Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 48

ตอนที่ ๔๘

ความหวังสุดท้าย

ธรรม์คุมแค้นแสนสาหัสที่ตนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ต่อหน้าศัตรู

ชายหนุ่มกัดฟันแน่นแล้วรวบรวมกำลังจิตให้แข็งกล้าเพื่อที่จะต่อสู้กับอีกฝ่ายได้ แม้จะต้องตายแต่อย่างน้อยก็ขอให้ตายอย่างสมเกียรติไม่ใช่ถูกเขาฆ่าตายโดยไม่มีโอกาสได้ต่อสู้

“สภาพของเจ้า… ดูคล้ายโสมตอนที่ข้าไปช่วยนางออกมาจากกระท่อมนรกนั่นเหลือเกิน” ราชันไพรสัณฑ์รับสั่งเนิบๆ ทอดพระเนตรสีหน้าและแววตาคนแพ้ของอีกฝ่ายด้วยความสมเพชเวทนา

“เจ้าแย่งนางไปจากข้า!” ชายหนุ่มตวาดด้วยความเจ็บแค้นใจจึงทำให้สมาธิแตกซ่าน

“เจ้าทำร้ายนางถึงเพียงนั้นแล้ว ยังกล้ามาพูดเช่นนี้อีกหรือ!” พระหัตถ์ใหญ่เงื้อง่าคล้ายจะลงมือแต่ชะงักงันอยู่แค่กลางอากาศก่อนจะลดพระหัตถ์ลง “ข้าไม่อยากสัมผัสเจ้าให้มือมีราคีหรอก”

“นางเข้าใจข้าผิด” ธรรม์ครางด้วยความสิ้นหวัง เขาจะมีโอกาสได้บอกความจริงแก่นางหรือไม่หนอในเมื่อตอนนี้ชีวิตตกอยู่ในกำมือของไพรสัณฑ์เสียแล้ว

“ผิดแล้วอย่างไร ไม่ผิดแล้วอย่างไร ในเมื่อเดี๋ยวเจ้าก็จะตายอยู่แล้ว” ราชันหนุ่มรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเหี้ยมเกรียม “แต่หากเจ้าตายง่ายเกินไปมันก็ไม่ยุติธรรม ข้าจะยินยอมให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อจนกว่าจันทราจะลาลับดีหรือไม่”

“เจ้า!” ชายหนุ่มผู้พ่ายแพ้คำรามลั่นอย่างชิงชังรังเกียจและอาฆาตมาดร้ายเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาลิ้มรสความทรมานของพิษสาปจันทราไปอีกเนิ่นนานก่อนตาย

“ข้าจะให้หมอมาดูแลแผลของเจ้าและยื้อชีวิตของเจ้าเอาไว้ให้ยาวนานที่สุด” สิ้นรับสั่ง เหล่าแพทย์ก็ตรงเข้ามารุมกลุ้มคนเจ็บทันทีโดยที่ราชันไพรสัณฑ์ถอยไปประทับนั่งดูอาการทุรนทุรายของคนเจ็บด้วยความสบายพระทัย

แค่เยียวยาให้ทุเลา หาใช่การรักษาให้หายไม่!

ราชันหนุ่มอยู่ทอดพระเนตรความทุกข์ทรมานของธรรม์จนกระทั่งท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงและยินเสียงคำรามลั่นฟ้าของเหล่าทหารเสือ พระองค์จึงค่อยรับสั่งให้ทหารภูตสังหารคนเจ็บคนอื่นเสียให้หมด เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ เงียบหายไปเพราะความทุกข์ทรมานยุติลงด้วยความตาย จนกระทั่งเหลือเพียงแค่ธรรม์เท่านั้น ที่ยังไม่มี

สิทธิ์ได้รับการุณยฆาต

“อย่าให้เขาตายไปเสียก่อนที่ข้าจะกลับมา”

“พระเจ้าค่ะ”

