Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 5

ตอนที่ ๕

ชายนิรนาม

โสม พยัคฆ์ดำรงเดินไปตามแนวป่าซึ่งเป็นทางลัดกลับเขตต้องห้ามด้วยจิตใจว้าวุ่น เกิดมายังไม่เคยจูบกับผู้หญิงด้วยกันเลยสักครั้ง

เพิ่งรู้ว่ามันรู้สึกพิพักพิพ่วนมากกว่าที่เคยจินตนาการเอาไว้เสียอีก แล้วทีนี้เธอจะหาอะไรมาล้างปากล่ะมันรู้สึกแปลกในปากพิลึก ไอ้รสขมๆ นี่ก็ซ่านอาบไปทั่วลิ้น จนแทบจะบอกได้เลยว่าเธอกับหญิงคนงามนั่นทำอะไรกัน

อึ๋ย! ไม่ได้รังเกียจเธอหรอกนะ แต่ฉันไม่ได้มีรสนิยมชอบแบบนี้นี่นา

โสมขนลุกซู่ไปทั้ง ตัวเลยทีเดียวเมื่อภาพเหตุการณ์และรสสัมผัสที่เพิ่งผ่านมาสดๆ ร้อนๆ ออกมาฉายซ้ำอีกครั้งในหัว ครั้งนี้คงต้องห่างหายจากนางสุวิมลไปนานเลยทีเดียว ก็จนกว่าเธอจะลืมความรู้สึกนี้ได้เมื่อไหร่ ด้งนั้นล่ะจึงจะกล้ามองหน้านางได้

เอ๊ะ! ฉันลืมอะไรไปรึเปล่า… ใช่แล้ว! ไอ้ยานั่นมันคือยาอะไร ตายล่ะหว่า… ว่าแต่ทำไมมันเงียบผิดปกติ

หญิงสาวไม่หยุดฝีเท้าที่เดินแต่มีความระมัดระวังตัวมากขึ้น ยามนี้บรรยากาศรอบกายละม้ายหยุดนิ่ง ไร้ซึ่งเสียงนกกลางคืน เสียงหรีดหริ่งเรไร หรือเสียงอื่นที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น

โสมกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาความผิดปกติ พลันจมูกก็ได้กลิ่นไหม้แห้งๆ ของอะไรบางอย่างลอยอยู่ในอากาศ กลไกการทำงานของสมองจึงทำงานหนักด้วยกำลังชั่งใจว่าควรจะรับมือกับสถานการณ์นี้ยังไง เธอไม่รู้ว่ากลิ่นนี้คืออะไร บางทีอาจจะเป็นกลิ่นเผาไหม้จากบ้านเรือนคนที่โชยมา แต่ภายใต้สถานการณ์อันไม่น่าไว้ใจแบบนี้สมควรจะนิ่งนอนใจอย่างนั้นหรือ

หากกลิ่นนี้เป็นกลิ่นรมยาล่ะจะเป็นยาอะไร แล้วเธอควรจะทำยังไงในเมื่อเธอสูดกลิ่นเข้าไปบ้างแล้วแต่ไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรกับร่างกายเลย หรือว่ายาที่นางสุวิมลป้อนให้เธอก็คือยาต้านยาชนิดนี้มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง

สถานการณ์ตอนนี้มีความเป็นไปได้ว่าใครก็ตามที่เป็นภัยต่อเธอ กำลังจับตามองเธออยู่ นางสุวิมลต้องรู้ว่าเธอจะต้องพบคนเหล่านี้และต้องโดนรมยาชนิดนี้แล้วแน่นอนจึงได้ทำอะไรแปลกๆ เพื่อป้อนยาให้เธอ

การที่นางคนงามไม่ยอมให้ยามากินเองอาจเป็นเพราะถ้าชักช้าจะไม่ทันการณ์ หรืออาจมีคนจับตามองตอนอยู่ในห้องจริง หรือไม่อาจจะเป็นความต้องการของนางเอง

ขอให้ไม่เป็นอย่างหลังแล้วกัน แต่เอ๊ะ! ถ้ามีคนจับตามองอยู่ในห้องจริงทำไมนางผู้หยิ่งทะนงจึงยอมเปลื้องผ้าและทำแบบนั้นกับเธอต่อหน้าคนที่จับตามองได้ ผู้หญิงย่อมมีความละอายในเรื่องแบบนี้ไม่ใช่รึ หรือจะมีเหตุผลอะไรที่เธอยังไม่รู้

