้ยวกราด มือที่กรีดปลายมีดด้วยความบรรจงกลับแทงลงไปที่ท้องซึ่งเหลือเพียงชั้นหนังบางๆ หุ้มอวัยวะภายใน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือลำไส้ทะลักออกมากองอยู่ด้านนอกและเขายังมีอารมณ์ดีเหลือพอที่จะสาวไส้ออกมาให้เหยื่อได้มีโอกาสเห็นไส้ของตัวเอง ยิ่งเหยื่อร้องโหยหวน ตาเหลือกลาน เลือดทะลักหลั่ง

และร้องขอชีวิตมากเพียงไรเขาก็ยิ่งรื่นอภิรมย์

“พอได้แล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความสังเวช

ชายร่างผอมยอมทำตามแต่โดยดี เขารับกระบอกน้ำ ทำความสะอาดมือของตนด้วยอารมณ์ดีเหลือล้น ปากก็เอ่ยสั่งเสียงระรื่น “กรีดหนังตามันออก ดึงไส้มันออกมาให้หมด ทิ้งทั้งหมดไว้ที่นี่ แล้วพาตัวมันไปแขวนไว้ในเมือง ของดีๆ แบบนี้ต้องมีคนชื่นชมจึงจะไม่เสียของ”

“จัดการให้เรียบร้อย” เสียงทุ้มกำชับ แล้วจับแขนเล็กของจิตรกรอำมหิตให้เดินต่อท่ามกลางการล้อมอารักขา ทิ้ง ให้ชายฉกรรจ์สองคนจัดการกับเหยื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานไว้ข้างหลัง “เจ้าจะเลิกทำแบบนี้ได้รึไม่”

“ตอนข้าทำ พี่ไม่เห็นห้าม” ชายร่างผอมหัวเราะในลำคอ “อีกอย่างหนึ่ง… ที่ข้าทำส่งผลดีกับพวกเรา ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลิกในตอนนี้”

“มีสิ! เจ้าจะได้คงความเป็นคนได้บ้างอย่างไร!”

“พี่ว่าข้า!”

“ข้าว่าเจ้าได้ด้วยรึ เฮอะ! ช่างเถิด… ไปถึงเรือนเริงรมย์เมื่อใด ดูทีว่านางสุวิมลจะยอมให้เจ้าเข้าใกล้ทั้งที่เนื้อ ตัวเปื้อนเลือดเช่นนี้รึไม่” เสียงทุ้มแค่นพูด

“ไม่ยอมก็ต้องยอม!” คนเป็นน้องพูดอย่างเอาแต่ใจ กระแสเสียงมาดหมาย การเดินทางใช้เวลาไม่นานนักทั้ง หมดก็มาถึงที่หมาย

แสงไฟถูกหรี่ลงให้เหลือเพียงน้อยนิดตลอดทั้งเรือน แม่เล้าและคนรับใช้มาเปิดประตูต้อนรับด้วยความกลัวเช่นทุกครั้ง และโดยไม่รอให้ใครนำทางชายร่างผอมในชุดดำปิดมิดชิดเหลือเพียงดวงตากระหายก็เดินลิ่วไปยังห้องที่นางคนงามพำนักอยู่

เหล่าชายฉกรรจ์กระจายกำลังกันรอบห้องนั้น แล้วร่ายอาคมพรางกายตน

แม่เล้าและคนรับใช้เองก็รีบเผ่นเข้าห้องหับตัวเองและไม่อยากออกจากห้องตลอดคืน เว้นแต่มีผู้เยี่ยมเยียนยามวิกาลมาเคาะประตู!

