Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 41

ตอนที่ ๔๑

ผู้อยู่เบื้องหลัง

พระอาทิตย์ค่อยๆ ลอยพ้นขอบฟ้า แสงสีทองแสนอบอุ่นสาดกระทบหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าเป็นประกายระยับราวกับเพชรน้ำงาม หมู่มวลวิหกซึ่งโผบินออกจากรวงรังพากันส่งเสียงร้องต้อนรับวันใหม่ เจ้านกน้อยตัวหนึ่งบินถลาโอบลมไว้ใต้ปีกพุ่งเข้าสู่บานพระแกลด้วยปรารถนาผลไม้อันสุกงอมที่วางอยู่บนตั่งข้างพระแท่นบรรทม แต่เสียงขยับกายทำ

ให้เจ้านกน้อยต้องรีบคาบเนื้อ ผลไม้หวานฉ่ำแล้วบินจากไปโดยทันที

ราชันไพรสัณฑ์ตื่นบรรทมอย่างเป็นสุขเพราะรับรู้ได้ว่ามีร่างนุ่มนิ่มอ่อนหวานอยู่ในอ้อมพระอุระ พระโอษฐ์แย้มเป็นรอยยิ้ม อ่อนๆ ก่อนจะประทับลงบนหน้าผากเนียน พระหัตถ์ใหญ่ลูบกระหม่อมของนางด้วยความอาทรแล้วเปลี่ยนไปลูบไล้นวลแก้ม เมื่อนางเริ่มขยับตัวตื่นจากนิทรา ไพลินน้ำงามก็ค่อยๆ เผยขึ้น เปล่งประกายอ่อนเชื่อม ครั้นช้อนขึ้นสบพระเนตรแล้วแววตาของนางกลับไหวระริกด้วยความประหม่าขัดเขินแล้วเอาแต่ก้มงุดลงบนพระอุระ

“หลับสบายดีหรือไม่จ๊ะ” ราชันหนุ่มกระซิบหยอกเย้าด้วยความรักใคร่เอ็นดู

“จะหลับสบายมากกว่านี้หากไม่ถูกท่านก่อกวน” โสมแสร้งว่าอย่างไม่เต็มเสียงเพื่อกลบเกลื่อนความประหม่าขัดเขินของตนเอง แต่แทนที่จะทรงสำนึกผิดกลับทรงพระสรวลอย่างพอพระทัยไปเสียอีก

“ใครใช้ให้เจ้าปล่อยให้ข้าต้องนอนทรมานอยู่เนิ่นนานกันเล่า ข้าน่ะต้องนอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับเจ้า คอยปรนนิบัติพัดวีเจ้า ทั้งที่ใกล้ชิดสนิทสนมกันถึงเพียงนั้น กลับไม่อาจแตะต้องเจ้าได้ ลองตรองดูเถอะว่าข้าต้องอดทนอดกลั้น มามากเพียงไร”

“         ขอโทษเถอะนะ… แต่ไม่ต้องถึงขนาดทำให้ฉันต้องอดข้าวเย็นด้วยนี่นา” หญิงสาวกระแอมเบาๆ ด้วยใบหน้าร้อนผะผ่าวเพราะถูกรับสั่งของราชันทำให้ปั่นป่วนใจ

“เจ้าคงหิวแล้ว” คราวนี้พระสุรเสียงของราชันหนุ่มเจือความสำนึกผิดอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้น ไปอาบน้ำที่บ่อสุริยันเถอะ อากาศเช่นนี้อาบน้ำเย็นแล้วสดชื่นนัก ข้าจะไปสั่งให้มหาดเล็กเตรียมอาหารเช้าเข้ามาให้ แต่ก่อนอื่น… ข้าจะช่วยเจ้าอาบน้ำ”

“ช่วยอาบน้ำอย่างเดียวนะ” หญิงสาวพูดเสียงอุบอิบแล้วหยิกพระนาภีหนึ่งที่เมื่อทรงพระสรวลอีกครั้ง

