ตอนที่ ๔๕
เริ่มต้น
ราชันไพรสัณฑ์ย้ายโสมหนุ่มไปยังกระท่อมที่รับสั่งให้สร้างขึ้นโดยเฉพาะ เย็นนี้ทรงแวะมายังกระท่อมเพื่อทำหน้าที่บางอย่างซึ่งทรงปฏิบัติมาแล้วหลายครั้ง บรรดาแพทย์ต่างรีบเร้นกายออกจากกระท่อมไปอย่างรู้งานและทหารภูตทำ เพียงอารักขาอยู่ด้านนอก
ราชันหนุ่มทอดพระเนตรชายที่ทำร้ายสตรีที่พระองค์รักด้วยความนิ่งสงบแม้จะทรงเห็นเงาวูบวาบของบรรดาเจ้ากรรมนายเวรซึ่งกำลังรุมทำร้ายโสมหนุ่มอย่างกระเหี้ยนกระหือรือและพยาบาทมาดร้ายก็ตาม!
ราชันหนุ่มหยิบกระบอกบรรจุของเหลวมีพิษชนิดหนึ่งออกจากกระเป๋าแล้วเดินฝ่าบรรดาภูตผีเข้าไปเพื่อกรอกยาพิษทั้งหมดนั้นใส่ปากคนที่กำลังทุรนทุรายอยู่ ทรงรอให้เหยื่อกรีดร้องโหยหวนและดีดดิ้นทุรนทุรายด้วยฤทธิ์ยาพิษก่อนจะหันไปหยิบไม้หนีบขึ้นมาคีบผิวหนังไหม้เกรียมที่ยังลอกออกไม่หมดแล้วค่อยๆ ดึงอย่างช้าๆ ทำให้เลือดไหลซิบขึ้นมา
โสมหนุ่มกรีดร้องด้วยความทนทุกข์ทรมานจนเสียงแหบแห้ง เอ่ยปากวอนขอชีวิตและขอความเมตตาไม่หยุดหย่อน ราชันไพรสัณฑ์ทรงรับสั่งปลอบโยนด้วยพระสุรเสียงเมตตาจนเขาเกิดความหวังว่าจะทรงหยุดการกระทำทรมาน แต่เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งที่เขามีความหวังเต็มเปี่ยมก็ทรงลงมือทรมานเขาอีกครั้ง โดยที่ตลอดเวลานั้นทรงแย้มพระโอษฐ์เป็นรอยยิ้มบางๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาทั้ง ทุกข์ทรมาน สับสน สิ้น หวัง และร้องหาความตายอันเป็นการุณยฆาต!
ชายหนุ่มกรีดร้องโหยหวนเหมือนสัตว์ที่กำลังถูกเชือดคอ บรรดาเจ้ากรรมนายเวรก็พากันกลุ้มรุมจิกทึ้งทุบตีและส่งเสียงด่าทอด้วยสภาพร่างกายอันน่าสยดสยองซึ่งเป็นสภาพก่อนตายของทุกตน ดวงตาของเขาพร่าลายและมีภาพเหตุการณ์มากมายฉายอยู่ข้างใน เป็นภาพจากความทรงจำที่เขาได้ก่อกรรมทำเข็ญกับสิ่งมีชีวิตอย่างโหดเหี้ยมทารุณด้วยความสนุกสนาน ทุกคนต่างร้องขอความเมตตาแต่เขาทำเพียงให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แล้วค่อยๆ สังหารอย่างละเมียดละไม
บัดนี้เวรกรรมตามทันเขาแล้วหรือไร!
ด้วยพิษไข้และฤทธิ์ยาพิษที่กำเริบขึ้น อีกครั้งประกอบกับความปวดแสบปวดร้อนของผิวหนังไหม้ๆ รวมทั้ง แผลที่เกิดจากการถูกลอกหนังกับบาดแผลช้ำหนองที่ถูกคว้านเนื้อ ทำให้ชายหนุ่มต้องดิ้นทุรนทุราย ดวงตาเหลือกขึ้นฟ้า น้ำลายฟูมปาก นิ้วมือหงิกงอ และกัดฟันจนกรามเกร็งแน่น เสียงที่หลุดลอดออกจากลำคอเป็นเพียงเสียงขลุกขลักฟังไม่ได้ศัพท์ทั้งสิ้น เรียกได้ว่าแม้แต่จะกรีดร้องด้วยความทรมานก็ยังไม่สามารถทำได้
ฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงการร้องขอความเมตตา!