ดูเหมือนเธอจะมาผิดโอกาสเสียแล้ว

โสม พยัคฆ์ดำรงครางในใจเพราะตลอดทางที่มาเรือนเริงรมย์เงียบเชียบไร้วี่แววสิ่งใดราวกับว่าเป็นเมืองร้าง จนกระทั่งมาถึงที่หมาย ประตูเรือนไม่ได้เปิดรับแขก หญิงสาวจึงเงยหน้าขึ้น บนผืนฟ้าที่ประดับพรั่งพรายไปด้วยเหล่าดาราน้อยใหญ่เพื่อมองหาดวงจันทร์จึงได้พบความจริงว่าเธอสะเพร่าถึงขนาดลืมตรวจสอบก่อนว่าคืนนี้อันตรายนักที่จะออกจากเคหะทับสถาน

ไม่น่าเลย… แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว จะกลับมือเปล่าได้อย่างไร

หญิงสาวเคาะประตูหนักๆ พักใหญ่เลยทีเดียวบริวารชายฉกรรจ์ในเรือนจึงออกมาเปิดประตูด้วยใบหน้าซีดขาวเหงื่อแตกพลั่ก ยิ่งเมื่อเห็นว่าเป็นทหารภูตมาก็ดูเหมือนจะเป็นลมล้มลง เธอไม่สนใจท่าทีนั้น จึงก้าวเข้าไปด้วยฝีเท้ามั่นคง พบแม่เล้ายืนหน้าซีดขาวดวงตาฉายแววขลาดจึงเอะใจหนัก แต่ไม่แสดงอะไรออกไป

“ขอโทษที่มาเอาตอนนี้” โสมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล ไม่ยอมถอดหน้ากากภูตออก แต่เพียงน้ำเสียงนี้ก็ทำให้แม่เล้านึกออกได้เลือนราง

“ฉันเพียงมาเยี่ยมเยียนแม่หญิงสุวิมลและมาขอโทษที่ผิดสัญญา ไม่ได้มาร่วมบรรเลงดนตรีกับนาง”

“คุณท่านนั่นเอง” แววตาของแม่เล้ายิ่งร้อนรน เหงื่อไหลซึม ท่าทางขลาดเขลามากขึ้น “ชะ… เชิญเจ้าค่ะ”

โสม พยัคฆ์ดำรงเดินตามร่างแม่เล้าไปด้วยฝีเท้าเบากริบแต่ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ถึงเวลาที่จะจับผิดแล้วว่าในค่ำคืนที่ทุกคนต่างเร้นกายอยู่ในเรือน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดในราตรี นางคนงามไฉนจึงกล้าที่จะบรรเลงดนตรีและไม่ดับเทียนของตนลง มีสิ่งใดที่ทำให้นางไม่กลัวอย่างเช่นที่ทุกคนกลัวกัน ร่างแน่งน้อยในแรงเทียนอ่อนไหวยังคงงดงามไม่เสื่อมคลาย

แม่เล้าเดินจากไปทันทีที่นำทางมาถึง ปล่อยให้โสมเดินก้าวเข้าไปในห้อง นั่งลงด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนตรงข้ามหญิงงาม เว้นระยะห่างให้อย่างสุภาพ นางสุวิมลนิ่งสงบมาก เพียงปรายตามองแขกด้วยแววตาเรียบเฉย ดูหยิ่งทะนงนัก

“ขอโทษที่มารบกวนแม่หญิงในเวลานี้แต่หากฉันไม่มาในเวลานี้แล้วคิดว่าคงไม่ได้พบแม่หญิงไปอีกนาน” โสมพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพนุ่มนวล

แววตาของนางสุวิมลวูบไหวชั่วครู่ก่อนเบิกโตเล็กน้อยเมื่อทราบว่าแขกเป็นใคร

“คุณท่านหรอกหรือ”

น้ำเสียงร้อนใจของนางสุวิมลนั้น แม้ปรากฏชั่วครู่แต่หญิงสาวสัมผัสได้ จึงเพิ่มความระวังตัวสอดส่ายสายตาไปทั่วห้องหับเพื่อมองหาความผิดปกติใดที่อาจจะเกิดขึ้น ขนคอของเธอลุกชันละม้ายมีดวงตาเยือกเย็นจับจ้องไม่วางตาอยู่รอบกาย