“หิรัญ” รับสั่งเรียกเพียงครั้งเดียว บุคคลที่ถูกเรียกก็มาปรากฏขึ้นหน้าพระพักตร์ “เจ้ารั้งดูอยู่ที่นี่”

“พระเจ้าค่ะ”

ราชันไพรสัณฑ์ไปตรวจสถานการณ์ทุกสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายภาพที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคือเหล่าทหารเสือและเหล่าทหารภูตแต่ละหน่วยที่ฆ่าฟันคนจนเลือดหลั่งนองพื้น เสียงอาวุธปืนดังกึกก้องกระชากวิญญาณผู้ถูกดวงตาอำมหิตของมันสบจ้อง เสียงกรีดร้อง เสียงร้องขอชีวิตและเสียงครางโหยหวนของผู้ที่ใกล้ตายเปรียบเสมือบทเพลงปีศาจที่

ขับกล่อมเหล่าทหารให้เริงระบำสังหารมากยิ่งขึ้น การสังหารในคืนนี้ทำให้พระองค์รู้สึกสลดพระทัยมากกว่าความสมพระทัย

เมื่อใดหนอที่พระองค์จะหยุดสังหารคนได้

เมื่อราชันไพรสัณฑ์จากไปแล้ว ธรรม์จึงค่อยมีสมาธิที่จะรวบรวมจิตของตนให้กล้าแข็ง ความรู้สึกของชายหนุ่มปั่นป่วนสับสนจนแทบจะทำให้บ้าคลั่ง เขารู้ตัวว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปมีแนวโน้มสูงที่เขาจะต้องตายเพราะทนพิษบาดแผลและทนฤทธิ์ยาพิษไม่ไหวแต่ถึงหลบหนีก็ไม่แน่ว่าจะรอด

เขาหมดสิ้นหนทางแล้วอย่างแท้จริง!

ดังนั้น เขาจึงคิดจะใช้พลังจิตพลังใจครั้งสุดท้ายเพื่อพาตัวเองไปหาผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด เขาจะไม่ยอมให้นางต้องเข้าใจเขาผิดและหากนางเข้าใจเขาแล้วเขาอาจจะรอดตาย นางจะต้องหาวิธีรักษาเขาอย่างสุดกำลังเป็นแน่ นางจึงเป็นความหวังครั้งสุดท้ายในชีวิตของเขา ด้วยความหวังและความมุ่งมั่นนี้ทำให้ธรรม์สามารถรวบรวมกำลังใจจนแข็ง

กล้า ความฮึกเหิมเร่งเร้าให้พลังจิตเข้มแข็ง ชายหนุ่มฉวยโอกาสตอนที่ร่างกายกำลังทุเลาจากพิษบาดแผลและพิษยากำหนดเจตจำนงใช้อาคมเรียกพายุลูกใหญ่พัดคนรอบข้างกระเด็นออกห่างจากตนแล้วเรียกอาคมย่อจักวาลขึ้น ตรงหน้า ไม่คาดว่าก่อนที่เขาจะได้พาตัวเองหลบหนีไปกลับถูกราชองครักษ์หิรัญขัดขวางด้วยพายุหอบใหญ่ทำให้เขาเสียหลักถลา

ออกห่างจากเขตอาคมย่อจักรวาล

ธรรม์คำรามก้องด้วยความโมโหและเคียดแค้น หากเขาสู้กับอีกฝ่ายจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่เพราะเหล่าทหารภูตกว่าห้าสิบนายในที่นี้จะต้องระดมกำลังกัน ดังนั้นมีทางเดียวคือพยายามหนีไปให้เร็วที่สุด แต่การวิ่งไปยังอาคมย่อจักรวาลนั้นทำให้เสียเวลา เขาจึงใช้อาคมเรียกพายุลูกใหญ่หอบตัวเองพุ่งเข้าหาอาคมท่ามกลางความคาดไม่ถึงของทุกคนซึ่งขัดขวางเขาไม่ทัน

สถานที่เป้าหมายของเขาก็คือบริเวณหน้าพระราชวัง!