โสมหยุดความคิดในเรื่องนี้ก่อน สิ่งที่ควรทำคือการรับมือกับเหตุตรงหน้ามากกว่า หญิงสาวไม่รู้ว่าฝ่ายที่แอบซุ่มอยู่นั้น มีจุดประสงค์อะไรและเธอต้องมีปฏิกิริยาอะไรต่อยาชนิดนี้เพื่อที่จะไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยว่าเธออาจได้รับยาแก้จากนางคนงาม เห็นทีต้องทำอะไรบางอย่าง คิดดังนั้น จึงแกล้งทำเข่าอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้น ด้วยท่าทางผิดปกติ นั่งหอบหายใจคล้ายคนสิ้น ฤทธิ์ แต่ดวงตาภายใต้หน้ากากภูตกลับสอดส่ายไปทั่วและเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวภายใต้ท่าทางคนหมดสิ้น เรี่ยวแรงคล้ายกำลังต่อสู้กับฤทธิ์อะไรบางอย่างในกายอย่างหนัก

ในที่สุดเงาร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาจากความมืดมิดมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างเงียบเชียบราวกับการปรากฏตัวของปีศาจ โครงหน้าคมคร้ามและดวงตาคมกล้าเป็นประกายในความเลือนรางเพียงมองผาดก็รู้ว่างดงามและเย็นชาเพียงใด

โสมจับตามองร่างสูงตรงหน้าเพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวอันจะทำให้เกิดอันตรายต่อเธอ แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงอาการนิ่งเฉยเท่านั้น

“ต้องการอะไร” หญิงสาวดัดเสียงห้าวถามออกไป

“ชีวิต” น้ำเสียงราบเรียบแต่เยือกเย็นของเขาทำให้เธอขนลุก เธอไม่รู้ว่านอกจากเขาแล้วยังมีใครที่พร้อมจะทำอันตรายเธอได้อีกหรือไม่

“ตอนนี้ท่านไม่มีชีวิตแล้วรึไง ถึงได้มา ‘ร้องขอชีวิต’ กับฉัน” โสมยั่วอารมณ์อีกฝ่าย ดวงตาสอดส่องหาทางหนีทีไล่ สัญชาตญาณบอกเธอว่าไม่ควรไปต่อกรกับเขาเพราะอาจเป็นเธอที่ต้องพ่ายแพ้

“… เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายหนุ่มนิรนามเอ่ยถาม

“เป็นมนุษย์” ตอบรวนๆ

“เดี๋ยวก็จะได้เป็นผีแล้ว” พูดจบ โสมก็เห็นเงาดาบเป็นสายแหวกอากาศตรงมาหา หญิงสาวเอี้ยวหลบทันทีก่อนจะดีดกายออกห่างแล้วชักดาบออกมาพร้อมตอบโต้ด้วยความคล่องแคล่ว

“โดนรมยาสลบไปแล้วเจ้ายังมีสติและเคลื่อนไหวได้อีกรึ”

อ้อ… ที่แท้ก็รมยาสลบเรา ถ้าอย่างนั้นยาที่นางสุวิมลป้อนเราก็อาจจะเป็นยาต้านยาสลบชนิดนี้

“ฉันเป็นมนุษย์เหนือมนุษย์” โสมพูดเสียงเยาะหยัน “สวรรค์ส่งฉันมาเพื่อกำราบลูกผู้ชายที่ไร้ปัญญาจะต่อสู้กับใครเขาจนถึงขนาดต้องมอมยาคนผู้นั้น ไม่ให้มีสภาพพร้อมสู้”

“ปากดี”

“ขอบใจที่ชม แต่ขอถามได้ไหมว่าท่านเป็นใคร”

คำตอบที่ได้คือแรงฟาดฟันดาบอันหนักหน่วงรุนแรงจนไหล่บางแทบทรุด เธอถอยแล้วถอยอีก หลบแล้วหลบอีก ทั้ง นี้เพราะเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอได้รุกเขาแม้แต่พริบตาเดียว

“สวรรค์รึจะส่งเด็กแบเบาะแบบนี้มากำราบข้า” น้ำเสียงราบเรียบหากเนื้อความร้อนๆ นั้น ทำให้หญิงสาวโกรธแทบบ้า

“แล้วท่านจะรู้สึกยังไงนะหากแพ้เด็กแบเบาะ” โสมฮึดสู้ ในเมื่อเธอไม่มีทางสู้แรงเขาได้ก็จำเป็นต้องใช้ความปราดเปรียว เพลงดาบของเธอยังไม่ใช่คู่มือของเขา ฉะนั้น ต้องทำให้ดาบหลุดออกจากมือเขาให้ได้

โสมพยายามจับจ้องหาโอกาสที่เหมาสมในขณะที่ยังคงเป็นฝ่ายรับอย่างหนักหน่วง ความเย็นชาแฝงความเหี้ยมทำให้รู้ว่าเขาพอใจที่หยอกล้อให้เธอเหนื่อยก่อนจะฆ่าอย่างช้าๆ ซึ่งเธอยอมไม่ได้ เหมือนสวรรค์เป็นใจช่วยเมื่อเขาสะดุดบางอย่างจนเสียจังหวะไป เธอสบโอกาสบิดข้อมือข้างที่ถือดาบของเขาอย่างแรงและเร็วโดยที่เขาไม่ทันตั้ง ตัว