โสมหนุ่มผู้ตกอยู่ในนรกสลบไปด้วยทนพิษเวรกรรมไม่ได้ แต่แม้กระทั่งในความฝันนรกก็ไม่ได้ละเว้นเขา เขายังคงถูกทารุณด้วยความโหดร้ายซึ่งครั้งหนึ่งเขาได้กระทำต่อผู้อื่น บัดนี้ทุกคนต่างพากันมารุมทำร้ายอย่างไร้ความเมตตาอย่างเช่นที่เขาเคยทำ เขาร้องหาคนช่วยแต่ทุกครั้งจะมีเพียงรอยยิ้มแสยะอย่างหมิ่นแคลนจากบรรดาเจ้ากรรมนายเวร
จนกระทั่งเขาหมดสิ้นทุกแรงกำลังที่จะต่อสู้ จึงได้แต่ปล่อยให้ทุกความโกรธแค้น ทุกความอาฆาตพยาบาทโหมกระหน่ำเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง
เจ็บปวดเหลือเกิน ทุกข์ทรมานเหลือเกิน เมื่อใดเวรกรรมจะหมดสิ้นเสียที
เขากรีดร้องอย่างไร้เสียง ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหล ทั้งผิวหนังอวัยวะภายใน และสภาพจิตใจตกตํ่าถึงขีดสุด ยิ่งเห็นว่าในพระหัตถ์ของราชันหนุ่มมีกระบอกบรรจุยาพิษก็ยิ่งทุรนทุรายดิ้นรนหนีทั้ง ที่รู้อยู่แก่ใจว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีวันหนีพ้น
นี่เป็นความรู้สึกที่เหยื่อของเขาเคยประสบก่อนตายทั้งสิ้น!
โสมหนุ่มครางขลุกขลักในลำคอด้วยความหมดหวัง แม้พยายามจะเม้มปากแต่กลับถูกบังคับให้กลืนลงไปอีกจนได้ ลำไส้ของเขาร้อนเร่าดังมีไฟสุม อวัยวะภายในปั่นป่วน น้ำลายหลั่งออกมามากมายเป็นฟองฟอด เพียงไม่นานเขาก็เริ่มมีอาการชักและถูกรุมล้อมด้วยบรรดาแพทย์ที่เข้ามาช่วยชีวิต แต่เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว กระนั้นกลับไม่มีใครอนุญาตให้เขาตาย
ชะตากรรมของเขาคือการมีชีวิตอยู่เพื่อตกนรกทั้งเป็น!
เขาหมดสติไประหว่างการพยายามช่วยชีวิตแต่ก็ยังไม่สามารถหนีนรกพ้นราวกับว่านรกนั้น ติดตามเขาไปทุกที่ ในห้วงแห่งความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเขาได้หวนคิดถึงการกระทำที่แล้วมาของตนเองพบว่าตนได้ก่อเวรกรรมมามากมายเหลือเกินและบัดนี้บรรดาคนที่เขาเคยก่อเวรกรรมด้วยกำลังเรียกหาความยุติธรรมและการแก้แค้น
เช่นนี้แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?!
ราชันไพรสัณฑ์ประทับอยู่ห่างๆ ในระหว่างที่บรรดาแพทย์กำลังพยายามช่วยชีวิตเหยื่อเพื่อให้แน่พระทัยว่าเหยื่อจะไม่ชิงตายไปเสียก่อนที่โสมจะยอมให้อภัย ไม่นานนักบรรดาแพทย์ก็ละมือออกจากเหยื่อของพระองค์แล้วกราบทูลว่ารอดชีวิตแล้วจึงทรงไล่ทุกคนออกไปพักผ่อน ส่วนพระองค์เองยังคงประทับเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของภูตผีอย่างเงียบเชียบ
พบว่าบางตนก้าวถอยออกมาด้วยความสงบแล้วยินยอมอโหสิกรรมไปอย่างง่ายดาย แต่ก็มีบางตนที่ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือไม่ยอมไปไหน
เกิดอะไรขึ้น?