ราชองครักษ์หิรัญสบถออกมายาวเหยียดก่อนจะออกคำสั่งให้เหล่าทหารภูตทุกนายแบ่งกำลังกันออกตามหาราชันไพรสัณฑ์เพื่อกราบทูลความว่าธรรม์หลบหนีไปได้และให้เหล่าแพทย์แบ่งหน่วยกันไปประจำตามสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายในการสังหารล้างตระกูล ส่วนตัวเขาจะรุดไปคอยอารักขาพระมเหสีซึ่งเป็นบุคคลที่ธรรม์อาจจะเดินทางไปหา แต่ก่อนที่ทุกคนจะได้แยกย้ายกันไปทหารภูตนายหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น อย่างเร่งร้อนด้วยอาคมย่อจักรวาล

“ราชันไพรสัณฑ์อยู่ที่ใด!” ทหารภูตนายนั้นร้องถามเมื่อมองไม่เห็นราชัน

“พระองค์เดินทางไปสังเกตการณ์ยังที่ต่างๆ” ราชองครักษ์หิรัญตอบ “พวกเรากำลังออกตามหาพระองค์อยู่”

“เช่นนั้น จงกราบทูลพระองค์ด้วยว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว” ทหารภูตนายนั้นตะโกนเพื่อให้ทุกคนรับรู้ได้ทั่วกัน “ทัพจากอสุรนครภายใต้การนำทัพของอุคราเคลื่อนมาจวนจะถึงกณวรรธน์นครแล้ว!”

ราชันไพรสัณฑ์กำลังทอดพระเนตรเสือสมิงที่ยกอุ้งเท้าซึ่งมีเล็บคมกริบตะปบศีรษะเหยื่อจนขาดเมื่อมีทหารภูตสองนายใช้อาคมย่อจักรวาลมาที่นี่ ทั้งสองทำความเคารพตามแบบทหารภูตแล้วรีบถวายคำรายงานเรื่องสำคัญด้วยความเร่งร้อน

“ทหารภูตหน่วยที่รั้งรักษาการอยู่รอบกำแพงเมืองรายงานมาว่าทัพจากอสุรนครภายใต้การนำทัพของอุคราเคลื่อนมาจวนจะถึงกณวรรธน์นครแล้วพระเจ้าค่ะ”

“อ้อ” แม้จะหนักพระทัยกับข่าวและเต็มไปด้วยความสงสัยวัตถุประสงค์ของทัพจากอสุรนครที่เป็นมิตรไมตรีกันมาตั้ง แต่รัชสมัยราชันอคิราภ์แต่พระองค์ก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ “ทำไมถึงเพิ่งตรวจพบตอนที่ทัพเคลื่อนมาใกล้จะถึงแล้ว”

“ไม่มีวี่แววของทัพอสุรมาก่อน จนกระทั่งทัพเคลื่อนมาใกล้จะถึงสันนิษฐานว่าทัพของเจ้าแห่งอาคมนั้น คงสังหารผู้ส่งสารและใช้อาคมเพื่อซ่อนงำการเคลื่อนไหวของตนพระเจ้าค่ะ”

“ตีกลองเมืองประกาศให้ชาวบ้านรู้ว่าบ้านเมืองอยู่ในภาวะสงคราม” ราชันไพรสัณฑ์ตัดสินพระทัยอย่างรวดเร็วและกำลังจะเรียกอาคมย่อจักรวาลเพื่อไปยังบริเวณกำแพงเมือง แต่ถูกทหารภูตทั้งสองนายรั้งเอาไว้ก่อน

“เดี๋ยวก่อนพระเจ้าค่ะ พวกเรายังมีข่าวสำคัญที่จะต้องกราบทูลกระองค์อีก”

“รีบว่ามา”

“ธรรม์หนีไปได้ ส่วนราชองครักษ์หิรัญได้เดินทางกลับพระตำหนักสุริยันเพื่ออารักขาพระมเหสีพระเจ้าค่ะ”