จนกระทั่งอาวุธหลุดออกจากมือ เธอรีบเตะดาบนั้นกระเด็นหายไปในความมืดทันที

“ถูกเด็กแบเบาะเตะดาบทิ้ง แล้วรู้สึกยังไงบ้าง” โสมยั่วโมโห

ชายหนุ่มยืนยืดกายตัวตรงมองเธอด้วยแววตาพอใจ

“ครั้งนี้ถือว่าฉันชนะ”

“เจ้าได้เปรียบข้าในความปราดเปรียว ข้ายอมรับว่าประมาทเจ้า” เสียงเย็นชานั้น เอ่ยราวกับชม “ดูท่าเจ้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากฤทธิ์ยาเลยนะ”

“ก็บอกแล้วว่าฉันเป็นมนุษย์เหนือมนุษย์” โสมพูดพลางกลั้วหัวเราะ ค่อยเก็บดาบเข้าฝักเพราะไม่เคยคิดหันอาวุธใส่คนไม่มีอาวุธ “เราเคยบาดหมางกันเรื่องอะไร ทำไมถึงต้องการชีวิตฉัน แล้วใช่พวกท่านรึเปล่าที่ฆ่าชาวบ้านด้วยวิธีการอันน่าสยดสยองนั่น”

“เราไม่มีความบาดหมางกันมาก่อน แต่เจ้าเพิ่งทำให้คนสำคัญของข้าต้องการเห็นเจ้าไร้วิญญาณ ข้าจึงปฏิเสธการฆ่าเจ้าไม่ได้” ชายหนุ่มยอมตอบคำถามแต่โดยดี “ส่วนเรื่องสุดท้ายที่เจ้าถามคำตอบคือใช่”

“ทำเพื่ออะไร หรือว่าเป้าหมายคือการเป็นเจ้าของกณวรรธน์นคร”

“เรื่องนั้น ไม่เคยอยู่ในความคิดของข้า พวกมันรนหาที่ตายเอง”

“พวกเขาทำอะไรท่านล่ะ”

“รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของข้า”

“สรุปคือท่านไม่ต้องการขึ้น เป็นใหญ่ในกณวรรธน์นคร ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับกับการบ้านเมือง ไม่ต้องการสังหารราชันใช่ไหม”

“ใช่” ชายหนุ่มตอบ “และในเมื่อเจ้ามีความพยายามจนทำให้ดาบหลุดออกจากมือของข้าได้ ข้าก็คิดว่าจะปล่อยเจ้าไปครั้งหนึ่งและอยู่ให้ห่างจากเรื่องนี้เสีย”

“ฉันไม่มีความจำเป็นต้องเชื่อฟังท่าน” โสมพูดอย่างผยอง กลบเกลื่อนความคิดที่กำลังวิตกอยู่ในขณะนี้ แม้เขาจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือแต่ท่าทางของเขาเหมือนกับสามารถฆ่าเธอทั้งมือเปล่าได้ อีกประการหนึ่งคือเขาไม่น่าจะมาคนเดียว ในความมืดรอบกายเธอในตอนนี้ก็คงเต็มไปด้วยคนของเขา

“ถ้าอย่างนั้น พบกันครั้งหน้า เจ้าจะไม่มีชีวิตอีกต่อไป”

“โอ๊ย… ขอทีเถอะ ยังต้องเจอกันอีกหรือนี่” โสมโอดครวญ หากไม่เป็นเพราะความมืดลวงตา หญิงสาวคิดว่าเห็นริมฝีปากหยักของผู้ชายคนนั้นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขบขันชั่วครู่หนึ่ง “เราเป็นมิตรกันดีกว่า การสร้างศัตรูมันไม่ดีหรอก”

“เจ้าต้องการผูกมิตรกับข้าเพียงแค่เจอกันครั้งเดียว ทั้งที่ข้ายังพยายามฆ่าเจ้างั้นรึ ให้เหตุผลข้ามาสิ ว่าข้าจะเห็นความจริงใจของเจ้าได้อย่างไร”

“มีวาสนาได้เจอกัน พบเพียงครั้ง ก็เกินพอต่อการผูกมิตรแล้ว”

ชายผู้เย็นชาตรงหน้าเธอหัวเราะออกมาเสียงลั่นป่า

หญิงสาวมองใบหน้าสดใสของเขาอย่างตกตะลึง ดวงตาที่คุ้นชินกับความมืดแล้วทำให้เห็นภาพคิ้ว คม ดวงตาคมปลาบ จมูกโด่ง โครงหน้าคมเข้มและผิวขาวจัด เสียงหัวเราะของเขาทำให้ใจเต้นเป็นจังหวะประหลาด เมื่อเขาหยุดหัวเราะสีหน้าก็ไม่ได้เย็นชาอีกต่อไป เนื่องจากดวงตาคมคู่นั้น เป็นประกายระริกและมุมปากหยักขึ้น เล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม

“วาทศิลป์ของเจ้าไม่เลว หากได้พบปะกันในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ข้าย่อมไม่ลังเลที่จะคบหากับเจ้า” ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วอึดในหนึ่งก่อนเอ่ยปากอีกครั้ง “เจ้าชอบพอนางสุวิมลรึ”

“ฉันสงสารนาง” หญิงสาวเลือกคำตอบอย่างระมัดระวัง

“นางถึงขนาดยอมปลดผ้าให้เจ้า ยอมกอด ยอมจูบเจ้าเมื่อคิดว่าเจ้าจะพานางออกไปจากเรือนเริงรมย์”

“นางก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ท่านจะละเว้นนางไม่ได้เลยหรือ” โสมเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “บางทีฉันอาจจะช่วยท่านต่อรองกับราชันได้นะ”

แปลว่าเขารู้เรื่องที่เกิดในห้องนั้นทุกอย่าง และคงเข้าใจผิดว่าเธอจะพานางสุวิมลไปจากเรือนเริงรมย์ ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้พวกเขา

“เจ้ามีอำนาจถึงเพียงนั้น เลยรึ” ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้โสมมากขึ้นอีก

“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ” โสมกระตุกยิ้มปริศนา “ขอเพียงฉันต้องการ ไม่ว่าอะไรก็ต้องได้!”

เธอไม่ได้โกหก หากเธอต้องการอะไร เจ้าราชันหัวถั่วงอกย่อมต้องหามาให้เธอ เพราะไม่อย่างนั้นเธอจะใช้ลิ้นสาลิกาหว่านล้อมตอแยจนได้!

“ฉันคงต้องไปแล้ว ถ้าช้ากว่านี้อาจจะมีเรื่องวุ่นวายได้” โสมพูดเป็นเชิงลา “หากพบกันครั้งหน้าแล้วเรามีความเป็นมิตรต่อกัน เราจะรู้จักกันมากกว่านี้”

“ข้าปล่อยเจ้าไป รู้ไหมหมายความว่าอย่างไร” ชายหนุ่มเปล่งเสียงเย็นชา “หากเจ้ารอด นางต้องตาย”

“อะไรนะ!” โสมชะงัก หันไปหาชายหนุ่มที่ยืนหันหลังให้ด้วยความตกใจ

“นางทำผิด หากข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ต้องฆ่านางเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีกต่อไป”

“ความหมายของท่านคือ หากฉันไม่ตาย นางต้องตายแทนฉันงั้นรึ” หญิงสาวเริ่มโมโห แต่น้ำเสียงยังไม่แสดงอารมณ์ใด

“เข้าใจถูกต้องแล้ว”

“แล้วถ้าท่านตายล่ะ” เธอพูดเสียงแผ่วแต่ฟังชัด

“เจ้ารอดไปในครั้งนี้แต่ไม่รับประกันชีวิตเจ้าในอนาคต”

“อย่างไรฉันก็ต้องฆ่าท่านงั้น หรือ” โสมถอนหายใจ มีทางเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้คือต้องฆ่าผู้ชายคนนี้ให้ได้ เธอตระหนักว่าโลกแห่งนี้หากใครไม่ใจแข็งกับศัตรูก็อาจเป็นฝ่ายที่ต้องตาย ชายคนนี้จะเป็นอีกหนึ่งชีวิตที่เธอจำต้องฆ่าพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่จะว่าไปถ้าลงมือฆ่าก็น่าเสียดายทรัพยากรคนหล่อจริงๆ

“ไม่ต้องใช้อาวุธ เรามาต่อสู้มือเปล่ากัน” โสมตั้งสมาธิแน่วแน่

เมื่อครั้งยังมีชีวิตเป็นบอดี้การ์ด เธอมีประสบการณ์การต่อสู้มามากพอสมควร ทั้ง ต่อสู้ด้วยมือเปล่า อาวุธปืน และอาวุธมีคมต่างๆ รวมถึงดาบ แต่ก็ไม่ได้มีโอกาสใช้ บ่อยนักเมื่อเทียบกับผู้มีวิทยายุทธจากกนวรรธน์นครนี้จากที่ฝึกกับพวกทหารภูตมา ศิลปะการต่อสู้ของคนที่นี่นอกจากใช้มีดและดาบแล้ว ยังมีการต่อสู้ที่ใช้ร่างกายคล้ายมวยไทย