ขณะที่ราชันไพรสัณฑ์กำลังตั้งคำถาม ผู้ที่ไม่น่าจะได้สติอย่างรวดเร็วหลังจากเพิ่งรอดตายก็ลืมตาขึ้น แววตาคู่นั้น ไร้แวววิกลจริตผิดจากที่ผ่านมาและมีท่าทางสงบขึ้น จนเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ริมฝีปากแห้งแตกยับเยินนั้น ขยับเป็นเสียงแห้งๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ จึงต้องทรงขยับเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น
“เกล้ากระหม่อมสำนึกผิดในสิ่งที่เคยก่อแล้ว” โสมหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนล้าแต่จริงใจ น้ำเสียงของเขาแหบแห้งเหมือนเสียงครูดของกระดาษทรายเพราะได้แผดเสียงร้องโหยหวนมาเป็นเวลานาน “เกล้ากระหม่อมวอนขอโอกาสที่จะชดเชยให้กับผู้คนได้หรือไม่พระเจ้าค่ะ”
“เจ้าเพ้อแล้วรึ” รับสั่งถามอย่างไม่แน่พระทัย
“หลังจากที่เกล้ากระหม่อมได้ชดใช้กรรมในสิ่งที่เคยทำด้วยการถูกทรมานทั้งจากคนเป็นและคนตายมาเนิ่นนานจนจำไม่ได้ เกล้ากระหม่อมได้ตระหนักแล้วว่ากรรมสนองได้โดยที่ไม่ต้องรอความตาย และคนตกนรกได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ตัวเกล้ากระหม่อมคงไม่มีวาสนาถึงขั้นได้บำเพ็ญเพียร ดังนั้น จึงขออุทิศชีวิตรับใช้พระองค์เพื่อพัฒนาการแพทย์ไว้ใช้ช่วยเหลือชีวิตคน แม้จะไม่สามารถลบล้างบาปกรรมที่เคยทำไว้ได้แต่ก็คงสามารถลดความรู้สึกผิดที่เกาะกุมจิตใจของเกล้ากระหม่อมลงได้บ้าง”
“ดูเจ้าสงบและมีสติขึ้น มาก” ราชันหนุ่มยังคงโกรธเคืองที่อีกฝ่ายทำร้ายสตรีที่พระองค์รัก แต่พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงสามีของสตรีคนหนึ่งแต่เป็นราชันผู้ปกครองของชาวเมือง ดังนั้น จึงมีบางเรื่องที่พระองค์จำต้องระลึกถึงประโยชน์ส่วนรวม
“หากชาตินี้เกล้ากระหม่อมไร้วาสนาที่จะได้ทำดีอีกต่อไป เกล้ากระหม่อมขอวอนเป็นครั้งสุดท้าย… ขอให้พระองค์ฆ่าเกล้ากระหม่อมเสียเถิดพระเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดว่ามีสิทธิ์ได้ในสิ่งที่ขออย่างนั้นรึ” ทรงพระสรวลอย่างดูแคลน พระโอษฐ์ที่ฉาบไปด้วยความเหี้ยมเกรียมบิดเป็นรอยยิ้มเขย่าขวัญคนมอง “แต่หากเจ้าอยากตาย… ข้าก็จะปรานีเจ้าสักครั้ง ให้เจ้าได้ตายสมใจ!”
โสมเป่าปากด้วยความเบื่อหน่าย นับจากวันที่ราชันไพรสัณฑ์ไปรับตนจากหน่วยแพทย์ พระองค์ก็ไม่อนุญาตให้เธอออกจากพระราชวังโดยมอบหมายให้เธอเข้าครัวทำอาหารมาให้พระองค์เสวยทุกมื้อ เมื่อแรกนั้น เธอค่อนข้างหงุดหงิดงุ่นง่านและมีความคิดจะหนีออกไปเที่ยว แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ทรงแบกรับแทนเธอเอาไว้ความพยศก็อ่อนลงและก้มหน้าก้มตาทำตามรับสั่งอย่างดี
ทุกเย็นราชันไพรสัณฑ์จะเสด็จออกไปข้างนอกแล้วกลับมากินมื้อเย็นในตอนค่ำ กลิ่นเลือดและกระอายอำมหิตที่อ้อยอิ่งอยู่รอบพระวรกายนั้น ทำให้เธอรู้ได้โดยไม่ถามว่าทรงออกไปทำอะไร แต่ราชันไม่เคยรับสั่งบอกว่าใช้วิธีไหนบ้างเพื่อแก้แค้นแทนเธอและเธอเองก็ไม่กล้าทูลถามเพราะกลัวสิ่งที่จะได้ยิน
เวลาผ่านไปกว่าสองสัปดาห์ เมื่อราชันหนุ่มเสด็จกลับมาพระตำหนักสุริยันในค่ำวันนี้ก็รับสั่งกับเธอว่า ต่อไปนี้มารร้ายที่เคยทำร้ายเธอ จะไม่มีโอกาสได้กลับมาทำร้ายใครได้อีกแล้ว เธอรับฟังด้วยความรู้สึกอันปั่นป่วนสับสน นอกจากความสะใจอันน้อยนิดแล้วเธอพบว่ากำลังกลัว และเสียใจแทนชายคนนั้น ยิ่งเห็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมของราชันก็ยิ่งอกสั่นขวัญแขวนและโทษตัวเอง
เป็นเพราะเธอไม่วางความอาฆาตแค้นจึงได้ทำให้ราชันต้องลงมืออย่างอำมหิต!