ราชันไพรสัณฑ์กำพระหัตถ์แน่นด้วยความเจ็บแค้นพระทัยที่ศัตรูคนสำคัญหลบหนีไปได้ แต่จะโทษใครในเมื่อคนที่ปล่อยให้ธรรม์มีชีวิตอยู่ก็คือพระองค์ ทั้งที่รู้ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายที่รอบจัดและเก่งกล้าสามารถ

กระนั้นก็ยังพอโล่งพระทัยอยู่บ้างที่หิรัญเดินทางไปคอยอารักขาโสมแล้ว อย่างน้อยหิรัญก็ฉลาดและมีฝีมือพอที่จะต่อกรกับธรรม์ที่กำลังบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งในพระราชวังก็ยังมีทหารหน่วยอื่นๆ รักษาการอยู่คงพอที่จะขัดขวางธรรม์ได้หากเขาไปที่นั่นจริงๆ

“ไปประกาศให้ทั่วว่า ทหารภูตและทหารเสือนายใดปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ให้ไปรวมพลกันที่กำแพงเมือง”

“พระเจ้าค่ะ!”

ราชองครักษ์หิรัญมาถึงพระตำหนักสุริยันอย่างเงียบเชียบ ชายหนุ่มสั่งให้ทหารภูตตรึงกำลังอย่างแน่นหนาแล้วออกคำสั่งให้ทหารทุกหน่วยในพระราชวังตรวจตราอย่างแข็งขัน ไม่นานนักก็มีทหารหน่วยหนึ่งมารายงานว่ามีชายสภาพบาดเจ็บคนหนึ่งบุกเข้ามาในเขตพระราชวังและใช้วิชาอาคมสังหารคนมากมาย ชายหนุ่มยืนนิ่งคิดด้วยความเคร่งเครียด

เพราะสันนิษฐานว่าชายคนนั้น น่าจะเป็นธรรม์ เขากวาดตานับจำนวนทหารภูตที่รักษาการอยู่ที่พระตำหนักสุริยันพบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น เจ็ดนาย

หากจะรวมกำลังกันเพื่อต่อสู้กับธรรม์ซึ่งมีอาคมเก่งกล้าเทียมราชันแล้วอาจจะพอต่อสู้ได้เพราะธรรม์บาดเจ็บสาหัสอยู่แต่สิ่งที่เขากำลังหนักใจคือจะทำอย่างไรต่อไป หากเขายกพลไปจัดการกับธรรม์ตอนนี้ก็เกรงว่าจะเกิดความผิดพลาดทำให้ธรรม์เดินทางมายังพระตำหนักสุริยันได้ง่ายขึ้นเพราะเขาไม่รู้ว่าธรรม์รู้เกี่ยวกับพระราชวังมากแค่ไหน แต่หากรั้งอยู่ที่นี่ทุกคนก็จะเป็นเพียงฝ่ายรับและเป็นการเสี่ยงต่อพระมเหสีโสมมากเกินไป กระนั้นเวลาก็งวดเข้ามาทุกทีแล้ว

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเลือกความเสี่ยงที่น้อยกว่าด้วยการรั้งอยู่ที่พระตำหนักสุริยัน เนื่องจากเป็นไปได้ยากที่ธรรม์จะรู้แผนผังพระราชวัง เขาสั่งให้ทหารหน่วยนั้น กลับไปทำหน้าที่ของตนแล้วเรียกรวมพลเพื่อร่ายอาคมปกป้องพระตำหนักเพิ่มจากที่ราชันไพรสัณฑ์ทรงลงอาคมเอาไว้

งานนี้จะต้องมีการหลั่งเลือด!

