ตอนที่ ๔๓
ลงทัณฑ์
ธรรม์เดินทางกลับเรือนของตนและขังตัวเองอยู่ในห้องด้วยความความผิดหวัง นับแต่วันที่ชายหนุ่มได้พบโสมในเมืองโดยบังเอิญและนางได้พูดบางอย่างกับเขาก่อนจะหนีไปนั้น เขาได้ระดมพลตามหานางข้ามวันข้ามคืนจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน แต่กลับไม่ได้ข่าวคราวใดราวกับว่าการที่เขาได้พบกับนางเป็นเพียงแค่ฝันไป เขาคิดว่านางต้องมีที่หลบซ่อนซึ่งเขาไม่สามารถตามไปถึงได้
สถานที่เช่นนั้น นอกจากพระราชวังแล้วไม่มีที่ใดอีก แต่จะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อนางถูกทหารภูตของราชันไพรสัณฑ์สังหาร หากนางต้องหลบซ่อนตัวจากราชันไพรสัณฑ์ เป็นไปได้หรือที่นางจะออกมาเดินในเมืองอย่างอิสระเช่นนั้น
แต่ดูเหมือนว่านางได้พูดบางอย่างผิดปกติออกมา
ธรรม์นึกถึงคำพูดของนางด้วยความระมัดระวัง นางพูดว่าเขาเป็นคนปล่อยให้นางตาย และเป็นเขาที่ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น เขาไม่เข้าใจว่านางพูดถึงเรื่องอะไรในเมื่อความผิดเดียวของเขาก็คือการที่เขารักนางทั้งที่มีคนต้องรับผิดชอบอยู่ คนที่ตั้ ใจฆ่านางก็คือราชันไพรสัณฑ์ต่างหาก ไม่ใช่เขา!
เรื่องนี้มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง!
ชายหนุ่มคิดถึงน้องชายที่เคยบอกเขาว่าโสมยังไม่ตาย ในตอนนั้นเขาคิดว่าน้องชายจงใจจะทำให้เขาเจ็บปวดทรมานใจเช่นเคยจึงได้ไม่เชื่อถือและสั่งลงโทษ แต่ในเมื่อเขาได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าโสมยังไม่ตายจริงๆ บางทีน้องชายเขาอาจจะรู้เรื่องสำคัญที่ทำให้เหตุการณ์ทั้ง หมดเป็นเช่นนี้
เขาถูกนางกล่าวหาว่าเป็นคนที่ปล่อยให้นางตายและเป็นคนที่ทำให้นางต้องทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้ง เป็นได้อย่างไร เมื่อถามน้องชายอาจจะได้คำตอบ!
เมื่อคิดได้ดังนี้ธรรม์จึงรีบผุดลุกแล้วแล่นออกจากห้องตรงไปยังเรือนของน้องชายที่เขาปลูกแยกเอาไว้ให้เป็นที่อาศัยและเป็นที่ปรุงยาโดยทันที ชายหนุ่มเร่งรุดไปยังเรือนเล็กที่ใช้สำหรับปรุงยาเป็นที่แรกและได้พบกับน้องชายที่นั่น ด้วยความร้อนใจเหลือจะกล่าวเขาได้บุกเข้าไปแล้วกระชากตัวน้องชายมาถามทันที
“ที่เจ้าบอกข้าว่าโสมยังไม่ตายเจ้ารู้มาได้อย่างไร! บอกข้ามาเดี๋ยวนี้! ” ธรรม์เขย่าคอเสื้อ น้องชายโดยแรง “นางกล่าวหาว่าข้าเป็นคนที่ปล่อยให้นางตายและทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนตกอยู่ในนรก! เจ้ารู้เรื่องทั้งหมดใช่หรือไม่!”
“หยุดเขย่าหัวข้านะ!” โสมหนุ่มร้องครางด้วยความทรมานเพราะศีรษะถูกเขย่าจนมึนเบลอไปหมด “ไม่อย่างนั้น ท่านจะไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดนั่นแหละ!”