ตายละหว่าไอ้โสม แกฉายเดี่ยวมาในที่อันตรายขนาดนี้แล้วจะรอดไปได้ไหม

“ฉันคงรบกวนเวลาแม่หญิงไม่นาน” หญิงสาวตัดสินใจว่า ควรพาตัวออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นยังไม่ควรสนใจเพราะหากรอดชีวิตไปได้ก็ยังมีโอกาสหน้า เธอล้วงเข้าไปในเสื้อ เพื่อหยิบกล่องขนาดกลางออกมายื่นส่งให้หญิงสาวเบื้องหน้า

ครั้นมือบางยื่นมารับก็แอบสัมผัสผิวนุ่มเนียนน่าอิจฉานั้น อย่างแยบยลยังผลให้เกิดสีแดงระเรื่อบน

พวงแก้มนวลน่ามองนัก “ฉันทำเอง หวังจะให้แม่หญิงยอมอภัยที่หลายวันมานี้ฉันไม่ได้มาร่วมบรรเลงเพลงกับแม่หญิงเลย”

นางคนงามแห่งเรือนเริงรมย์เปิดกล่องไม้ออกแล้วประคองสิ่งของที่อยู่ข้างในด้วยความทะนุถนอม กระแตตัวน้อยหอมระรื่นกลิ่นดอกไม้เกาะเกี่ยวอยู่กับกิ่งพะยอมกิ่งเรียวเล็กงามน่ารักนัก นางมองของกำนัลก่อนเงยหน้าขึ้น มองเธอด้วยดวงตาเป็นประกาย

“คุณท่านดูเหมือนจะมีเวลาไม่มาก แล้วเอาเวลาไหนมาประดิดประดอยทำได้เจ้าคะ” นางคนงามถามคำถามที่ทำให้สะอึก “มือที่เคี่ยวกรำสามารถเสกสรรเจ้ากระแตน้อยได้น่ารักถึงเพียงนี้เชียว”

โสมเหงื่อตกกับข้อสังเกตของนางคนฉลาด การทำกระแตตัวน้อยนี้เธอเรียนทำกับป้ากาญจนาที่เก่งงานบ้านงานเรือนทุกแขนง ป้ากาญจนาไม่เพียงสอนการร้อยดอกไม้เท่านั้น ยังสอนงานบ้านงานเรือนทุกอย่างให้เธอด้วย แต่ปัญหาตอนนี้คือจะแก้ตัวยังไงเพราะกระแตตัวนี้เธอใช้เวลาทำนานพอสมควรเลย เธอคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนขยับเข้าไปใกล้นางสุวิมล ยื่นมือที่เต็มไปด้วยรอยพันผ้าที่ปลายนิ้ว ให้ดู

“ฉันไม่ได้ประดิษฐ์นานแล้ว ขลุกขลักอยู่บ้างแต่ก็ตั้ง ใจประดิษฐ์มาให้แม่หญิง ไม่คาดคิดแม่หญิงกลับ…” หยุดพูดพร้อมถอนหายใจให้เกิดเสียงเบาๆ แล้วลดมือลงอย่างเซื่องซึม ทำให้คนถามร้อนใจไปเสียบ้าง

“อิฉันขอโทษ ไม่ได้มีเจตนาจะให้คุณท่านเสียใจเลย”

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจของนางทำให้โสมเอะใจ ผู้หญิงท่าทางหยิ่งทะนงสามารถทิ้งความทะนงให้เธอได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ รึว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังความเสียใจนี้อีก

“แค่แม่หญิงมีใจเป็นห่วงฉันอย่างนี้ฉันก็ชื่นใจแล้ว” โสม พยัคฆ์ดำรงพูดเสียงปลาบปลื้ม ก่อนทำทีท่าเหมือนตัดใจลุกขึ้น “ฉันต้องรีบไปแล้ว คงไม่ได้มาพบแม่หญิงอีกนาน”