ธรรม์เรียกโหงพรายที่ดุร้ายจำนวนหลายสิบตนออกมาเข่นฆ่าสังหารผู้ที่ริอาจมาขัดขวางและแบ่งกำลังโหงพรายอีกจำนวนหนึ่งเพื่อค้นหาที่อยู่ของโสม การที่ต้องควบคุมคาถาอาคมรวมทั้งโหงพรายนั้น ใช้พลังจิตพลังใจมากทำให้อาการที่ทุเลาลงได้กำเริบหนักขึ้น แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพบหน้าหญิงอันเป็นที่รักเขาจึงกัดฟันทนได้ เหล่าโหงพรายกรีดร้องโหยหวนและลงมือเข่นฆ่าด้วยความบ้าคลั่ง กรงเล็บยาวฉีกกระชากร่างมนุษย์กระจายออกเป็นหลายส่วน ชิ้น อวัยวะสาดกระจายทั่วพื้นย้อมจนเป็นสีแดงฉาน ธรรม์พยุงร่างตัวเองเหยียบยํ่าฝ่ากองเลือดและอวัยวะมนุษย์ไปอย่างเย็นชา มุ่งหมายเพียงการบุกรุกเข้าสู่ส่วนที่ลึกขึ้นของพระราชวังซึ่งหญิงอันเป็นที่รักอาจพำนักอยู่เท่านั้น

โหงพรายที่ถูกส่งให้ไปค้นหาตำแหน่งที่โสมน่าจะพำนักอยู่ได้กลับมาพร้อมกระซิบบอกตำแหน่งพระตำหนักซึ่งมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาผิดปกติ ธรรม์ยิ้มอย่างคาดหวังและเหี้ยมเกรียมขณะสั่งให้โหงพรายนำทางไป เขาแน่ใจว่าเมื่อไปถึงที่นั่นเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับทหารภูต แต่นอกจากไพรสัณฑ์แล้วทุกคนล้วนไม่ใช่คู่มือของเขาทั้งสิ้น

และเขามั่นใจว่าแม้ตนจะบาดเจ็บสาหัสแต่กำลังใจยังกล้าแข็งและมีประสบการณ์มากกว่า ต่อให้ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันยํ่าแย่ อย่างมากก็แค่สู้กันอย่างสูสีเท่านั้น!

ราชันไพรสัณฑ์ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเพื่อทอดพระเนตรทัพอสุรซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ผู้ชาญอาคมด้วยความเยือกเย็น ผู้ที่อยู่บนหลังม้าและดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพก็คืออุครา บุตรชายของเจ้าเมืองอคัมย์ ส่วนตัวเจ้าเมืองนั้น พระองค์ไม่เห็นท่านอยู่ร่วมในกองทัพซึ่งประกอบช้างม้าและอาวุธหลากหลายรวมถึงกุมารและโหงพรายที่กระซ่านกระสันการเข่นฆ่าจนพากันกรีดร้องคำรามลั่นฟ้า แต่ต่อให้ดุร้ายเท่าไร หากขัดขวางหรือหน่วงรั้งพระองค์จากการไปอยู่เคียงข้างโสมที่พระตำหนักสุริยันมากกว่านี้ พระองค์จะสังหารเสียให้หมด!

เหล่าทหารภูตยืนมองกองทัพตรงหน้าอย่างเฉยชาและไม่ขยับกายจนแทบจะกลืนหายไปในราตรี บัดนี้ทหารภูตจากทั่วทุกที่ได้มารวมตัวกันกลายเป็นกองทัพไร้พ่าย เหล่าเสือสมิงเองก็เดินเยื้องย่างอย่างองอาจไปนั่งอยู่เคียงข้างราชันหนุ่มอย่างสงบและเชื่อฟัง ขอเพียงผู้เป็นราชันทรงประสงค์ พวกมันก็จะปลดปล่อยตัวเองสู่ความเหี้ยมเกรียมและความดุ

ร้ายของเผ่าพันธุ์ฉีกกระชากศัตรูอย่างไร้ปรานี!