วิธีการช่วยอาบน้ำของพระองค์ทำให้โสมว้าวุ่นใจ โดยเฉพาะเมื่อมือนั้น ไม่เพียงแค่ลูบไล้แต่ยังรังแกเธออยู่ตลอดเวลา ห้ามอย่างไรก็ไม่ยอมฟังกระทั่งจนใจจะห้ามจึงได้แต่เอนกายเข้าแอบอิงแล้วปล่อยตามแต่พระทัย

“ข้าอยากมีลูกกับเจ้า” สิ้นรับสั่ง คนที่ยินยอมพร้อมใจก็สะดุ้งโหยงจนเสียหลักตะเกียกตะกายอยู่เหนือน้ำ และคงจะต้องจมลงไปหากไม่ทรงโอบประคองเอาไว้ก่อน “เป็นอะไรไปหรือ”

“ก็อยู่ๆ ท่านก็พูดจาน่ากลัวออกมา ฉันไม่ตกใจได้หรือไง!” โสมร้องเสียงหลง หน้าร้อนฉ่าจนเหมือนจะระเบิด

“การที่ข้าอยากมีลูกกับเจ้ามันน่ากลัวตรงไหน” รับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “หรือเจ้าคิดว่าข้าไม่คู่ควรเป็นพ่อของลูกเจ้า”

“ฉันไม่แน่ใจว่าจะเป็นแม่ใครได้ต่างหากล่ะ!” หญิงสาวลนลานบอก “การทำให้เด็กเกิดมาน่ะมันง่าย แต่การที่จะทำหน้าที่เลี้ยงดูเขามันยากนะ”

“ข้าเชื่อในตัวเจ้า” ราชันไพรสัณฑ์โล่งพระทัยเมื่อทรงทราบว่านางเพียงแต่กลัวการเป็นมารดาเท่านั้น

“แต่ฉันไม่เชื่อในตัวเองนี่นา” เธอค้านเสียงแผ่ว “เราอยู่ด้วยกันสองคนไปก่อนสักสองสามปีแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ไม่ได้หรือ”

“เจ้าคิดว่าหลังจากเมื่อวานนี้จนกระทั่งเมื่อเช้านี้เจ้าหลีกเลี่ยงการมีลูกได้อย่างนั้นหรือ”

“น่าจะได้นะ… ใช่ไหม” เธอหวั่นวิตกขึ้นมาทันใด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและราชันไม่มีการป้องกัน อีกทั้งเธอแน่ใจว่าทรงตั้งพระทัยเป็นอย่างมาก รวมกับปัจจัยอีกหลายอย่างทำให้มีแนวโน้มที่ตอนนี้อาจมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นแล้วก็ได้

“ช่างเถอะ” หญิงสาวลอบถอนหายใจแล้วเอนกายเข้ากอดอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม “ช่วยไม่ได้นี่นะ ในเมื่อเราเป็นสามีภรรยากัน… ก็คงเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นหากฉันท้องขึ้นมาท่านต้องช่วยให้ฉันรู้จักวิธีการเป็นแม่ด้วยล่ะ”

“โสม” ราชันไพรสัณฑ์โอบกอดนางด้วยความปลื้มปิติ เหตุใดจะไม่ทรงทราบว่านางยอมโอนอ่อนเพื่อพระองค์ทั้ง ที่นางกลัว เช่นนี้พระองค์จะไม่รักได้อย่างไร

“รีบขึ้น จากน้ำดีกว่า ขืนอยู่อย่างนี้นานๆ ท่าจะไม่ดี” โสมพึมพำเบาๆ แต่บังเอิญที่ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระกรรดีเยี่ยม ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องฟังเสียงสรวลอีกครั้ง

“เพราะเราแนบชิดสนิทสนมกันเช่นนี้ใช่หรือไม่เจ้าจึงคิดว่าท่าจะไม่ดี” ราชันหนุ่มก้มลงมองสีหน้าขัดเขินสะเทิ้น อายของนางด้วยความแช่มชื่น