“บอกมา!” ธรรม์ผลักร่างของน้องชายออกไปโดยแรงจนอีกฝ่ายกระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้น
“ท่านไม่เชื่อข้าไม่ใช่หรืออย่างไร” ผู้เป็นน้องชายบอกเสียงหยัน “ท่านถึงกับสั่งขังข้าเหมือนนักโทษไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่มีอารมณ์จะมาเล่นลิ้น กับเจ้า” ธรรม์กัดฟันพูด ดวงตาเปล่งแสงอำมหิตลุกโชน ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วอารมณ์เหี้ยมเกรียมที่ไม่ผ่อนปรน “ตอบข้ามาแต่โดยดี มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้าต้องวอนขอโอกาสที่จะบอกความจริงแก่ข้า”
“ท่านจะไม่ทำให้ข้าอยู่ในสภาพที่ทำงานไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นยาถอนพิษสาปจันทราที่ข้ากำลังคิดค้นคงไม่เสร็จสมบูรณ์เป็นแน่”
“จะไปยากอะไร” ชายหนุ่มก้าวเข้าไปยืนต่อหน้าอีกฝ่าย รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมผุดพราย “ข้าก็จะใช้พิษนั่นกับเจ้าแล้วทดลองยาถอนพิษกับเจ้าเสีย จะถอนพิษสำเร็จหรือไม่ตอนนี้ข้าไม่สนใจแล้วในเมื่อความเป็นตายของคนอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้าแม้แต่น้อย”
“นี่ท่าน!” โสมหนุ่มอุทานด้วยความคาดไม่ถึงว่าพี่ชายของตนจะเปลี่ยนเป็นปีศาจทั้งที่เมื่อก่อนนั้น เขาเป็นคนที่มีคุณธรรมอยู่บ้าง
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางผู้หญิงคนนั้น!
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากยังคงเล่นลิ้นกับข้าอีก ข้าจะลงมือกับเจ้าเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงของธรรม์บ่งบอกความตั้งใจแน่วแน่ ดวงตาไร้แววปรานี รอยยิ้มชั่วร้ายเกลื่อนริมฝีปาก และความเหี้ยมเกรียมถูกดันขึ้นอาบบนใบหน้าราวกับเป็นผิวหนังชั้นที่สอง ยังผลให้คนมองขนลุกด้วยความหวาดกลัว
“ขะ… ข้าเห็นนางนั่นถูกทหารภูตนายหนึ่งสังหาร” โสมหนุ่มเล่าอย่างติดๆ ขัดๆ เขาจะไม่ยอมพูดความจริงแน่ๆ ว่าเป็นเขานี่แหละที่นำตัวนางนั่นมาทารุณและเป็นคนสร้างความเข้าใจผิดแก่นางนั่นเพื่อปรักปรำพี่ชาย เพราะหากเขาบอกออกไปพี่ชายต้องฆ่าเขาตายแน่ๆ
“แล้ว… แล้วไม่รู้ว่าทำไมทหารภูตนายนั้น ถึงได้พานางนั่นไปพร้อมกับมัน ข้าไม่รู้ว่ามันพานางนั่นไปไหน”
“แล้วทำไมโสมจึงกล่าวหาข้าเช่นนั้น!” ธรรม์โมโหโกรธาที่ไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ฝ่ามือใหญ่หยาบจึงฟาดใบหน้าน้องชายจนหน้าควํ่าเพื่อระบายอารมณ์ก่อนจะหันไปถามความเอาจากบรรดาผู้ติดตามของน้องชาย “น้องของข้าพูดความจริงหรือไม่”