เพราะฉะนั้น หากจะชิงความได้เปรียบ เธอต้องใช้ศิลปะการป้องกันตัวมือเปล่าแขนงอื่นหลายๆ แขนงเท่าที่เคยรํ่าเรียนมาประยุกต์ใช้เข้าด้วยกัน

“เจ้าวางอำนาจนัก ทำตัวเหมือนดั่งเป็นเจ้าชีวิต สามารถกระทำการใดก็ได้ หากใครไม่เคยพบราชันมาก่อนคงคิดว่าเจ้าคือราชัน แต่ข้าเคยเห็นพระองค์และแน่นอนว่าไม่ใช่เจ้า” ชายหนุ่มพูดพร้อมยิ้ม มุมปากขณะเดินอย่างช้าๆ มาหาเธอที่ยังยืนตัวตรงเอามือไขว้หลังอยู่กับที่

“ท่านเข้าใจถูกต้อง” น้ำเสียงของโสมสงบมาก “เพราะฉันคือคนที่อยู่ข้างหลังเขา”

วินาทีหลังจากนั้น คือการพูดคุยกันด้วยการต่อสู้

โสมตั้งสมาธิแน่วแน่ยิ่งกว่าทุกครั้งเพื่อเอี้ยวตัวหลบหลีกหมัด ศอก เข่า และแข้งของเขา ผู้ชายคนนี้สามารถเคลื่อนไหวได้เงียบเชียบ รวดเร็ว รุนแรง และดุดันได้อย่างไม่น่าเชื่อ เธอยังไม่สบจังหวะที่จะโต้ตอบเขาได้แม้แต่น้อย หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่แคล้วคงเป็นเธอที่เหนื่อยจนหมดแรงและต้องตาย ความมืดทำให้โสมมองไม่ถนัดแม้สายตาจะชินกับความมืดแล้วก็ตาม

ทุกสิ่งล้วนต้องอาศัยสัญชาตญาณเท่านั้น ฉับพลันก็รู้สึกว่าร่างกายแปลกไป มันรู้สึกกระฉับกระเฉงจนสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ว่องไวกว่าเดิม สายลมอุ่นโอบล้อมร่างโชยกลิ่นบางอย่างละม้ายกลิ่นดอกไม้หอมระรินมาต้องจมูก ครั้น หางตาของเธอเห็นหมัดพุ่งใส่หน้าก็เอี้ยวตัวหนีเพียงนิด ก่อนจับข้อมือแข็งแกร่งนั้น ดึงให้เข้าหาตัวแล้วหมุนกายฟาดศอกใส่ก้านคอกำยำอย่างแรง ตอนนั้นเองมีเสียงเคลื่อนไหวจากทุกทิศทำให้กลไกการระวังภัยของเธอตื่นตัวมากขึ้น

เธอได้รู้ชัดแล้วว่าตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูและหากผู้ชายคนนี้ตายไปก็ไม่มีใครรับรองความปลอดภัยของเธอได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเคียดแค้นความโชคร้ายของตัวเอง ไหนๆ ก็อาจไม่มีทางรอดไปได้แล้ว ก็ไม่ขอตายคนเดียว เธอจะเอาเขาตายไปเป็นเพื่อนด้วย!

ชายหนุ่มเสียหลักไปเล็กน้อย หันกลับมามองท่ายืนตรงเอามือไพล่หลังสงบเงียบของชายในชุดทหารภูตอย่างประเมินใหม่อีกครั้ง “แม้เจ้าจะสูดดมกลิ่นยาสลบก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้เช่นนี้ข้านับถือ”

“อย่าเสียเวลาดีกว่า ฉันอยากฆ่าท่านด้วยมือคู่นี้จะแย่แล้ว”

การปะทะกันในครั้งนี้ดุเดือดและรุนแรงยิ่งกว่าเก่า หญิงสาวนึกถึงศิลปะการป้องกันตัวแขนงหนึ่งที่เคยฝึกตอนทำงานเป็นบอดี้การ์ดคือวิธีการใช้แรงจู่โจมของอีกฝ่ายเพื่อทำร้ายกลับเพราะฉะนั้น ไม่ว่าหมัดใดเธอก็สามารถปัดออกให้อีกฝ่ายเสียหลักแล้วสะบัดหมัดของตนจู่โจมคืน

เธอสกัดขาของเขาได้ก่อนที่เขาจะเตะสำเร็จและเมื่อเขาเข้าประชิดเธอก็ใช้แรงพุ่งของเขาเป็นแรงเหวี่ยงให้เขาถลาออกห่าง เธอแปลกใจตัวเองนักแม้ว่าตัวเองจะมีฝีมือดีแต่ก็ไม่เคยทำได้ดีถึงเพียงนี้เลือดในกายของหญิงสาวร้อนระอุ แต่จิตใจสงบ ร่างกายที่เคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวและรุนแรงนั้น อยู่นอกเหนือการรับรู้ของเธอ ราวกับว่าร่างทั้ง ร่างไม่ใช่ของเธออีกต่อไป