นางช่างดูงดงามและมีชีวิตชีวา มองเผินๆ แล้วไม่เหมือนคนที่เพิ่งหายป่วยเลยด้วยซ้ำ เมื่อหวนระลึกถึงสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายของนางเมื่อครั้งที่ทรงไปช่วยนางออกมาจากกระท่อมนรก พระพักตร์ก็เข้มขึ้นด้วยความเคร่งเครียด “ในเมื่อเจ้าจำเรื่องราวแต่หนหลังได้แล้ว บอกข้าได้หรือไม่ว่าหลังจากที่หิรัญตั้งใจสังหารเจ้า เรื่องราวเป็นมาอย่างไรเจ้าถึงได้ไปอยู่ที่เมืองลับแลได้”

โสมตัวแข็งขึ้น ไปอึดใจหนึ่งก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ความทรมานจนสามารถทำให้ตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในนรกนั้น ยังคงหลอกหลอนและอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวหนังของเธอโดยไม่ไปไหน เพียงแค่หวนคิดถึงก็เหมือนความเจ็บปวดนั้น ได้กลับคืนมา

ราชันไพรสัณฑ์สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโสม พระหัตถ์ใหญ่จึงวักน้ำขึ้นลูบไล้ผิวกายของนางแล้วนวดคลึงไปตามกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดเบาๆ อย่างปลอบประโลม ทรงทราบว่าการหวนคิดถึงความเจ็บปวดจนเจียนตายครั้งนั้น ทำให้นางขลาดกลัวและไม่ทรงตำหนิที่นางจะขลาดกลัวบ้างในเมื่อหากนรกมีจริงแล้ว กระท่อมแห่งนั้นมีสภาพเหมือนนรกจริงๆ

“น้องชายของธรรม์เป็นคนมาเจอฉันแล้วก็พาฉันไปรักษาตัวที่กระท่อมนั่น แต่เขาเพียงแต่เลี้ยงไข้ฉันเท่านั้น แล้วก็ใช้ร่างกายของฉันเป็นตัวทดลองยาที่มีชื่อว่าสาปจันทรา มัน… ทรมานมาก เขาบอกว่าเมื่อจันทร์เต็มดวงลอยขึ้น ท้องฟ้าเมื่อไรฉันจะต้องเจ็บปวดทุรนทุรายจนเหมือนตายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น และฉันยังถูก… ภรรยาของธรรม์ทุบตีซ้ำ” หญิงสาวหยุดเล่าเพราะก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกอยู่ในลำคอ เธอไม่เคยอ่อนแออย่างนี้แต่ราชันไพรสัณฑ์ทำให้เธอเกิดความรู้สึกอยากจะร้องไห้วอนขอการปกป้องดูแล

ราชันหนุ่มประคองร่างของโสมขึ้น จากน้ำเพื่อพากลับเข้าพระตำหนัก ผ้านุ่มผืนใหญ่ถูกใช้สำหรับห่อหุ้มร่างของพระองค์และนางเอาไว้ด้วยกัน ทรงเวทนาสงสารนักที่เห็นนางตัวสั่นระริกแล้วรํ่าไห้อย่างเงียบเชียบ บาดแผลที่ยังคงปรากฏให้เห็นบนเรือนกายของนางทำให้ทรงอาฆาตแค้นไปถึงพวกที่ทำร้ายนางเหลือแสน

“ฉันเคยฆ่าคนมามาก บ้างก็เพื่อรักษาชีวิต บ้างก็เพื่องาน แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ฉันฆ่าทั้งที่มีทางเลือกอื่น สิ่งที่ฉันได้เจอที่กระท่อมนั่นก็คือการชดใช้บาปกรรมที่เคยทำไป” หญิงสาวเกลือกใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนพระอุระแกร่ง

“กับภรรยาของธรรม์เอง ฉันก็ไปก่อบาปกรรมกับเธอโดยไม่เจตนา ดังนั้นถูกหล่อนเอาคืนบ้างก็สมควร แต่กับธรรม์และน้องชายของเขา… ฉันไม่เข้าใจว่าไปทำบาปกรรมอะไรไว้ให้ถึงต้องเจอแบบนั้น ตอนที่ฉันเจ็บปวดทรมานอยู่ในกระท่อม ฉันได้ยินเสียงธรรม์กับน้องชายคุยกันถึงได้รู้ว่าธรรม์มีส่วนรู้เห็นและมีส่วนรับผิดชอบในความทรมานของฉัน