โสมหนุ่มใจหายวาบแต่ก็ยังถือดีอยู่ในใจว่าคนเหล่านี้ไม่เคยกล้าที่จะรายงานเรื่องสำคัญให้แก่พี่ชายของเขาได้รู้เลยเพราะหวาดกลัวความเหี้ยมโหดของเขาอยู่ ดังนั้นในครั้งนี้คงไม่ต่างกัน แต่ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าในตอนนั้น ธรรม์ยังปกป้องตนอยู่ คนจะรายงานสิ่งใดจึงต้องระวังปาก แต่ในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขากลายเป็นคนที่ธรรม์มองด้วยแววตาเกลียดชัง และยิ่งธรรม์ได้พูดออกจากปากอย่างแจ้งชัดว่าไม่ใยดีในตัวของเขาต่อหน้าทุกคน เช่นนี้คงยากที่การณ์จะเป็นเช่นเดิม
“ท่านโสมโกหกขอรับ”
คำตอบนี้ทำให้โสมซึ่งกำลังยันตัวลุกขึ้น ยืนถึงกับเข่าอ่อนไปวูบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นความคลุ้มคลั่ง ชายหนุ่มโผเข้าจิกทึ้งใบหน้าและลูกตาของคนพูดจนเลือดไหลออกมาตามแผลเหวอะหวะพร้อมเสียงโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วใช้มือทั้งสองข้างฉีกปากคนพูดด้วยพละกำลังของคนบ้า
“จับมัน!” ธรรม์คำรามลั่น ดวงตาแดงฉานด้วยความโกรธแค้นผู้ติดตามหลายคนพากันกระโจนเข้าไปจับร่างของชายผู้บ้าคลั่งกดลงกับพื้น “เป็นเจ้านี่เองที่ทำร้ายนาง”
ชายหนุ่มย่อกายลงกระชากผมของอีกฝ่ายขึ้น มาด้วยมืออันสั่นเทาก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือแล้วหันหลังให้ คนเจ็บถูกหามออกไปแล้วแต่เสียงโหยหวนยังคงอยู่ เหล่าผู้ติดตามเหลือบมองกันด้วยความไม่แน่ใจและรู้สึกกลัวใจของผู้นำนัก
“ใครรู้ความจริงเรื่องนี้เล่าออกมาให้หมด” น้ำเสียงเยียบเย็นนั้นทิ่มแทงทุกคนจนขวัญผวา แม้แต่โสมหนุ่มที่กำลังบ้าคลั่งก็ต้องหยุดร้องด้วยความกลัวจนตัวสั่น
“ท่านโสมไปพบแม่หญิงคนนั้น นอนหายใจรวยรินใกล้ตาย ทั้งที่ทราบว่าแม่หญิงคนนี้เป็นคนรักของท่านแต่ท่านโสมก็จับนางกลับไปที่กระท่อมแล้วทรมานนางด้วยยาพิษสาปจันทรา อีกทั้งยังให้อดีตภรรยาของท่านทุบตีทำร้ายนาง สร้างความเข้าใจผิดให้แก่นางโดยปรักปรำว่าท่านเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทำ”
“นั่นอธิบายว่าทำไมนางจึงกล่าวหาข้า” แผ่นหลังของธรรมแข็งเกร็งขึ้น เกิดความเงียบที่ชวนให้อึดอัดหลายอึดใจก่อนที่ผู้นำฝ่ายกบฏจะเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “เฆี่ยนมันห้าสิบที ให้ยาพิษในจำนวนที่พอแค่ออกฤทธิ์ตลอดทั้ง คืน ก่อนฟ้าสางให้จับมันถอดเสื้อผ้ามัดร่างติดกับเสาประจานที่ลานกลางเมือง”
“พี่อย่าทำข้าเลยนะ ข้าโดนแสงไม่ได้!” ผู้เป็นน้องชายเว้าวอนขอชีวิตอย่างลนลาน เขารู้เจตนาของพี่ชายว่าต้องการที่จะฆ่าเขาทั้งเป็น “ข้าเป็นน้องของท่านนะ! ท่านจะทำอย่างนี้กับข้าไม่ได้!”