โสมยกมือขึ้น ปิดหน้าร่ำไห้อย่างอดกลั้นไม่อยู่ ลำบากให้ราชันไพรสัณฑ์ต้องพยายามปลอบใจเรียกขวัญอย่างทุลักทุเลเพราะไม่ทรงต้องการโอบกอดพระมเหสีด้วยฉลองพระองค์ที่ยังคงมีกลิ่นคาวเลือดสุดท้ายจึงตัดสินพระทัยเปลื้องฉลองพระองค์ออกแล้วโอบกอดนางเอาไว้ในพระอุระเปลือยเปล่า
“เจ้าเสียใจที่มันตายหรือ” รับสั่งถามเบาๆ ขณะลูบหลังนางเพื่อปลอบประโลม
“เขาทำร้ายฉันเอาไว้มาก แต่คงเป็นเพราะฉันรู้สึกผิดที่ทำให้ท่านต้องแบกรับความรู้สึกของฉันไปสังหารเขา ฉันก็เลยรู้สึกเสียใจมากที่เขาตาย” หญิงสาวพูดด้วยเสียงเจือสะอื้น
“แต่นี่เป็นสิ่งที่มันสมควรได้รับแล้ว” ราชันหนุ่มรับสั่ง ในพระทัยมีแผนการโหดร้ายที่ไม่ทำไม่ได้ “ข้าเลี้ยงไข้มันเอาไว้ จับมันกรอกยาพิษไม่ซ้ำชนิดแต่ไม่ยอมให้มันตาย ข้าควักเนื้อและน้ำหนองของมันทุกวัน เฝ้าดูเลือด เส้นเอ็น กระดูก และฟังเสียงกรีดร้องโหยหวนที่เหมือนสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ของมัน มันขอให้ข้าไว้ชีวิตมันทุกวันแต่ข้าจะทำเพียงแค่ยิ้มให้ความหวังแล้วลงมืออย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม”
“พอแล้ว!” เธอผลักพระอุระออกห่างแต่ไม่สำเร็จเพราะทรงรวบกอดเธอเอาไว้แนบแน่น “ปล่อยฉันนะ ฉันทนฟังไม่ไหวแล้ว”
“จะไม่ฟังหน่อยหรือว่ามันตายอย่างไร” พระสุรเสียงเหี้ยมเกรียมดังอยู่ที่ริมหูของเธอ
“ไม่! ฉันไม่อยากฟัง!”
“เจ้าไม่ได้อยากให้มันตายหรอกหรือโสม”
“ฉันไม่ได้อยากให้ใครตายอีกแล้ว!” โสมกรีดร้องทั้ง น้ำตา “ฉันเห็นคนตายมากมากและฆ่าคนตายมานับไม่ถ้วนจนสะอิดสะเอียนกับมันตอนนี้ฉันคิดว่าหากเลี่ยงการฆ่าได้ก็จะไม่ฆ่า ฉันอยากอยู่อย่างสงบเสียที!”
“ชูว์! ข้าขอโทษ ข้าไม่อยากทำแบบนี้เลยแต่ข้าจำเป็นต้องพูด” ราชันไพรสัณฑ์เปลี่ยนท่าทีเป็นปลอบขวัญ อ้อมพระพาหาแข็งกระด้างเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและทะนุถนอมจนคนในอ้อมพระพาหาผ่อนคลายลง
“ข้าได้ทรมานเจ้าโสมคนที่ทำร้ายเจ้าเช่นนั้น จริงๆ และเจ้าโสมคนนั้นก็ได้ตายไปแล้วจริงๆ เช่นกัน ในตอนนี้มีเพียงคนไร้อดีตที่ให้สัจจะวาจาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าจะอุทิศทั้ง กายและใจเพื่อรักษาชีวิตผู้คนเท่านั้น”
“ท่านว่าอะไรนะ” หญิงสาวคิดว่าตนหูฝาดไปจึงดันกายออกแล้วถอดหน้ากากภูตของราชันออกเพื่อที่จะมองแววพระเนตร
“ต่อไปนี้ทุกคนจะเรียกชายคนนั้น ว่าอุสุธรรม[1] เขาจะใช้ความรู้ทั้งหมดที่เขามีพัฒนาการแพทย์ให้ก้าวหน้า”
————————————-
[1] อุสุ แปลว่า ธนู อ้างอิงจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒
ราชันไพรสัณฑ์แย้มยิ้มให้ความมั่นใจแก่นาง “ชายคนนั้น ได้สำนึกผิดต่อสิ่งที่เขาเคยได้ทำไป เขาคิดได้แล้วว่ากรรมสนองได้โดยที่ไม่ต้องรอความตาย และคนตกนรกได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่าตัวเขาคงไม่มีวาสนาถึงขั้นได้บำเพ็ญเพียรดังนั้นจึงขออุทิศชีวิตเป็นข้ารองบาทเพื่อพัฒนาการแพทย์ไว้ใช้ช่วยเหลือชีวิตคน แม้จะไม่สามารถลบล้างบาปกรรมที่เคยทำ ไว้ได้แต่ก็สามารถลดความรู้สึกผิดที่เกาะกุมจิตใจลง”
“เขาคิดได้จริงน่ะหรือ เจ้าคนนั้นจิตไม่ปกตินะ เขาอาจจะแกล้งหลอกให้ตายใจแล้วก็คิดทรยศเราในภายหลังก็ได้” โสมทักท้วงด้วยความสับสน
เมื่อแรกเธออยากให้เขาตาย ภายหลังเธอเสียใจที่เขาตาย ต่อมาเธอกลับอยากให้เขาตายอีกแล้ว เธอครุ่นคิดอย่างมืดมนว่าทำไมจึงได้มีความคิดขัดแย้งเช่นนี้ในใจ บางทีอาจเป็นเพราะว่าถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ยังไม่สามารถตัดขาดจากโมหะและโทสะได้