“ระวังเนื้อ ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” ดวงตาคู่งามเป็นประกายเป็นห่วงและเสียใจอย่างลึกซึ้ง

โสมสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสเสียงเตือนภัยของนางจึงพยักหน้าให้เบาๆ

“แม่หญิงเองก็รักษาตัวด้วย” โสมคิดจะก้าวเท้าจากไป แต่ความห่วงใยจริงใจของนางสุวิมลทำให้เธอยืนนิ่งใช้ความคิด จับจ้องนางอย่างเนิ่นนาน “แม่หญิงปรารถนาจะไปจากที่แห่งนีรึ้ไม่”

คำถามของเธอคงทำให้นางคนงามสะเทือนใจ ดวงตาคู่สวยไหววูบลาดไหล่เล็กบอบบางไหวสะเทือนเบาๆ ริมฝีปากสวยราวดอกไม้แรกแย้มเม้มสนิท ชั่วครู่จึงตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเต็มไปด้วยความขมขื่น “มีหรือที่อิฉันไม่อยากจากไป แต่ทางเลือกมีเท่าไรกัน”

“หากไม่ตายเสียก่อน ฉันจะกลับมา” โสมสืบเท้าไปหานางสุวิมล นิ้วเรียวยาวยกขึ้น ลูบไปบนวงหน้าเรียวแผ่วและเบานุ่มนวล สังเกตแสงตาวูบไหวเต็มไปด้วยความคาดหวังและความไม่แน่ใจของนางอย่างระวัง

ผู้หญิงหยิ่งทะนงและฉลาดแบบนี้หากพลาดไปเพียงนิดเดียวก็ยากจะสานให้กลับเป็นดังเดิมได้ เธอไม่แน่ใจว่าแค่เจอกันครั้งเดียวรวมถึงวันนี้จะทำให้หญิงสาวเชื่อมั่นในตัวเธอมากน้อยแค่ไหน นิ้วเรียวยาวหยุดไล้อยู่ที่ริมฝีปากสีระเรื่อชั่วครู่ก่อนชักมือกลับอย่างเชื่องช้าแล้วหันหลังเดินปราศจากคำพูดใดอีก

แต่แล้วกลับมีเสียงเคลื่อนไหวจากเบื้องหลัง โสม พยัคฆ์ดำรง ซึ่งระแวดระวังอยู่ตลอดหันหลังกลับฉับพลันพร้ อมมือแตะดาบ กลับกลายเป็นร่างนวลอนงค์ถลาเข้ามาในอ้อมอก หญิงสาวใจหายวาบ นึกชมตัวเองในใจที่ใช้ผ้าพันหน้าอกมาอย่างแน่นหนา ไม่อย่างนั้น ความลับคงแตกอย่างแน่แท้แล้ว

ว่าแต่ทำไมนางถึงกล้าทำได้ถึงเพียงนี้!

“อย่าเพิ่งไปเลยนะเจ้าคะ อิฉันขอเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ” เสียงนางสุวิมลดังอู้อี้อยู่ที่อก

เป็นครั้งแรกที่โสมทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ยกแขนขึ้น โอบกอดร่างแน่งน้อยอย่างเงอะงะ ห่มร่างนางด้วยผ้าคลุมดำจนร่างอรชรแทบจะกลืนหายเข้าไปในร่าง

“แม่หญิงทำแบบนี้หมายความว่ายังไง” โสมถามเบาๆ ก้มลงมองดวงหน้าพริ้มเพราอ่อนหวานที่อาบด้วยสีระเรื่อด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย

“ขอให้อิฉันได้จดจำใบหน้าของคุณท่านเป็นขวัญกำลังใจได้รึไม่เจ้าคะ” นางคนงามเอ่ยขอเบาๆ

โสมนิ่งคิดชั่วครู่ก่อนคิดว่าทำตัวให้ตกเป็นเป้าน่าจะทำให้ท่าทีของนางสุวิมลชัดเจนขึ้นกว่าเดิมจึงยอมปลดหน้ากากลง ใบหน้างดงามเผยขึ้น เหมือนจันทราผ่านพ้นม่านเมฆ