‘ก็ยังเป็นของหล่อนอยู่นั่นแหละ’ เสียงหวานระคนดุหนึ่งดังเข้ามาในหัวพร้อมกับร่างกายที่พุ่งเข้าปะทะกำลังกับชายหนุ่มด้วยกังฟูที่มุ่งหมายทำร้ายมิใช้ป้องกันอีกต่อไป

‘นั่นใคร’ โสมเอ่ยถามในใจ

‘ยายนลวรรณไม่ได้บอกหล่อนรึ’ เสียงตอบกลับมาราวกับรู้เรื่องราวทุกอย่างมาก่อน

‘ท่านคือแม่หญิงจันทรวดี’ โสมเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว นลวรรณบอกว่าแม่หญิงจันทรวดีจะคอยช่วยเหลือเวลาเข้าตาจนเสมอ ที่ร่างกายเธอเคลื่อนไหวได้อย่างยอดเยี่ยมแบบนี้อาจเป็นเพราะแม่หญิงช่วยเหลือก็เป็นได้

‘หล่อนถึกกว่ายายนลวรรณเยอะ ยายนั่นไม่ได้เรื่องสักอย่างนอกจากสมอง ต่อไปนี้คงต้องเหนื่อยแรงเจ้าแล้ว’

‘เหมือนแม่หญิงกำลังบอกว่าหนูวันมีดีแต่ที่สมอง ส่วนฉันมีดีแต่ใช้กำลังเลยแฮะ… คิดแล้วเจ็บปวด’

เมื่อโสมได้ยินเสียงแม่หญิงจันทรวดีหัวเราะเสียงเสนาะหูอย่างชอบอกชอบใจก็รู้สึกคล้ายโลกทั้งโลกเบิกบาน

สถานการณ์เลวร้ายกลับกลายเป็นละครตลก ไม่มีอันตรายใดที่จะแผ้วพานเธอได้

‘แม้อยู่ในอันตรายเจ้าก็ยังมีอารมณ์ขัน’ แม่หญิงจันทรวดีบอกเสียงสดใส ‘ชะตาเจ้าตอนนี้แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง ข้าจะช่วยให้ไม่มีใครสามารถมาก้าวก่ายเจ้าได้ แต่เจ้าต้องจัดการกับชายหนุ่มคนนี้เอง’

‘โอ๊ะ! เดี๋ยวสิแม่หญิง ทิ้งกันอย่างนี้ได้ไง!’ โสมรับรู้ได้ว่าแม่หญิงจันทรวดีได้จากไปแล้วเพราะร่างกายกลับมาสู่ภาวะปกติ

“วิชาการป้องกันตัวของเจ้าพิสดารนัก เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายหนุ่มจับจ้องโสมด้วยแววตาจริงจัง หลังจากพยายามทำร้ายคนตรงหน้าเท่าไรก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

“เป็นคนที่ท่านไม่อยากเป็นศัตรูด้วยอย่างแน่นอน” โสมรักษามาด “ฉันพยายามผูกมิตรกับท่านด้วยการเสนอความเป็นมิตรให้แล้ว ท่านปฏิเสธมันเอง ก็อย่าหวังเลยว่าท่านจะสามารถเอาชีวิตฉันไปได้ แต่เป็นท่านที่ต้องทิ้ง ชีวิตไว้ที่นี่!”

“คิดว่าจะฆ่าข้าได้รึ”

“ลำพังท่านไม่ใช่คู่มือของฉันหรอก หรือท่านจะใช้ทุกคนที่ล้อมอยู่ในที่แห่งนี้เพื่อรุมฆ่าฉันเพราะท่านไม่สามารถทำเพียงลำพังได้” โสมจงใจพูดหมิ่นหยามชายหนุ่ม

“ข้าไม่ใช่คนไร้ศักดิ์ศรี” ชายหนุ่มพูดเสียงขรึม ย่างเข้ามาหาเธอด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง

“ไม่รู้… ยังไม่เคยเห็นท่านพิสูจน์ข้อนี้” พูดเสียงกวนโมโห ไหวไหล่ยั่วโทสะ หากเธอหวังให้เขาหัวเสียก็สำเร็จอย่างงดงาม ใบหน้าเรียบเฉยนั่นเริ่มขมวดมุ่น “รู้สึกยังไงบ้างล่ะที่ยังแตะเด็กแบเบาะคนนี้ไม่ได้สักกระผีกนิ้ว ประทับใจไหม นี่ฉันพยายามสร้างความประทับใจอย่างถึงที่สุดเลยนะ”

“เจ้านี่มัน…” ชายหนุ่มหยุดยืน เคี้ยวฟันด้วยความหัวเสียระคนขบขัน “ยั่วโมโหเก่งจริงๆ”