“ข้าจะไม่เชื่อเขาหากข้าไม่ได้เห็นเหล่าวิญญาณที่ตามจองเวรเจ้านั่นอยู่ตลอดเวลา เมื่อเขาพูดแสดงความรู้สึกผิด เหล่าวิญญาณที่ตามจองเวรเขาก็ยอมอโหสิกรรมให้ มีเพียงบางตัวเท่านั้น ที่ยังจับจ้องรอโอกาสที่จะได้ติดตามจองล้างจองผลาญเขาอยู่” รับสั่งตอบแล้วลูบแก้มซีดของนางเบาๆ ด้วยความเวทนา “หากเขาไม่ได้สำนึกผิดจริงแล้วเหล่าวิญญาณคงไม่ยอมอโหสิกรรมให้มากถึงเพียงนั้น ดังนั้นเมื่อข้าใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ที่กณวรรธน์นครจะได้รับจึงได้ตัดสินใจให้โอกาสเขาสักครั้ง”
“ท่านพูดจริงๆ นะ” โสมเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก ความรู้สึกในใจตอนนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นแบบใด บอกได้เพียงว่าไม่ได้มีความผิดหวังอยู่เลย
“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า” ราชันหนุ่มยิ้มให้นาง “ต่อจากนี้คงต้องรักษาเขาให้หายเสียก่อนแล้วจึงค่อยให้เขามาขออโหสิกรรมกับเจ้าอย่างเป็นทางการ”
“เขาชื่ออุสุธรรมสินะ” หญิงสาวพึมพำหน้าเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง ทำให้ผู้ที่ทอดพระเนตรอยู่โล่งพระทัย “ค่อยยังชั่วหน่อยที่เจ้าโสมวิปริตคนนั้น ตายไปเสียได้หากเจ้าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ฉันคงนอนหลับไม่สนิทแน่”
“ข้ามเห็นเจ้าหลับสนิททุกคืน” ราชันไพรสัณฑ์ทรงกระเซ้าด้วยแววพระเนตรระยับพราย ทำให้คนที่ถูกมองประหม่าขัดเขินแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“กับข้าวถูกยกมารอแล้วล่ะ ถ้าไม่รีบกินมันจะเย็นชืดหมดนะ วันนี้ฉันทำน้ำพริกมะม่วง ต้มจืดปลากะพง แล้วก็แกงป่า ของหวานก็มีเงาะในน้ำเชื่อม รับรองว่าอร่อยทุกอย่าง” โสมดันตัวออกจากพระอุระเป็นผลสำเร็จ แต่แววพระเนตรยั่วเย้านั้น ทำให้เธอตาพร่าและเวียนหัวขึ้นมา
“เดี๋ยวนี้เจ้าเป็นแม่ศรีเรือนเหลือเกิน” ราชันหนุ่มรับสั่งล้อ “หากศรีศุภางค์ยังอยู่ ข้าคงคิดว่าเจ้าให้นางช่วยสอนให้นะนี่”
โสมนึกถึงแม่หญิงศรีศุภางค์คนงามและเจ้าเมืองกิติที่เดินทางกลับเกษมศานต์นครไปอย่างลับๆ ด้วยความคิดถึงขึ้นมาติดหมัด สำหรับแม่หญิงคนงามนั้นเธอคิดถึงด้วยความเอ็นดูในความน่ารักและความอ่อนหวานของนาง ส่วนเจ้าเมืองกิตินั้น เธอคิดถึงเพราะยังไม่มีโอกาสได้ตอบแทนท่านที่ทำให้เธอโดนราชันตีก้น
“เห็นอย่างนี้ฉันเองก็เป็นแม่ศรีเรือนได้เหมือนกันนั่นแหละเพียงแต่ที่แล้วมาไม่มีใครทำให้ฉันอยากเป็นแม่ศรีเรือนสักคน” เธอแสร้งทำท่าเชิดหยิ่งแล้วปรายตามองราชันด้วยแววตาที่สามารถหลอมเทียนให้เหลวได้ หากเป็นเมื่อก่อนเธอไม่มีทางทำแบบนี้ได้แน่ แต่นับจากรู้จักความรักอันลึกซึ้ง แล้วดูเหมือนจะมีจริตของผู้หญิงขึ้นมาเอง “จะมีก็คนเดียวนี่ล่ะที่น่ารักจนอยากเอาอกเอาใจทุกอย่างแบบนี้”
“เราไปที่พระแท่นบรรทมกันก่อนดีกว่านะ” ทรงชักชวนด้วยพระเนตรแวววาวแล้วยื่นพระหัตถ์ออกมาหมายจะรั้งมือบางเอาไว้ แต่โสมหัวเราะแล้วกระโดดหนีไป
“ยอมเสียดีๆ หากขัดขืนข้าจะปรับ” ราชันไพรสัณฑ์ก้าวเข้าไปหาพระมเหสีของพระองค์ด้วยมาดว่าจะรวบเอาร่างของนางมาชื่นชมให้สมพระทัย แต่อาการยืนไม่อยู่ของนางทำให้ทรงชะงัก อึดใจเดียวใบหน้าที่มีเลือดฝาดก็ซีดเผือดและดวงตาก็ปิดสนิทพร้อมกับร่างของนางที่ทรุดลงกับพื้นอย่างรวดเร็วราวกับนกปีกหัก
“โสม!”