นางสุวิมลกวาดตามองคิ้ว คมเข้ม จมูกโด่ง ริมฝี ปากที่ทำให้หัวใจสาววาบหวามและดวงตาคู่สวยสีน้ำเงินเข้มสะท้อนแสงทองของเทียนไหวระริกวูบวาบเกิดเป็นแสงเงางามลึกลับน่าค้นหายิ่งนัก มือเล็กนุ่มนิ่มยกขึ้น ลูบไล้ใบหน้านั้น

อย่างเผลอไผล กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรก็สายไปเสียแล้ว นางกระมิดกระเมี้ยนเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็น ปรามาสตัวเองในใจว่าตนช่างใจง่ายนักแต่ก็ไม่อาจถอยหลังกลับไปได้

“แม่หญิงคงพอใจที่ฉันยอมตามใจแม่หญิงทุกอย่างกระมัง” โสมเผยยิ้มเจ้าเสน่ห์ร้ายกาจ ดวงตาเจ้าเล่ห์พราวพราย ทำให้นางสะเทิ้นอายซุกใบหน้าลงกับอกเรียบตึงของเธอ “แม่หญิงอยากทำอะไรก็เชิญเถิด ฉันยอมทุกอย่างแล้ว”

มีเสียงร้องอย่างขัดเคืองและเขินอายดังมาจากนางสุวิมล

โสมไม่กล้าจะแสดงสีหน้าที่ผิดแปลกอะไรออกไปเนื่องจากไม่ทราบแน่ว่ามีสายตากี่คู่ที่จ้องมองอยู่จึงได้แต่ปั้นหน้าเกี้ยวพาราสีสาวอย่างแนบเนียนที่สุดทั้ง ที่ในใจปั่นป่วนเหลือจะกล่าว

“คุณท่านต้องกลับมานะเจ้าคะ” พักใหญ่นางสุวิมลจึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มือบางนุ่มนิ่มนั่นก็ซุกซนเหลือเกิน โสมจึงแสร้งเลิกคิ้ว ส่งสายตายั่วเย้าแล้วหรุบตาลงจ้องไปยังที่มือนั้น

สาวเจ้าจึงรีบชักมือออกราวกับต้องของร้อน ใบหน้าแดงกํ่า เขินอายยิ่งกว่าเดิม

“แน่นอน” โสมอยากจะถอนหายใจเมื่อดวงตาคู่สวยนั้น เปี่ยมไปด้วยความหวังและฉาบไล้ไปด้วยความแวววามหวามหวาน หากเธอไม่ใช่ผู้หญิงก็คงลงมือรังแกหญิงคนงามไปแล้ว “แม่หญิงจะกักตัวฉันไว้ทั้ง คืนกระมัง”

“ช่างร้ายกาจนัก!” นางสุวิมลต่อว่าอย่างขัดเคืองและขวยเขินสะบัดกายออกจากอ้อมอกโสมไปยืนบิดมือพลางเหลือบมองเธอด้วยแววตาที่เธอคิดว่าแปลกพิกลอยู่ “อิฉันคงไม่กล้ารั้งตัวคุณท่านไว้ทั้งคืน…ดังเช่นที่คุณท่านว่าแน่”

“แม่หญิงทำให้ฉันไม่อยากไปตรากตรำงานหนักที่รออยู่เลย” โสมแกล้งทำหน้าเกียจคร้านพลางถอนหายใจ

“ไปเถิดเจ้าค่ะ” นางสุวิมลกระซิบตอบเบาๆ ก้มหน้าลงจนคางแทบจรดอก ใบหน้าคงแดงก่ำมากกว่าเดิมเนื่องจากใบหูขาวๆ นั้น แทบจะเป็นสีเดียวกับอาภรณ์บนเรือนกายของนาง “แต่ก่อนไป… ได้โปรดรับความจริงใจของอิฉันไปด้วยนะเจ้าคะ”

ตายล่ะหว่า! หวังว่าแม่สาวทะนงตัวคงไม่ได้คิดทอดกายให้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นวายป่วงแน่ไอ้โสมเอ๋ย!