ด้วย”

โสมคิดถึงตอนที่ตนถูกทรมานอยู่ในกระท่อมแล้วได้ยินเสียงสองพี่น้องนั้นคุยกันก็เจ็บปวดใจเหมือนถูกมือลึกลับบีบเค้น

พระหัตถ์ใหญ่ลูบศีรษะของเธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบโยน แม้จะไม่ทำให้ความเจ็บปวดนั้นหายไปแต่ก็ทุเลาให้เธอหายใจสะดวกขึ้น

“ธรรม์มีแผนจะใช้ยาสาปจันทราจับเอาชาวเมืองเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองให้ท่านต้องยอมทำตามสิ่งที่เขาต้องการแน่ๆ แล้วเขาก็ใช้ฉันเป็นหนูทดลองยาเพื่อจะดูว่ายาออกฤทธิ์อย่างไร และออกฤทธิ์นานแค่ไหน แต่ก่อนที่เขาจะได้รู้คำตอบของคำถามข้อหลัง ท่านก็เข้าไปช่วยฉันมาได้ก่อน” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและยาวพลางหวนคิดถึง

ความรู้สึกเมื่อราชันหนุ่มบุกเข้าไปช่วยเธอ “ท่านคงไม่รู้ว่าในตอนนั้น ฉันหมดหวังที่จะมีชีวิตรอดอีกต่อไป แต่ท่านก็อุ้มฉันออกจากนรก ฉันคิดว่าตอนนั้นอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะมีชีวิตอยู่แต่ท่านก็ไม่ยอมให้ฉันตาย”

“ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้าตายก่อนข้าหรอกโสม” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงสั่นพร่า

“นับจากวันที่เราเป็นสามีภรรยากัน ชีวิตของฉันก็ขึ้น อยู่กับท่านแล้วล่ะ” เธอผ่อนลมหายใจและผ่อนอารมณ์ของตัวเองให้กลับคืนสู่ปกติ

เพราะการจมจ่อมสู่อดีตอันปวดร้าวรั้งแต่จะทำให้ราชันไพรสัณฑ์ไม่สบายพระทัยไปด้วย “หากฉันตายท่านยังอาจอยู่รอดได้ แต่หากท่านตายฉันก็ย่อมต้องตายตาม เพราะฉะนั้น กรุณาหวงแหนชีวิตของตัวเองเอาไว้ให้มากนะ”

“ข้าสัญญาว่าจะรักษาชีวิตของตัวเองให้ดีที่สุด” ราชันหนุ่มจุมพิตกระหม่อมของนางเบาๆ ด้วยความรู้สึกอันท่วมท้น “ไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะทุกอย่างจะเรียบร้อย เจ้าจะปลอดภัย ข้าจะดูแลเจ้าเอง”

“ฉันแน่ใจว่าท่านทำได้” โสมยิ้มบางๆ แนบจุมพิตลงบนพระอุระซึ่งมีเสียงสะท้อนของดวงพระทัยที่แสนหนักแน่นและซื่อสัตย์ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเช่นภรรยาที่ฝากชีวิตของตนเอาไว้ในความดูแลของสามี

“ขอบใจที่เชื่อใจข้า ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องผิดหวังแน่นอน” ราชันหนุ่มรับสั่งด้วยพระสุรเสียงทุ่มนุ้มอ่อนหวาน แต่หากโสมได้เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์สักนิดก็จะได้เห็นพระเนตรดำสนิทเปล่งประกายเย็นเยียบและโหดเหี้ยมอำมหิต!

แค้นนี้ต้องล้างด้วยชีวิต!