ราชันไพรสัณฑ์ร่ายอาคมปกป้องกณวรรธน์นครให้เหล่าโหงพรายและกุมารของฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถฝ่าปราการอาคมเข้าไปทำร้ายชาวเมืองได้โดยมีทหารภูตมากกว่าแปดร้อยนายร่วมกันร่ายอาคมสนับสนุน ท้องฟ้าในราตรีนี้พลันปั่นป่วน ก้อนเมฆเร้นหาย เหลือเพียงพระจันทร์โลหิตดวงโตที่ย้อมผืนฟ้าและผืนดินเป็นสีแดงฉานและทำให้อาถรรพ์ทั้งหลายเพิ่มกำลังจนถึงจุดสูงสุด

“เจ้าทำลายน้ำมิตรไมตรีระหว่างเมืองด้วยเหตุอะไร” เมื่อร่ายอาคมเสร็จจึงรับสั่งถามแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามด้วยเสียงอันดังก้องฟ้า

“ท่านกักตัวศรีศุภางค์เอาไว้” ชายหนุ่มผู้ใจร้อนตอบโต้ด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน “ข้าจะมารับนางกลับไป หากท่านไม่คืนนางให้ข้า เราจะต้องทำสงครามกัน”

“เจ้ายกทัพมาที่นี่เพียงเพราะต้องการผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นหรือ” ราชันไพรสัณฑ์กริ้วนักที่อีกฝ่ายทำให้พระองค์ต้องเสียเวลาในการปกป้องคุ้มครองโสมเพียงเพื่อเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะสั่งสอนให้อีกฝ่าย ดังนั้นพระองค์จึงรับสั่งตัดปัญหาสั้นๆ “ศรีศุภางค์กลับเกษมศานต์นครพร้อมกับท่านกิตติตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนแล้ว”

“ข้าไม่เชื่อ สายข่าวของข้าบอกว่าท่านกิตติและศรีศุภางค์ยังไม่กลับถึงเมือง เจ้ากักตัวนางเอาไว้เพื่อที่จะข่มเหงนางใช่หรือไม่ คืนนางมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

“ข้าได้พูดความจริงไปแล้ว” ราชันหนุ่มพยายามข่มโทสะ “จงยกทัพกลับไปเสีย แล้วข้าจะถือเสียว่าเรื่องวันนี้ไม่ได้เกิดขึ้น”

“ในเมื่อพูดไม่รู้เรื่องก็ต้องรบ!”

“เจ้ามีอำนาจพอที่จะสั่งเคลื่อนทัพได้อย่างไร” พระองค์พยายามข่มพระทัยให้เย็นลง ทรงไม่เชื่อว่าอุคราซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มมุทะลุจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้าเมืองอคัมย์ให้ควบคุมทัพได้ เรื่องนี้มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง หากพระองค์ลงมือทำอะไรไปจะเกิดความสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย ทั้งในด้านความสัมพันธ์และทรัพย์ยากรต่างๆ

“ข้ามีตราแม่ทัพ” เด็กหนุ่มชูตราแม่ทัพขึ้น

“เจ้าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่”

“เรื่องนั้น ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า!”

“เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลา” โทสะที่พยายามข่มกลั้นหลุดออกเป็นอิสระทันที “ในเมื่อบอกไม่เข้าใจ เตือนไม่ฟัง อยากจะรบนักข้าก็จะรบและข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้ามาสังเวยโทสะของข้าเสีย”

“โอหัง!”

การรบเริ่มต้นขึ้นอย่างดิบเถื่อนและปราศจากพิธีการ เหล่าทหารภูตปลดปล่อยวิญญาณโหงพราย กุมารและวิญญาณของพี่น้องทหารภูตที่พลีตนเป็นอาวุธเข้าห้ำหั่นกับศัตรูอย่างเต็มกำลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเหิมเกริมและความเจ็บปวดดังสลับเคล้ากันจนน่าสยดสยอง

เหล่าเสือสมิงปลดปล่อยสัญชาติญาณเข่นฆ่าของตนกระโจนบุกเข้าสู่วงล้อมศัตรูและฉีกกระชากอีกฝ่ายออกเป็นชิ้น ๆ ราชันไพรสัณฑ์ร่ายอาคมทำให้ลมฟ้าอากาศวิปโยคต่อสู้กับอาคมของอุคราซึ่งเป็นไปอย่างมุทะลุดุดันและขาดประสบการณ์