นางสุวิมลไม่ได้คิดทอดกายให้ตามที่โสมคิด แต่กลับทำในสิ่งที่ทำให้โสมตะลึงได้ไม่แพ้กัน ร่างแน่งน้อยขยับเข้าหา สองแขนกลมกลึงราวแท่งเทียนยกขึ้น โอบรั้งต้นคอให้ก้มลงมาตามด้วยริมฝี ปากนุ่มเนียนที่ประทับแนบสนิท โสมแทบช็อกด้วยการลงไปนั่งแปะอยู่กับพื้น หากขาเจ้ากรรมไม่ได้แข็งค้างจนเหมือนเสาเหล็ก เรียวลิ้นเล็กๆ ที่แสนจะสั่นระริกลูบไล้อยู่บนริมฝีปากที่ปิดสนิทของเธอ

นี่มันเกิดกลียุคอะไรขึ้นกันนี่! เธอจะโดนฟ้าผ่าตายทันทีที่ออกจากเรือนนี้เลยรึเปล่า!

โสมไม่เคยเจอเหตุการณ์ใดที่รับมือยากขนาดนี้มาก่อนตลอดชีวิต หัวจิตหัวใจของหญิงสาวอลวนอลหม่านขัดแย้งกันจนมึนงง ริมฝีปากของเธอค่อยๆ เปิดรับให้เรียวลิ้น นั้นได้ลุกล้ำเข้ามาพร้อมรสขมของผงยาบางอย่างซ่านเข้าทั้ง โพลงปาก

โสมเกือบจะผลักร่างที่กอดคลอเคลียอยู่ด้วยความไม่ไว้วางใจแต่แววตาอันจริงใจของนางกลับเว้าวอนให้เชื่อมั่น

เธอจึงได้ยอมหลับหูหลับตายืนจูบกับนางคนงามล่มเมืองจนกระทั่งนางเป็นฝ่ายผละออกไปเอง

“แม่หญิง…” โสมไม่รู้จะเอ่ยอะไร หน้าของเธอตอนนี้คงจะพิลึก จึงรีบฉวยเอาหน้ากากภูตสวมปิดบังอำพรางสีหน้าของตนทันที

“อย่าได้เอ่ยอะไรให้อิฉันอับอายไปมากกว่านี้เลยเจ้าค่ะ” ไม่รู้เป็นเพราะนางกลัวเธอจะถามว่าบังคับให้เธอทานยาอะไรหรือเป็นเพราะเธออับอายจริงๆ จึงได้พูดแบบนี้ “ต่อแต่นี้คงทำให้คุณท่านลำบากใจแล้ว”

โสม พยัคฆ์ดำรงตกตะลึงเป็นครั้งที่สอง นางผู้ทะนงตัวค่อยๆ ปลดผ้าผืนงามออกจากกายด้วยความเขินอาย

ดวงตาของโสมเบิกขึ้น แข็งค้างคล้ายเป็นอัมพาต มองเห็นผิวขาวนวลค่อยๆ โผล่พ้นออกมาราวกับดอกไม้ดอกงามที่ค่อยๆ ผลิแย้มอวดความละลานตาจนในที่สุดความอ่อนหวานและเย้ายวนก็เบ่งบานอย่างงดงาม ร่างอ่อนไหวเบื้องหน้าราวกับเทพธิดาที่ลงจากสวรรค์ ลำคอระหงลงมาที่ลาดไหล่กลมกลึงและทรวงอกราวกับดอกบัวตูมชูช่อท้าทายสายตายิ่งนัก ผิวกายของนางแดงระเรื่อบ่งบอกว่านางอายมากเพียงไรแต่ก็ยังแข็งใจเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงเพรียวที่ยืนนิ่งประดุจรูปสลักหิน