แม่หญิงศรีศุภางค์นั่งร้อยพวงมาลัยอย่างตั้งใจเพื่อที่จะนำไปถวายพระมเหสีโสมซึ่งได้ยินว่าจับไข้หนักจนราชันไพรสัณฑ์รั้งอยู่ดูแลไม่ออกจากห้องตั้ง แต่เมื่อวานและไม่ยอมเสวยพระกระยาหารอีกด้วย นางหวังว่าดอกไม้หอมพวงนี้จะทำให้พระนางชื่นกลิ่นแล้วรู้สึกสดชื่นจนหายป่วยในเร็ววัน นางไม่รู้ว่าเมื่อวานนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น และไม่กล้าถามเพราะ

ทหารภูตที่มาถามเหตุการณ์จากเธอนั้น น่าครั่นคร้ามจนไม่กล้าตอแย จึงได้แต่กลัดกลุ้มไม่สบายใจด้วยความเป็นห่วง

“ทำไมนั่งหน้าเซียวอย่างนั้นล่ะศรีศุภางค์” เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันนี้ทำให้แม่หญิงคนงามสะดุ้งจนเผลอทำเข็มร้อยดอกไม้ตำมือ นางหันไปยังต้นเสียงจึงได้พบพระมเหสีโสมในคราบชายชาตรีกำลังปีนข้ามหน้าต่างเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง

เหล่านางรับใช้พากันส่งเสียงวี้ดว้ายจนนางต้องรีบเอ็ดให้เงียบแล้วอธิบายว่าผู้ที่ปีนเข้ามาทางหน้าต่างนั้น เป็นใคร

“แม่หญิงขอรับ มีเรื่องร้ายอะไรหรือไม่ขอรับ” เสียงของผู้ติดตามจากด้านนอกร้องถาม เกรงว่าหากได้รับคำตอบช้าอาจมีการพังประตูเข้ามาทันที

“ไม่มีอะไร พวกนางรับใช้แค่ตกใจที่เจอแมงมุมน่ะ” แม่หญิงศรีศุภางค์ร้องบอก เมื่อได้ยินฝีเท้าก้าวห่างออกไปค่อยถอนใจด้วยความโล่งอก

“เจ็บหรือไม่นั่น” โสมก้าวเข้ามานั่งบนแท่นเดียวกันแล้วดึงนิ้ว ที่มีเลือดไหลซิบมาพิศดูก่อนจะหยิบผ้าสะอาดขึ้น มาซับแล้วกดปากแผลเอาไว้จนกระทั่งเลือดหยุดไหล

“เข้ามาทางประตูได้หรือไม่เจ้าคะ แล้วทำไมแต่งตัวอย่างนี้”

“ก็อีตานั่นจะจับฉันแต่งตัวเป็นตุ๊กตาทั้งที่อากาศอบอ้าวขนาดนี้ ฉันสวมไม่ชินนี่นาแล้วก็… รู้สึกไม่สบายตัวด้วย ก็เลยแปลงกายหยิบชุดของเขามาใส่ สบจังหวะที่เขากำลังตั้งใจทำงานก็หนีออกมาหาแม่หญิงพอเดินทางมาใกล้จะถึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าฉันที่เป็นแบบนี้คงเหยียบขึ้นเรือนแม่หญิงไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าฉันเป็นอะไรกับราชันไพรสัณฑ์ หรือต่อ

ให้ลังเลสงสัยพวกผู้ติดตามก็ต้องไปตามเจ้าเมืองกิติมาเป็นผู้ตัดสินใจให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็เลยหาจังหวะปลอดคนปีนหน้าต่างขึ้นมาเสียเลย”

“ทำยังกับคนเจ้าชู้ลอบปีนหน้าต่างเข้าห้องแม่หญิง” แม่หญิงศรีศุภางค์พูดอุบอิบ เหลือบมองพระมเหสีซึ่งแปลงกายเป็นชายอย่างไม่เต็มตานักเพราะพระนางยามเป็นสตรีก็งดงาม แต่ยามเป็นบุรุษก็หล่อเหลาเหลือเกิน

“แล้วแม่หญิงก็ยอมปิดบังผู้ติดตามเพราะมีใจให้คนเจ้าชู้ใช่หรือไม่จ๊ะ” โสมกระเซ้าอย่างทะเล้น ทำให้แม่หญิงคนงามและเหล่านางรับใช้พากันหน้าแดง

“ถ้ารับสั่งแบบนี้อีก น้องจะฟ้องราชันไพรสัณฑ์จริงๆ ด้วย แล้วก็จะฟ้องให้หมดเลยว่าทรงหว่านเสน่ห์ใส่แม่ค้ามาจนทั่วตลาดแล้ว”