“ขอบคุณที่ชม แต่ฉันยังมีดีกว่านี้อีกเยอะ เพียงแต่ท่านมีวาสนาจะได้เห็นเท่าไรล่ะ” โสมอยากจะถอดหน้ากากให้เขาได้เห็นใบหน้ากวนๆของเธอจริงๆ “แต่เท่าที่ประมาณวาสนาท่านดูแล้ว ก็ได้เห็นแค่นี้แหละ”

“ปากคอเราะร้ายราวกับสตรี บุรุษเช่นข้าจำเป็นต้องโต้เถียงกับเจ้ารึไม่”

“จำเป็นรึไม่จำเป็นไม่สำคัญ สำคัญคือท่านฉวยโอกาสหยุดคุยกับฉันเพื่อพักเอาแรงและขบคิดว่าจะรับมือกับฉันยังไงต่างหาก” โสมยืนพักเท้าข้างหนึ่งพร้อมกอดอก พูดอย่างรู้ทันและแฝงความท้าทาย “แล้วอีกอย่างนะ ท่านดูถูกสตรีเกินไปแล้ว ท่านเกิดมาได้ก็เพราะแม่คลอดท่านออกมาแล้วเลี้ยงดูท่าน หากท่านปรามาสว่าสตรีเป็นเพศที่ปากร้ายได้

เพียงเพศเดียว ไม่ได้หมายความว่าท่านเองก็อกตัญญูตำหนิเพศแม่ตัวเองหรือ ฉันไม่อาจดูดายได้จริงๆ”

“เกินไปแล้ว!”

คราวนี้หญิงสาวคงจี้ถูกจุดเดือดเพราะใบหน้าหล่อเหลาเครียดขึ้ง ทันที น้ำเสียงก็ดุเดือดตวาดลั่น ท่าทางคล้ายพร้อมจะกระโจนใส่เธอได้ทุกเมื่อ แต่เธอรึจะกลัว เขาคนเดียวเสียเมื่อไหร่ที่โมโหเป็น ลองเธอได้โมโหแล้วล่ะก็เห็นช้างตัวเท่ามด ไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมเหมือนกัน

“คนที่เกินไปคือท่านต่างหาก ท่านไม่ใช่หรือที่เป็นคนพูดจาไม่เหมาะสมออกมา ส่วนฉันก็ทำเพียงพูดชี้ให้ท่านเห็นถึงความไร้ความคิดของท่านเท่านั้น หากจะโมโห ไม่ใช่ว่าต้องโมโหตัวเองรึไง” โสมรู้ว่าตัวเองเป็นต่อในสงครามคำพูดนี้จึงทำน้ำเสียงและท่าทางยั่วเต็มที่ อีกประการหนึ่งคือยิ่งพูดยิ่งสนุกปาก ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อนเพราะคำพูดของเธอมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสะใจมากเท่านั้น

‘หึๆ หล่อนเองก็ร้ายไม่แพ้ยายนลวรรณหรอก ปากจัด!’ อยู่ๆ เสียงขบขันของแม่หญิงจันทรวดีก็ดังขึ้น มาในหัว โสมหัวเราะในใจแต่ไม่ได้ตอบอะไร

“ถ้าเจ้าเป็นเดือดเป็นร้อนกับข้าถึงเพียงนั้น เราก็อย่าเสียเวลาต่อไปเลย” ชายหนุ่มยิ้มขรึม เดินไปในความมืดเพื่อหยิบดาบที่ถูกปัดทิ้งเพราะความประมาทมาไว้ในมือ “แต่ถ้าเราจะเอาชีวิตกัน วิธีเดียวที่รวดเร็วที่สุดคือใช้อาวุธมีคมอย่างเช่นดาบ”

ตายละหว่า… เธอไม่สันทัดการใช้ดาบเท่าเขา อย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าเสียเปรียบหรือ

โสมชักดาบออกจากฝัก สมองคิดหาทางเอาตัวรอดเร็วจี๋ ไม่คาดคิดว่าเพียงเดินทะเล่อทะล่าออกมาในคืนเดือนมืด

ครั้งเดียวก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ยุ่งยากถึงชีวิตแบบนี้เธอลองเรียกแม่หญิงในใจ แต่เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้การตอบรับกลับมาจึงได้แต่นึกเข่นเขี้ยวตัวเอง

เอาวะ… ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์แล้วกัน แม่หญิงบอกว่าชะตาเราตอนนี้แคล้วคลาดจากอันตรายแปลว่าต้องมีหนทางมาให้เธอรอดจากที่นี่ได้อย่างแน่นอน ระหว่างนั้นคงต้องอาศัยไหวพริบ พาตัวเองออกจากการบาดเจ็บให้ได้ ตั้งท่าให้ดูดีเข้าไว้