โอ้… ถึงเธอจะสวยงามมากจนชายที่ได้เห็นอาจห้ามใจไม่ได้ก็ตาม แต่หวังว่าจะไม่เปลี่ยนใจหันมาเปลื้องผ้าทอดกายให้ฉันจริงๆ หรอกนะ

ผ้าสีแดงกรุ่นกลิ่นหอมถูกยื่นมาให้ด้วยทีท่าเอียงอาย

โสมกลืนน้ำลายลงคอก่อนยื่นมือไปรับมาถือไว้ด้วยความมึนงงชั่วครู่ ก่อนที่ไหวพริบจะเกิดขึ้น ให้ยกผ้าขึ้นหอมต่อหน้านางสุวิมลที่อุธัจขัดเขินยิ่งขึ้น จนตัวแดงไปทั้งตัว เป็นภาพที่ผู้ชายทุกคนต้องบอกว่า อ่อนหวาน งดงาม เย้า

ยวน โดยเฉพาะดอกบัวตูมคู่นั้น ที่ไหวระริกไปตามแรงสะเทิ้นอายของนาง

ไอ้หนูโสม… ใจเย็นไว้ ลองคิดสิว่าผู้ชายเจ้าชู้ถ้ามีผู้หญิงมาเปลื้องผ้าต่อหน้าจะทำยังไง อ้า… ใช่แล้ว ต้องหากำไรอย่างไม่ลังเลสินะ

“หากแม่หญิงจะทดสอบความอดกลั้น ของฉัน ต้องขอโทษที่ฉันต้องทำให้แม่หญิงผิดหวัง” โสมกัดฟันเดินเข้าไปหา เอื้อมมือหมายจะจับดอกบัวคู่งามในอุ้งมือ

“อุ๊ย!” โชคยังเข้าข้างที่นางยังขลาดกลัวอยู่บ้างจึงเบี่ยงตัวหันหลังหนี

โสมเผลอถอนหายใจด้วยความโล่งอกจึงต้องรีบกลบเกลื่อนโดยไว

“เสียดายนัก… นึกว่าจะได้ชิดเชยแม่เทพธิดา” พูดจบก็นึกขึ้น ได้ว่าเดี๋ยวแม่เทพธิดาที่ว่าจะใจอ่อนยอมให้ชิดเชยให้เป็นปัญหาอีกจึงรีบกล่าว

“ฉันไม่กล้าอยู่ต่อเสียแล้ว กลัวใจตัวเองเหลือเกิน ผ้าผืนนี้ฉันขอรับไว้ล่ะนะ”

โสมเตรียมใส่เท้าสุนัขเผ่นออกจากที่นี่ด้วยขวัญกำลังใจที่กระเจิดกระเจิง แต่ก็ชะงักเสียก่อนเมื่อคิดว่าควรแสดงบทบาทให้สมกับที่แสดงมาตลอดว่าเป็นบุรุษเจ้าเสน่ห์และร้ายกาจ ผู้ชายจำพวกนี้คงไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้ฉวยจากแม่เทพธิดาคนนี้แน่นอน

เธอควรจะทำยังไงล่ะ

หญิงสาวในคราบบุรุษยืนคิดหนักอยู่ชั่วครู่ ก่อนกลั้นใจเดินไปฉกริมฝีปากจูบแรงๆ ลงบนต้นคอละหงขาวผ่องจนเป็นรอยแดง

นางสุวิมลร้องอุทานพลางหดกายหนีอย่างร้อนรนและเขินอาย

โสมเริ่มสติแตกเพราะวันนี้ต้องฝืนทำอะไรที่เกินกำลังใจหลายครั้งจึงได้โผนเผ่นหนีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

พ่อจ๋า แม่จ๋า หนูไม่ได้ชอบผู้หญิงนะจ๊ะ แต่หนูจำเป็นต้องทำ ฮือ…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!