“ถ้าอีตานั่นรู้ละก็มีหวังได้จับฉันพาดตักแล้วตีก้นแน่” หญิงสาวเผลอพูดในสิ่งที่คิดออกมาทำให้ผู้ฟังทำสีหน้าพิลึกก่อนพากันหันหน้าหนีไปหัวเราะขบขัน “ไม่ตลกนะ นี่จริงจังเลย”

“น้องไม่ฟ้องแล้วก็ได้ แต่ห้ามทำเจ้าชู้ใส่น้องอีกนะเจ้าคะ” แม่หญิงศรีศุภางค์บอกยิ้ม ๆ ลังเลอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนเอื้อมไปจับมือของโสมขึ้นมากุมด้วยความห่วงใย “น้องได้ยินมาว่าหลังจากที่พระนางเรียกอาคมกลับวังกะทันหันแล้วก็ทรงจับไข้อยู่ตั้งแต่เมื่อวาน ราชันไพรสัณฑ์ถึงกับไม่ยอมออกจากห้องเพื่อคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแล้วก็ไม่ยอมเสวยพระกระยาหารด้วย น้องคิดว่าพระนางคงเจ็บไข้หนัก แต่ได้เห็นว่าทรงมีพลานามัยดีก็โล่งใจนักเจ้าค่ะ”

“อะแฮ่ม… ขอบใจมากจ้ะ ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก” โสมกระแอมด้วยใบหน้าแดงกํ่า จะให้บอกได้ยังไงว่าที่ราชันไพรสัณฑ์ไม่ก้าวออกจากห้องและไม่เสวยพระกระยาหารไม่ใช่เพราะคอยดูแลเธอหรอก แต่เพราะทรงวุ่นอยู่กับการรังแกเธอต่างหาก

“น้องร้อยพวงมาลัยที่จะนำไปถวายพระนางเสร็จพอดีเลยเจ้าค่ะ” แม่หญิงศรีศุภางค์ประคองพวงมาลัยพวงสวยของตนขึ้นมาแล้วยิ้มชื่นใจเมื่อพระมเหสีโสมยื่นข้อพระหัตถ์มาให้ นางจึงค่อยๆ คล้องอย่างระมัดระวัง “คล้องได้พอดีเลยเจ้าค่ะ”

“ศรีศุภางค์! เจ้าคุยอยู่กับใคร!” เสียงเหี้ยมของเจ้าเมืองกิติที่ดังจากหน้าประตูห้องทำให้ชาวเมืองเกษมศานต์ในห้องสะดุ้งโหยง แต่โสมยังคงยิ้มเรื่อยอย่างคนไม่รู้ชะตากรรม “ถ้าเจ้าไม่เปิดประตูห้องเดี๋ยวนี้พ่อจะพังเข้าไป!”

“ประเดี๋ยวเจ้าค่ะ!” แม่หญิงศรีศุภางค์ไม่ทันคิดว่าคนที่ปลอมตัวเป็นบุรุษมานั้น สามารถอธิบายความจริงให้แก่บิดาฟังได้เพราะนางกำลังตกใจ นางคิดเพียงแต่ว่าหากบิดาได้มาเห็นเข้าคงไม่แคล้วชักดาบออกมาฆ่าฟันโดยไม่เอ่ยถามเสียก่อน ดังนั้น นางจึงรีบผุดลุกขึ้น หวังจะหาที่ซ่อนตัวคนแต่เพราะความลนลานทำให้เท้าเตะโดนขาตั่งแล้วถลาเสียหลัก

“ระวัง!” โสมร้องเสียงหลงแล้วพุ่งเข้าไปรวบร่างของแม่หญิงคนงามเอาไว้ได้ทันตรงจังหวะกับที่ประตูถูกพังเข้ามา เจ้าเมืองกิติยืนเต็มกรอบประตูอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางโกรธจัด ท่านชักดาบออกมาชี้หน้าโสมด้วยความเคียดแค้นก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้โสมทั้งเครียดทั้งขันไปพร้อมกัน

“ไอ้สารเลว! เจ้ากล้าลักลอบเข้าห้องลูกสาวของข้า! อย่าได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเลย!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!