ราชันหน้ากากภูตทรงหยอกล้อศัตรูให้เกิดความหวังว่าอาจชนะศึกแล้วค่อยลงมือทำลายความหวังนั้นให้พังลงอย่างละเมียดละไม ตลอดเวลานั้น พระองค์ไม่ได้ขยับไปไหนนอกจากบัญชาการอยู่บนกำแพงเมือง แต่อุคราต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อที่จะเข้าใกล้กำแพงเมืองให้มากขึ้น แต่ก็มักจะถูกขัดขวางจนพลาดทุกครั้งไป กระนั้นเด็กหนุ่มผู้ดื้อ รั้นก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขายังคงพยายามฝ่าการป้องกันที่เข้มแข็งและเป็นระบบระเบียบมาทีละนิดและทำให้ราชันหนุ่มแปลกพระทัยเมื่อเขาสามารถฝ่าการป้องกันมาจนถึงครึ่งทางได้

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าถอนทัพอีกครั้ง” ราชันไพรสัณฑ์พยายามให้โอกาส แต่ท่าทางอุคราจะไม่นำพาเพราะเอาแต่งมงายและดันทุรังในความคิดและความต้องการของตนจนขาดการตรึกตรอง

“อย่าพูดมาก จะอย่างไรข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าได้ศรีศุภางค์ไป!”

“เจ้าเด็กอมมือไม่รู้จักโต” ทรงพระสรวลเสียงเหี้ยมเกรียมและลงมือหนักหน่วงขึ้น สายลมอันคมกริบกรีดผ่านเนื้อ หนังของเด็กหนุ่มหลายรอยจนกระทั่งเลือดหลั่งโทรมกาย “เจ้ามองไปรอบๆ สิอุครา แล้วคิดสิว่าเจ้ากำลังได้เปรียบหรือเสียเปรียบ”

เด็กหนุ่มแทบจะทรุดลงเพราะพลังกดดันของราชันไพรสัณฑ์ซึ่งประทับตระหง่านประดุจขุนเขาอยู่บนกำแพงเมือง เขาเหลือบมองไปโดยรอบอย่างระมัดระวังพบว่าผู้ติดตามที่วางเอาไว้ให้คอยอารักขากำลังรับมือกับทหารภูตอย่างหนักหน่วงจนไม่มีเวลามาสนใจเขา ทหารหลายนายพ่ายแพ้และต้องสังเวยชีวิตภายใต้คมเขี้ยว กรงเล็บและพละกำลังของเสือสมิงซึ่งอำนาจอาคมไม่อาจเอาชนะได้ ชาวอสุรผู้ถือดีว่าตนเป็นเผ่าพันธุ์แห่งอาคมกำลังตกอยู่ในสถานะเป็นรองและอาจจะพ่ายแพ้!

“เจ้าสมควรได้รับบทเรียนอันสาสม หากรอดชีวิตไปภายภาคหน้าจะได้รู้จักคิดมากขึ้น ” สิ้นรับสั่งท้องฟ้าก็ร้องคำรามกร้าว เมฆลมปั่นป่วนเป็นพายุใหญ่แล้วฝนโลหิตก็กระหน่ำลงมา เหล่าทหารภูตรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ตั้งแต่มีเสียงฟ้าคำราม ดังนั้นพวกเขาจึงร่ายอาคมป้องกันฝนอาถรรพ์ได้ทันการ แต่ศัตรูผู้ไม่รู้ต้องอาคมอาถรรพ์ไปอย่างช่วยเหลือไม่ได้ ทุกผู้ทุกนายพากันทรุดลงงอก่องอขิงพลางร้องครวญครางด้วยความสะบัดร้อนสะบัดหนาวเหมือนถูกจับโยนไปในกองไฟและกองน้ำแข็งพร้อมๆ กัน

หรือนี่คือก้าวแรกสู่ความพ่ายแพ้และจุดจบของทัพอสุร!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!