“น้องชายรึ” ธรรม์พึมพำก่อนจะเบนหน้าไปมองทำให้อีกฝ่ายเห็นแววตาพยาบาทมาดร้ายที่ชวนให้หัวใจหยุดเต้น “หากเจ้าคิดว่าข้าเป็นพี่ก็คงไม่ทำร้ายผู้หญิงที่ข้ารัก นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่จะทำให้ข้าได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของน้องชายดังลอยตามหลังมาแต่ธรรม์กลับไม่รู้สึกเวทนาสงสารแม้แต่น้อย ชายหนุ่มมีรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปาก ดวงตาโชนแสงกล้า บรรยากาศรอบตัวของเขาอำมหิตผิดธรรมดาทำให้เหล่าผู้ติดตามไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรง
“นางสุวิมลไม่มีประโยชน์กับข้าอีกต่อไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็สมควรเป็นประโยชน์แก่คนอื่นบ้าง ป่าวประกาศไปว่าหากใครต้องการความอภิรมย์ก็แวะเวียนไปหานางที่เรือนได้” ธรรม์บอกก่อนจะก้าวเข้าห้องส่วนตัวของตน
“ขอรับ” เหล่าผู้ติดตามพากันขานรับ บางคนถึงกับลิงโลดในใจดวงตาจึงเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง แต่มีคนหนึ่งที่มีดวงตาวาววับด้วยความหมิ่นแคลนก่อนจะกลบเกลื่อนลงเมื่อมีคนมองมา
“มิคาดว่าวาสนาใหญ่จะตกมาที่พวกเรา ลองคิดดูสิมานพว่าเนื้อนุ่มนิ่มขาวผ่องของแม่หญิงจะให้ความรู้สึกเช่นไร” ผู้ติดตามคนหนึ่งของธรรม์ศอกกระเซ้าแต่เมื่อไม่ได้รับการตอบรับก็ถอนหายใจ “เจ้าไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับใคร นี่ยังเศร้าเรื่องที่แม่ตายอีกหรือ ปล่อยวางเสียเถอะมานพเอ๋ย คนตายนั่นคือหมดกรรม พวกเราที่ยังอยู่นี่ล่ะที่น่าสงสารเพราะ
ไม่ทราบต้องใช้ชดกรรมไปถึงเมื่อใด!”
ชายผู้ถูกเรียกว่ามานพตาหม่นแสงลงเมื่อคิดถึงชายที่มีประวัติว่ามารดาเพิ่งตายซึ่งตนได้ลงมือลอบสังหารพลางคิดว่าชายผู้นั้นคงหมดกรรมไปแล้ว เหลือแต่ตัวเองที่ยังต้องอยู่ชดใช้กรรมอีกนาน คิดถึงตรงนี้ดวงตาที่หม่นแสงลงก็โชนแสงขึ้น ผู้ที่จะต้องชดใช้กรรมมิได้มีแค่ตนเท่านั้น แต่เป็นคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ โดยเฉพาะหัวหน้ากองกำลังที่มีชื่อว่าธรรม์!
เมื่อหับประตูปิดลงสู่ห้องส่วนตัวแล้ว ธรรม์ก็ย่างเท้าขึ้นไปนั่งบนเตียงแล้วลูบไล้อาภรณ์ที่โสมเคยใส่ด้วยความโศกเศร้า นางเข้าใจเขาผิดไปทำให้เขาปวดใจนัก เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้หากทหารภูตไม่ลงมือสังหารนาง ดังนั้นผู้ที่สมควรรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ก็คือราชันไพรสัณฑ์!
แต่มีปัญหามากมายที่เขาต้องขบคิดให้ได้เพื่อที่จะทำร้ายคนผู้นั้นหนึ่งในคำถามสำคัญก็คือพระมเหสีของราชันไพรสัณฑ์เป็นใคร หากเขารู้เมื่อใดเขาจะหาทางลงมือสังหารนางคนนั้นด้วยมือของตัวเองให้ได้ คนผู้นั้นจะต้องสูญเสียคนรักเฉกเช่นที่เขาสูญเสียโสมไป!
เมื่อคิดถึงโสมความโศกเศร้าที่ยิ่งใหญ่และหนักหน่วงกว่าขุนเขาก็โถมทับจนหัวใจหนักอึ้ง เขาต้องหานางให้พบเพื่อที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้นางเข้าใจ เมื่อนางเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วเขาจะบอกข่าวดีแก่นางว่าเขาไม่มีพันธะใดผูกพันตนอีก เขาจะแก้แค้นราชันไพรสัณฑ์แล้วจะเร้นกายไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับนาง แต่เขาไม่รู้ว่านางอยู่ที่ไหน ราวกับว่ารอบกายของนางมีหมอกอันหนาทึบกีดขวางระหว่างนางและเขาเอาไว้
มือใหญ่ประคองสไบของนางขึ้น จุมพิตอย่างแสนรัก ดวงตาอ่อนแสงลงครู่หนึ่งก่อนที่จะโชนแสงขึ้น ราวกับเพลิงไฟในนรกที่ไม่มีวันดับมอดไม่ว่าอะไรที่ขัดขวางทางเขาอยู่ เขาจะทำลายมันให้พังพินาศเสียสิ้น!
โสมได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านพักทหารของตนเรียบร้อยแล้ว และกำลังเดินทางกลับพระตำหนักสุริยันด้วยความสดชื่น สองข้างทางเดินสว่างเรืองรองด้วยแสงคาคบไต้และเคร่งครัดด้วยหน่วยทหารลาดตระเวน เมื่อเดินทางมาถึงพระตำหนักสุริยันหญิงสาวก็หยุดทักทายปราศรัยกับเหล่าทหารภูตซึ่งเป็นเวรอารักขาราชันไพรสัณฑ์อย่างออกรสชาติเป็นนานกว่าจะเดินเอ้อระเหยกลับห้องนอน แต่ห้องที่ว่างเปล่าทำให้หญิงสาวชะงักอยู่แค่ที่หน้าห้อง กลอกตาคิดอยู่สองรอบก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทรงงาน
มหาดเล็กที่รอรับใช้อย่างแข็งขันหน้าห้องกำลังอ้าปากขานชื่อเธอ หากเธอไม่ยกมือห้ามเสียก่อน แสงเทียนส่องสว่างไสวจนแทบจะทำให้ในห้องทรงงานไม่มีมุมมืด เงาทะมึนเพียงเงาเดียวคือเงาของราชันไพรสัณฑ์ซึ่งกำลังทรงงานอยู่
เมื่อทรงรับรู้ว่าเธอก้าวเข้ามาก็ทำเพียงเงยพระพักตร์ขึ้น ยิ้มบางๆ ให้ชนิดหากไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่เห็นก่อนจะก้มลงทรงงานต่อ ทำให้คนที่รู้ตัวว่ามีชนักติดหลังที่หนีพระองค์ออกไปทั้งยังก่อความวุ่นวายหลายเรื่องรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้น มาทันที
พระองค์จะหลอกให้เธอตายใจแล้วค่อยลงทัณฑ์แบบไม่ให้ตั้งตัวหรือเปล่า แต่จะเดินหนีออกไปก็จะเป็นการกินปูนร้อนท้องเกินไปหน่อย คงต้องทนนั่งร้อนๆ หนาวๆ เสียแล้วมั๊ง
โสมเลือกนั่งที่พระแท่นซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะทรงงานพอสมควรเผื่อว่าเกิดอะไรผิดปกติขึ้น มาจะได้มีโอกาสหนีได้ทัน หญิงสาวนั่งจ้องราชันไพรสัณฑ์เงียบๆ เช่นนั้น อยู่นานจนกระทั่งได้ยินเสียงพระองค์ถอนพระปัสสาสะแล้วหันมาทอดพระเนตรตอบเธอ เธอขนลุกซู่ด้วยความระแวดระวังตัว จับจ้องพระองค์ซึ่งวางเอกสารที่ตรวจเสร็จลงบนตะกร้า
ชนิดไม่ให้คลาดสายตา
สองหนุ่มสาวนั่งจ้องตากันเช่นนี้อยู่หลายอึดใจโดยไม่มีใครเอื้อนเอ่ยหรือขยับกาย จนกระทั่งราชันไพรสัณฑ์ยื่นพระหัตถ์ออกมาข้างหน้า โสมจึงสะดุ้งตกใจเล็กน้อยและจ้องราชันหนุ่มเอาไว้เขม็งโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตา ครั้นพระโอษฐ์ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น จนแทบจะกลายเป็นความตึงเครียด
“เหมียวๆๆ มานี่มะ”
“ฉันไม่ใช่แมวนะอีตาบ้า!” แม้ปากจะพูดอย่างนั้นแต่โสมก็กระโจนไปหาราชันไพรสัณฑ์จึงต้องตกอยู่ในอ้อมพระพาหาที่รัดแน่นของพระองค์ไปอย่างช่วยไม่ได้
“ไม่ใช่แมว แต่พอเรียกแล้วก็มานี่จ๊ะ” ทรงพระสรวลด้วยความเบิกบาน ก่อนจะกดจูบลงบนแก้มที่แดงเรื่อของนางอย่างชื่นพระทัย “วันนี้ไปก่อเรื่องอะไรมาบ้างล่ะ”
“เปล๊า! เค้าเป็นคนดี เค้าไม่ดื้อ เลยสักนิด” โสมตีหน้ามึน ออกอาการว่าง่ายยอมให้พระสวามีหากำไรแต่ตามพระทัยโดยทันที
“อ้อ… แต่ข้าได้ข่าวว่าเจ้าพาทหารภูตเล่นซ่อนแอบกับทหารเสือมิใช่หรือ” ราชันหนุ่มรับสั่งเสียงเรียบเรื่อย แต่คนฟังสยองขึ้นมาทันที “แล้วก็ได้ข่าวมาอีกว่าเจ้าแปลงกายเป็นบุรุษลอบปีนหน้าต่างเข้าไปหาแม่หญิงในห้องหับใช่หรือไม่”
“ข่าวโคมลอยน่ะ เค้าโดนฝ่ายตรงข้ามสาดโคลนใส่”
“อ้อ… แต่เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้วจากทหารภูตและตัวของเจ้าเมืองกิติเอง” ราชันไพรสัณฑ์เกร็งพระพาหาเพราะคนที่พยายามปัดความผิดเริ่มรู้ตัวและพยายามหาทางหนี
“ปล่อย! รู้อย่างนี้ไม่มานั่งจ้องหน้าให้จับได้ดีกว่า!”