ทันทีที่มีดาบในมือ ชายหนุ่มก็เหมือนเสือหนุ่มมีเขี้ยวเล็บ แรงฟาดดาบรุนแรงและเสียดสีกันจนเกิดประกายไฟแปลบปลาบในความมืด ทุกเสียงฟาดฟันทำให้โสมต้องมีอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่ถึงยังไงก็ยังคงรักษามาดให้ดูดีจนดูคล้ายกับว่าเจ้าตัวจงใจถอยปรนให้เอง

“เจ้าออมมือเพื่อดูถูกข้ารึ!” ดูเหมือนการอวดเก่งและวางท่าอย่างตั้งอกตั้งใจของเธอจะทำให้เขาเชื่อสนิทใจและเข้าใจว่าเธอจงใจออมมือเพื่อดูถูกเขาเสียแล้ว

โสมเลือกที่จะใช้ความเงียบเป็นคำตอบ นั่นคงทำให้โทสะของอีกฝ่ายโหมกระพือยิ่งกว่าเดิมเพราะเขารุกหนักขึ้น เรื่อยๆ ดาบฟาดฟันซ้ายขวาอย่างรวดเร็วจนแทบจับทิศทางไม่ได้ด้วยสายตา ทุกการปัดป้องของเธอเป็นไปตามสัญชาติญาณเท่านั้น

“เป็นดาบที่เต็มไปด้วยโทสะแท้ๆ เลยนะนี่ ความสุขุมเยือกเย็นของท่านหายไปไหนหมด หรือถูกฉันยั่วยุจนลืมตัว โอ้… นี่ฉันมีอิทธิพลมากขนาดนั้น เลยรึนี่” โสมพูดยั่วให้เขาลดความเกรี้ยวกราด มันได้ผลอยู่บ้างแต่กลับทำให้เขาน่ากลัวมากกว่าเดิมเพราะตอนนี้ทุกดาบมุ่งทำลายตรงจุดตาย หนักแน่นมั่นคง ไม่สับสน หากเธอพลาดเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็

คงต้องโชกเลือดหนัก

“แสดงฝีมือออกมา แม้ข้าจะหมายชีวิตเจ้า เจ้าก็สมควรให้เกียรติข้าในฐานะศัตรู” ชายหนุ่มสั่งเสียงเรียบลึก

โสมพยายามรักษามาดเต็มที่ด้วยการถอยร่นออกมาอย่างมีเชิง

“เหรอ” โสมทำเสียงยานคาง เหงื่อแตกไปทั้ง ตัวเพราะความเครียดจังหวะหนึ่งที่เขาฟาดดาบใส่… เธออาศัยความเร็วเบี่ยงตัวหลบแล้วเตะข้อมือที่ถือดาบอยู่ด้วยแรงเอาชีวิตรอดจนดาบลอยหลุดออกจากมือใหญ่

แต่ด้วยไหวพริบของเขาเพียงพริบตาเดียวมือใหญ่ข้างนั้นก็ตรงเข้ากระชากอกเสื้อของเธอพร้อมเหวี่ยงโดยแรง มีเสียงผ้าขาดสั่นสะเทือนประสาทก่อนที่ร่างของเธอจะถูกทุ่มลงกับพื้นดินจนจุก หากแต่ความอึดและได้รับการฝึกฝนเรื่องการต่อสู้มาอย่างดีทำให้เธอขยับตัวหนีแล้วลุกขึ้นตั้งหลักอย่างรวดเร็ว

แล้วเธอก็ต้องแปลกใจเมื่ออยู่ๆ สีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างที่สุด จากที่จะเข้ามาทำร้ายซ้ำ กลับชะงักเพราะความที่อยู่ใกล้ดวงตาของเขาจึงเห็นภาพเบื้องหน้าจับจ้องนิ่งอยู่ที่อกของเธอ เธอชะงักเช่นกันเมื่อเห็นว่าเขาจับจ้องที่ไหนก่อนจะเปลี่ยนเป็นตกใจจนปล่อยดาบที่ถืออยู่หลุดมือไป ทันใดนั้น ร่างสูงก็พุ่งเข้ามาประชิดร่าง ใกล้จนได้กลิ่นแม่น้ำ และกลิ่นเหงื่ออ่อนๆ จากเสื้อ ของเขา ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่เหนือริมฝีปาก ใกล้จนตาประสานตา ใกล้จนหัวใจของหญิงสาวเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง เลือดในกายมีอันต้องเย็นเยียบจนจับเป็นก้อนแข็งเมื่อได้ยินเสียงกระซิบเครียดเจือด้วยความตกใจและหลายความรู้สึกที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ของเขาในวินาทีต่อมา

“น่าฆ่านัก! เจ้าเป็นสตรี!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!