ธรรม์มองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าด้วยหัวใจอันร้อนรุ่มแผนที่พระราชวังนั้น ท่านกรวิกยังรวบรวมมามอบให้เขาไม่ได้แต่ที่อยู่ของโสมได้วางอยู่บนตั่งข้างเตียงของเขาแล้วและเป็นเพราะเนื้อความในนั้น จึงทำให้เขาต้องร้อนรนกระวนกระวายใจเช่นนี้
โสมอยู่กับราชันไพรสัณฑ์ในพระตำหนักสุริยัน!
นางไปอยู่กับไพรสัณฑ์ได้อย่างไรกันและอยู่ด้วยกันในฐานะไหนครั้งสุดท้ายที่นางปรากฏตัวนั้น นางประกาศว่านางเป็นราชองครักษ์และเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารเสือ แต่นางกลับได้รับการปฏิบัติอย่างเทิดทูนและเคารพเชื่อฟังจากเหล่าทหารภูต
นางคงไม่ใช่… ไม่หรอก… ไม่มีทางเป็นไปได้ มันต้องมีบางอย่างผิดพลาด ต้องมีบางอย่างที่บีบบังคับนางให้
ต้องทนอยู่กับไพรสัณฑ์!
เขาเกรงว่าไพรสัณฑ์จะรู้แล้วว่านางเป็นสตรีและลงมือบังคับขืนใจให้นางอยู่ด้วยเพื่อเหยียดหยามเขา โสมคงต้องทุกข์ใจมากที่ต้องตกเป็นของไพรสัณฑ์และจำต้องอยู่กับมันเพียงเพราะไม่กล้ามาหาเขาเนื่องจากยังเข้าใจผิดว่าเขาเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นในการทำร้ายนาง
ทำไมเรื่องทั้งหมดต้องเป็นแบบนี้!
กำปั้นใหญ่ถูกชกลงบนผนังข้างๆ จนเกิดเสียงดัง เขาคิดว่ามีแนวโน้มความเป็นไปได้ที่เขาจะคาดการณ์ถูก นั่นทำให้เขานึกชิงชังไพรสัณฑ์ยิ่งกว่าเดิมเป็นหลายพันเท่า เขาอยากจะฆ่ามันเสีย แล้วพาโสมไปอยู่ในที่อันสงบสุข เขาไม่รังเกียจหากนางจะไม่ใช่สตรีผู้เป็นพรหมจารี เพราะเขารักนางเกินกว่าจะสนใจเรื่องอื่นซึ่งมีค่าน้อยกว่า!
“ท่านธรรม์ เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” เสียงของผู้ติดตามที่ดังขึ้นหน้าห้องทำให้ธรรม์ได้สติเล็กน้อย ชายหนุ่มกัดฟันข่มกลั้น อารมณ์ก่อนจะตอบกลับด้วยราบเรียบ
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องกังวล” พูดจบเสียงฝีเท้าหน้าห้องก็ดังห่างออกไป เขาเดินกลับไปทรุดตัวลงนอนบนเตียงเพื่อที่จะกอดอาภรณ์ที่ครั้งหนึ่งโสมเคยสวมใส่เป็นเครื่องกล่อมให้ใจสงบเฉกเช่นที่เคยทำทุกวัน
เขาจะต้องรอเวลาไปถึงเมื่อไหร่!