“ถึงเจ้าไม่มานั่งจ้องหน้าข้า ข้าก็จะไปตามจับตัวเจ้ามา คิดหรือว่าจะหนีข้าพ้น” ราชันหนุ่มจับร่างนางนอนคว่ำพาดพระเพลาแล้วรัดแขนนางเอาไว้อย่างแน่นหนา “รู้ใช่หรือไม่ว่าข้าจะทำอะไร”
“อย่านะ! นี่จะจับฉันตีก้นจริงๆ หรือไง!” โสมร้องโวยวาย ตอนแรกแค่สันนิษฐานว่าเป็นไปได้ ไม่คิดว่าถึงคราวจะทรงทำอย่างที่เธอคิดจริงๆ ถ้าคนเขารู้ว่าเธอโดนพระองค์จับตีก้นแล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้
“ใครใช้ให้เจ้าแปลงกายไปปีนหน้าต่างเข้าห้องแม่หญิงกันเล่า”
รับสั่งยิ้ม ๆ แล้วตีก้นนางท่ามกลางเสียงร้องโวยวายด้วยความอับอาย
“คราวหลังจะทำอีกหรือไม่”
“ไม่ทำแล้ว! หยุดตีนะ! พอแล้ว” หญิงสาวโอดครวญ ไอ้เจ็บน่ะไม่เจ็บเท่าไหร่ แต่สงสัยต่อมความซ่าจะต้องบอบช้ำไปอีกนาน
“เจ้าเป็นเมียข้า ห้ามปีนหน้าต่างหรือลอบเข้าห้องใครอีก เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
“เข้าใจแล้วก็ได้” เธอพูดอุบอิบอย่างพ่ายแพ้
แต่คอยดูเถอะ…พวกทหารภูตกับท่านอาน่ะ เธอจะแวะเวียนไปเยี่ยมวันหลัง!
“ดีแล้วจ้ะ” ทรงหยุดตีก้นนางแล้วเปลี่ยนเป็นลูบคลึงเบาๆ “เจ็บมากหรือไม่”
“ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก” โสมบอก รู้สึกขนลุกซู่กับสัมผัสของพระองค์ “เห็นไหมว่าฉันยอมแล้ว ทีนี้หยุดได้แล้วนะ”
“ข้าไม่ได้บอกสักคำว่าจะหยุด” ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลเบาๆ อย่างเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ โบกพระหัตถ์ครั้งเดียวห้องทรงงานก็กลายเป็นสถานที่ซึ่งไม่ว่าใครก็ไม่อาจผ่านและไม่อาจรับรู้ความเป็นไปในนี้ได้ “อ้อยเข้าปากช้างแล้วมันจะไม่ยอมคายออกมาหรอกนะ”
โสมพยายามดิ้นรนหนีเมื่อถูกช้อนอุ้มขึ้น ตรงไปยังพระแท่นตัวใหญ่ แต่มีหรือจะสู้ความเอาแต่พระทัยของพระองค์ได้ ดังนั้นสุดท้ายแล้วหญิงสาวจึงทำได้แต่เพียงอ่อนเปลี้ย อย่างมีความสุขในอ้อมพระอุระของพระสวามีอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้