โสมรู้สึกตัวด้วยความมึนงง ภาพแรกที่เห็นคือพระพักตร์แจ่มใสของราชันไพรสัณฑ์ที่ประทับนั่งอยู่ข้างกาย ราชันหนุ่มทรงประคองร่างของเธอขึ้น นั่งซ้อนพระอุระแล้วทรงโอบกอดเธอเอาไว้อย่างนุ่มนวล พระหนุกดลงบนไหล่ของเธอพลางกดจูบเบาๆ อย่างอ่อนหวาน
“จำเป็นต้องต้อนรับคนเพิ่งฟื้นจากการเป็นลมดีขนาดนี้เลยหรือ” โสมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียเล็กน้อยเพราะยังมึนหัวไม่หาย “เกิดมาก็เพิ่งเป็นลมเพราะหิวข้าวครั้งนี้นี่แหละ”
“ถ้าอย่างนั้น กินข้าวกันดีกว่านะจ๊ะ” ราชันไพรสัณฑ์โอบจนแทบจะเป็นอุ้มให้โสมไปนั่งหน้าสำรับข้าว ทั้งยังอาสาป้อนข้าวป้อนน้ำให้นางอีกด้วย
“แค่เป็นลมก็ดูแลกันดีขนาดนี้ฉันจะเป็นลมบ่อยๆ เลยดีไหมเนี่ย” หญิงสาวเย้าแก้เก้อเพราะรู้สึกเขินแววพระเนตรที่ทอดมา
“ต่อไปนี้เจ้าคงต้องกินยาเพิ่มแล้วล่ะ” ทรงรับสั่งให้นางรู้ข่าวใหม่
“เท่าที่กินอยู่ก็แทบจะทำให้ฉันกลายเป็นกระปุกยาเคลื่อนที่แล้วนะ” เธอโวยวายเสียงหลง ยาขมก็รู้ว่าเป็นยาดี แต่ใครเขาจะอยากกินทุกวันกันล่ะ นี่ยังจะถูกบังคับให้กินเพิ่มอีกด้วย แค่คิดก็สยองแล้ว
“เจ้าจำเป็นต้องกินจริงๆ นะจ๊ะ” ทรงใช้น้ำเย็นเข้าลูบ “แล้วอาหารการกินก็ต้องระมัดระวังขึ้นด้วย การเดินเหินก็ต้องระวังมากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว จะวิ่งกระโดดโลดเต้นเหมือนเดิมอีกไม่ได้แล้วนะ”
“โอ๊ย! ข้อห้ามเยอะแยะไปหมด” เธอกำลังจะประท้วงต่อ แต่ทันทีที่จะพูดข้าวก็ถูกส่งเข้าปากจนไม่สามารถพูดได้
“แล้วก็ห้ามไปไหนโดยไม่มีใครคอยติดตาม ห้ามหนีไปเที่ยวในเมืองช่วงนี้ด้วย มันอันตราย” ราชันหนุ่มรับสั่งต่อไปอย่างไม่สนแววตาขุ่นเขียวของพระมเหสีของพระองค์ “ข้าจะมอบหมายหน้าที่ใหม่ให้ เจ้าต้องกรองอุบะติดบานหน้าต่างและข้าอนุญาตให้เจ้าไปที่อุทยานได้เพียงที่เดียว”
“แบบนี้ได้ยังไง แล้วทหารภูตกับทหารเสือที่ฉันกำลังฝึกให้พวกเขาทำงานร่วมกันสำเร็จล่ะจะว่ายังไง” โสมรีบแย้งเร็วๆ เพราะกลัวจะโดนป้อนข้าวอีก “ฉันอุตส่าห์หาเวลาไปฝึกซ้อมพวกเขาอย่างลำบากจนเหล่าเสือสมิงยอมรับพวกทหารภูตเข้าเป็นพรรคพวกแล้วนะ”
“หลังจากนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกทหารภูตที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของเจ้าเอง”
“ทีตอนที่ท่านให้ฉันไปทำกับข้าวฉันยังโดดไปฝึกซ้อมพวกเขาได้เลย ทำไมพอเปลี่ยนหน้าที่มาร้อยดอกไม้ถึงทำไม่ได้”
“ก็ตอนนั้น เจ้ายังไม่ได้ท้องนี่” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งด้วยพระสุรเสียงทุ่มนุ่มนวล ดวงตาอ่อนแสงลงด้วยความปิติ
“ฉันไม่เชื่อ!” โสมร้องเสียงดังด้วยความตกใจและไม่เชื่อถือ “ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ อะไรมันจะเร็วขนาดนั้น!”
“ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะจ้ะ” ราชันหนุ่มวางช้อนข้าวแล้วลูบหลังลูบไหล่นางเบาๆ อย่างปลอบโยน “ข้าให้หมอมาตรวจอาการของเจ้าแล้วบวกกับการที่เจ้ามีระดูครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะเป็นสามีภรรยากันนานหลายสัปดาห์ ถึงอย่างไรก็มีความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่เจ้าจะกำลังท้องลูกของเราอยู่”
“ท่านรู้ได้ยังไงว่าระดูของฉันมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ก็เป็นข้ามิใช่หรือที่คอยดูแลเจ้าตลอดเวลาที่เจ้าป่วย และเจ้าก็ป่วยหนักอยู่เป็นเดือนนะโสม”
“ท่านอย่าบอกนะว่าเป็นคนคอยดูแลความสะอาดให้ฉันน่ะ”
หญิงสาวเบิกตาโต รู้สึกทั้งโกรธทั้งอาย “ท่านทำได้ยังไงกัน นี่มันเรื่องส่วนตัวของผู้หญิงนะ แล้วผู้ชายที่มีของขลังหรือมีวิชาติดตัวน่ะเขาไม่แตะต้องระดูผู้หญิงไม่ใช่หรือ”
“หนึ่งในเจตนานี้ของครูบาอาจารย์มีเพื่อไม่ให้บุรุษล่วงเกินหรือรังแกแม่หญิงยามที่แม่หญิงไม่สบายตัว แต่ในกรณีเจ้าหากข้าไม่ช่วยดูแลสิจะลำบาก”
“แต่จะไม่ให้ฉันทำงานของฉันเลยงั้นหรือ” เธอถามด้วยความกังวลเนื่องจากเป็นห่วงงานหลายเรื่องที่ตนทำค้างเอาไว้ เกรงว่าจะไม่มีใครมาสานต่อได้
“ข้าก็จะสานต่อให้เอง ทีนี้วางใจแล้วหรือไม่” รับสั่งอย่างพระทัยเย็น “หรือเจ้าไม่ไว้ใจในความสามารถของข้า”
“เปล่านะ! ฉันไว้ใจความสามารถของท่านมากกว่าที่ไว้ใจความสามารถของตัวเองอีก” โสมปฏิเสธแล้วถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม “ฉันจะเป็นแม่คน ฉันจะทำตัวยังไงดี แล้วจะเลี้ยงเขายังไง”
“สำหรับตอนนี้ก็ช่วยดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้น อย่ากระโดดโลดเต้นจนเกินไป แล้วก็อย่าเครียดก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด”
“ภาระของท่านอีกแล้ว” หญิงสาวพึมพำหน้าม่อย “ทุกวันนี้ท่านแบกภาระของกณวรรธน์นครกับภาระของตัวเองก็แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว ยังต้องมาแบกภาระของฉันอีกหรือ”
“ข้าเต็มใจเสียอย่าง” ทรงพระสรวลเสียงดังด้วยความเบิกบานจนขับไล่ความเศร้าหมองในใจของโสมได้ “อีกอย่าง… ความจริงแล้วภาระนี้ข้าเป็นคนทำให้เกิดขึ้นเองด้วยนะ”
“อ้อ… สำนึกแล้วสินะ” เธอกระแอมเบาๆ ทั้งหน้าแดง ถึงอย่างไรก็ไม่ชินกับการที่ราชันไพรสัณฑ์จะกระเซ้าเธอเรื่องร่วมเรียงเคียงหมอนเสียที “ถ้าอย่างนั้น ก็แบกภาระนี้เสียให้หนัก”
“คนที่ต้องแบกต้องอุ้มไปอีกหลายเดือนน่ะเป็นเจ้าต่างหาก”
“อ๊าว! อีตาคนนี้อยู่ๆ พูดปัดความรับผิดชอบเฉยเลย” โสมแกล้งโวยวายทั้งที่นึกสนุกในอารมณ์ขันของพระองค์
“เจ้าก็อุ้มท้องลูกไปสิ ข้าจะอุ้มเจ้าเอง” ราชันหนุ่มรับสั่งเสร็จก็จูบแก้มนุ่มๆ ของนางไปหลายทีด้วยแสนรัก “ข้าฝันมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้วว่าอยากมีครอบครัวกับเจ้า ไม่คาดฝันจะเป็นจริงเร็วเหลือเกิน ข้าขอบใจเจ้าเหลือเกินแล้วจ้ะ”
“นี่มันแค่เริ่มต้นเองนะ” หญิงสาวกระแอมอย่างขัดเขินแล้วเสริมด้วยคำขู่ “คอยดูเถอะ ถ้าลูกออกมาแล้วนิสัยเหมือนฉันราวกับพิมพ์เดียวท่านจะหนาว”
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะมีลูกอีกหลายๆ คน ต้องมีสักคนที่มีนิสัยเหมือนข้าบ้าง” ราชันไพรสัณฑ์ทรงพระสรวลและจุมพิตปิดปากคนปากดีเสียโดยพลัน
ไม่รู้เสียบ้างเลยโสมเอ๋ย เจ้าน่ะยิ่งพูดก็เปิดโอกาสให้ข้า แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนนะ!