Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 51

บทส่งท้าย

ศาสตราจารย์ดอกเตอร์เอริค แดนเจอร์มอนด์ก้าวลงจากรถคันหรูของตนอย่างมาดมั่น ชายหนุ่มจากประเทศไทยไปศึกษาต่อต่างประเทศและทำงานหาประสบการณ์ที่นั่นกว่าสิบปี นานๆ ทีถึงจะมีเวลากลับมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทยแต่พักได้เพียงช่วงสั้น ๆ ก็ต้องกลับไปทำงาน ครั้งนี้เขาถูกมารดาเลี้ยงตัดพ้อให้กลับบ้านเขาจึงเริ่มตระหนักแล้วรีบเคลียร์งานเพื่อกลับประเทศไทยทันที

คฤหาสน์ที่เขาเรียกว่าบ้านยังคงงดงามและอบอุ่นเหมือนในวันวาน เขาไม่รู้ตัวเลยว่าคิดถึงบ้านมากแค่ไหนจนกระทั่งวินาทีนี้ ครั้นเห็นร่างระหงของสตรีนางหนึ่งก้าวออกมาจากคฤหาสน์ไม้สักทองหลังงามชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะรีบเดินไปหา ยกมือไหว้ตามธรรมเนียมไทยแล้วสวมกอดพลางหอมแก้มซ้ายขวาด้วยความรักและคิดถึง

“ตัวใหญ่กว่าที่เจอกันครั้งสุดท้ายอีกนะเอริค” นลวรรณกวาดตามองลูกเลี้ยงซึ่งนางรักเหมือนลูกแท้ๆ ด้วยความคิดถึงและภาคภูมิใจ

เด็กชายตัวน้อยในวันวานบัดนี้เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มร่างยักษ์ที่มีหน้าตาหล่อเหลาประพิมพ์ประพายเหมือนบิดาเสียแล้ว

“แต่ผมก็เป็นแค่เด็กชายตัวเล็กของมัมมี๊เสมอนะครับ” คนที่บอกว่าตัวเองเป็นเด็กชายประจบอย่างอ่อนหวาน ทำให้นลวรรณต้องหัวเราะออกมา “แล้วแด๊ดกับเจ้าแฝดล่ะครับ”

“พากันเข้าครัวโน่นแน่ะ ได้ยินแอบกระซิบกันว่าจะทำอาหารต้อนรับคนโปรดกลับบ้าน” นางบอกแล้วปล่อยให้ลูกเลี้ยงประคองไปนั่งที่โซฟาตัวนุ่มในห้องนั่งเล่น “ไปทำงานอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนานแล้วนะ จะกลับมาอยู่กับมัมมี๊ได้หรือยัง”

“แด๊ดเปิดรับประสาทศัลยแพทย์อยู่หรือเปล่าล่ะครับ เผื่อผมจะยื่นประวัติให้พิจารณา”

“ก็เอาสิ” คนตอบคือคุณเพชรที่เพิ่งเข้ามาในห้อง เอริคยิ้มกว้างลุกขึ้น ยกมือไหว้แล้วสวมกอดบิดาแรงๆ

“เบาๆ นะเอริค คนแก่น่ะกระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดี” นลวรรณแอบพูดจิกกัดสามีเล็กน้อย

คนถูกจิกกัดจะเคืองก็หาไม่แต่กลับยิ้มกว้างให้จนเห็นรอยจีบที่หางตาก่อนเอ่ยว่า “พูดอย่างนี้ประเดี๋ยวจะรู้สึก”

“เจ้าแฝดอยู่ไหนครับ” เอริคเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ นึกชอบใจที่บิดาไม่ยอมทำตัวแก่เลย

“อยู่ในครัวน่ะ” คุณเพชรตอบแล้วตบไหล่หนาของบุตรชาย “ไปหาน้องสิ ไม่รู้ป่านนี้ทำครัวระเบิดแล้วหรือยัง”

เอริคเดินยิ้ม ไปยังห้องครัวอย่างอารมณ์ดี น้องชายฝาแฝดของเขาได้โครงหน้าสวยมาจากมารดาทั้งหมด จะมีก็แต่เพียงดวงตาเท่านั้นที่ได้รับมาจากบิดา ทั้งสองอายุห่างจากเขาถึงสิบปี ตอนนี้คนหนึ่งเปิดกิจการภัตตาคารอาหารจีนสร้างธุรกิจของตนขึ้นมาเอง ส่วนอีกคนหนึ่งเอาดีด้านรับราชการโดยเพิ่งสอบติดเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษาได้ ถึงแม้ทั้งคู่จะ

เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าทั้งสองยังเป็นน้องชายที่เขายังต้องให้ความดูแลอยู่เช่นเคย

ชายหนุ่มชะงักงันเมื่อเห็นแผ่นหลังของร่างสูงเพรียวในชุดดำร่างหนึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ หั่นอะไรบางอย่างอยู่คนเดียวในครัว แม้ผมซอยสั้นเข้ารูปศีรษะเหมือนผู้ชายแต่ทรวดทรงอ่อนช้อยนั้น ทำให้เขาสันนิษฐานว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ดูจากการแต่งตัวทะมัดทะแมงและบุคลิกคล่องแคล่วบ่งบอกความมั่นใจในตัวเองแล้ว เธอไม่น่าจะใช่ลูกจ้างของบ้าน

“เธอเป็นใคร” เขาเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังของเธอแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่คิดว่าเธอจะขวัญอ่อนถึงขนาดหันมาตวัดมีดเฉียดใบหน้าเขาไปเพียงนิดเดียว เขาจึงต้องรีบปลดอาวุธในมือของเธอแล้วจับแขนของเธอไพล่หลังเอาไว้เพื่อป้องกันตัว

“ใครเล่นบ้าอะไรแบบนี้วะ!” มธุรสโวยวายลั่นด้วยความตกใจและหัวเสีย เมื่อพยายามดิ้นรนหนีจากการเกาะกุมกลับทำไม่ได้เพราะอีกฝ่ายแข็งแรงกว่ามาก “ไม่ว่านายจะเป็นรณพัฒน์หรือรณพีร์ก็ปล่อยฉันได้แล้วไม่เจอกันแค่หนึ่งเดือนทำไมแข็งแรงขึ้น นาดนี้ทั้ง ที่ปกติพวกนายไม่เกินมือฉันแท้ๆ”

“เธอเป็นเพื่อนของน้องชายฉัน?” เอริคสัมผัสได้ว่าร่างของเธอเกร็งไปชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะเกิดการดิ้นรนหนีด้วยวิธีของคนที่ใช้ศิลปการต่อสู้เป็น เขาไม่คิดจะปล่อยเธอเพราะไม่คิดจะสู้กับเพื่อนน้องชายในครัวบ้านตัวเอง “เธอต้องนิ่ง ฉันถึงจะปล่อย”

“ก็ปล่อยสิโว้ย!” มธุรสแหกปากดังลั่นด้วยความประหม่า หญิงสาวเป็นเพื่อนสนิทกับฝาแฝดตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมปลายซึ่งตอนนั้น เอริคไม่ได้อยู่ประเทศไทยแล้วและครั้งใดที่เขากลับมาเยี่ยมบ้านเธอก็คลาดกับเขาทุกครั้ง เธอจำได้ว่าครั้งแรกที่คู่แฝดพาไปดูรูปพี่ชายของพวกเขานั้น หัวใจของเธอเต้นด้วยจังหวะแปลกประหลาดเพียงใด คล้ายกับปลาบปลื้ม ยินดี คาดหวัง รอคอยและโหยหา

การที่เธอรู้สึกแบบนั้น กับคนที่ไม่เคยได้พบหน้าทำให้เธอตระหนกเป็นอย่างมาก เธอจึงเปลี่ยนความรู้สึกทั้งหมดนั้นให้เป็นความปฏิปักษ์ทำให้สามารถปกป้องหัวใจตัวเองได้เรื่อยมา… จนกระทั่งตอนนี้

“ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับตีก้นเสียให้ไม่กล้าพูดคำหยาบอีกเลย”

ชายหนุ่มเอ่ยเสียงดุ แข็งขืนกำลังมากขึ้น ทำให้อีกฝ่ายกระดิกไม่ได้ ทำได้เพียงส่งเสียงฮึดฮัดเหมือนเด็กไม่ได้ดั่งใจ “ฉันบอกให้นิ่งไง”

“ก็กอดรัดเสียแน่นขนาดนี้ผู้หญิงบ้าที่ไหนจะยอมนิ่ง!”

เอริคชะงักอย่างเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้นอกจากจะรัดข้อมือทั้งสองของหญิงสาวด้วยมือเดียวแล้ว แขนอีกข้างยังกอดรัดเธอเอาไว้แนบแน่นอีกด้วย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไรกลับถูกจับได้เสียก่อน

“ท่าทางพี่กำลังเพลินนะ”

เสียงของรณพีร์ทำให้เอริคหันไปมอง ทันได้เห็นคนพูดทำหน้าตาเจ้าเล่ห์เจ้ากลและแท็คมือกับรณพัฒน์ราวกับตกลงทำปฏิบัติการลับอะไรกันสักอย่างซึ่งเขาของภาวนาว่าอย่าให้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาเลย จังหวะที่เขาลืมระวังตัวนี้เองทำให้หญิงสาวในอ้อมแขนบิดข้อมือออกจากการเกาะกุมได้สำเร็จและเป็นฝ่ายจับเขาทุ่มลงอย่างรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทัน แต่ทันได้เห็นเธอกระโดดข้ามตัวเขาวิ่งออกไปจากห้องครัวอย่างคล่องแคล่วราวกับวานร

เสี้ยวเวลานั้น ดวงตาของทั้ง คู่สบประสานกัน หัวใจของเอริคกระตุกแรงจนเจ็บ เกิดความรู้สึกใจหายเป็นอย่างมากที่เห็นหญิงสาววิ่งหายไปจากสายตาและคล้ายกับว่าหีบแห่งความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ได้ถูกเปิดขึ้น ชายหนุ่มรีบลุกขึ้น ทำท่าจะพุ่งตามออกไปแต่ติดที่ถูกรณพีร์ออกมายืนขวางเอาไว้

“ใจเย็นๆ พี่จะชนผมให้กระเด็นเลยหรือไง” รณพีร์ออกแรงดันแผ่นอกแกร่งหนาของเอริคเอาไว้ด้วยทั้งขำและฉุน พี่ชายของเขารูปร่างเหมือนรถถังชะมัด เขาแทบจะยันพี่ชายร่างยักษ์คนนี้อาไว้ไม่อยู่ “ไม่ต้องตามไปหรอก ไอ้พัฒน์มันตามไปแล้ว”

“เธอเป็นใคร” เมื่อเห็นว่าถึงวิ่งตามไปตอนนี้ก็ตามไม่ทัน เอริคผู้เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวายก็หันมาไล่เบี้ยกับน้องชายทันที

“ไม่เห็นต้องดึงคอเสื้อผมเลยนี่หว่า” รณพีร์หัวเราะอย่างยียวนกวนประสาท “จ้างให้ผมก็ไม่บอกพี่หรอก อยากรู้อะไรไปถามพ่อกับแม่เอาสิ”

เอริคปล่อยคอเสื้อ น้องชายแล้วทำท่าจะเดินบุกตะลุยออกจากห้องครัวแต่ก็ชะงักหันกลับมากอดรณพีร์อย่างห่ามๆ ก่อนหนึ่งครั้งแทนการทักทายและคำขอโทษก่อนจะมุ่งหน้าตามหาบิดาและมารดาเลี้ยงทันที โชคเป็นของเขาเมื่อพบหญิงสาวอยู่ด้วย ดังนั้นเท้าของเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายหันไปยังเธอแบบไม่ต้องคิด

มธุรสใจเต้นแรงจนแทบสะเทือนไปทั้งร่างเมื่อเห็นเอริคเดินปรี่มาหาเธอด้วยสีหน้ามุ่งมั่นจนน่ากลัว เธอรีบกระโจนข้ามโซฟาไปนั่งข้างคุณนลวรรณด้วยความแตกตื่นและโล่งใจบ้างเล็กน้อยที่เห็นเขาชะงักไป

รณพัฒน์แผดเสียงหัวเราะดังลั่นออกมาในตอนนั้น เธอจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเบียดคุณหมอใหญ่ออกจากภรรยาของท่านจนท่านแทบตกโซฟาจึงได้พยายามส่งยิ้มแหยๆ ให้แทนคำขอโทษเพราะตอนนี้พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

นลวรรณกระแอมกลั้น ขำปฏิกิริยาของหนุ่มสาวแล้วหันไปสบตากับสามีซึ่งยอมลุกออกไปนั่งที่อื่นด้วยใบหน้าแดงกํ่าอย่างพยายามที่จะไม่หัวเราะออกมา

รณพีร์เดินตามเข้ามาสมทบด้วยสีหน้าและแววตาสนุกสนานก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างฝาแฝดของตนแล้วกระซิบกระซาบกันเบาๆ

“มัมมี๊ปล่อยเธอมาให้ผมดีกว่า” เอริคจ้องหญิงสาวด้วยแววตาที่ประกาศชัดว่า ‘ต้องได้!’ ทำให้เธอเดือดจัดจนหน้าแดงกํ่าเห็นได้ชัด

“เออ! มีอะไรก็ว่ามาเลย ตัวต่อตัวเลยก็ได้!” มธุรสโกรธจนเห็นช้างตัวเท่ามด หญิงสาวพุ่งเข้าไปหาผู้ชายที่ร่างใหญ่กว่าตนสองเท่าด้วยท่าทางพร้อมสู้ แปลกที่คราวนี้เขาไม่ขยับตัวเพื่อแตะต้องเธอเลยและเอาแต่จ้องตาเธอด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง ดื่มด่ำ เปี่ยมไปด้วยความหมายและเหมือนหลุมดำที่ดูดเธอเข้าไปหาลึกลงเรื่อยๆ เธอสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคย

ที่มีต่อเขารวมถึงความผูกพันที่ร้อยรัดอย่างเหนียวแน่นภายในเวลาไม่นานตอนนั้นเองที่บางอย่างผ่านวูบเข้ามาในหัว

“เธอชื่ออะไร” เอริคถามเบาๆ รู้สึกเหมือนนานแสนนานมาแล้วที่เขารอจะได้พบกับเธอ

“หวาน” มธุรสกะพริบตาหลุดออกจากภวังค์แล้วหน้าแดงเมื่อรู้ตัวว่าตอบออกไปอย่างว่าง่าย

“พ่อแม่เป็นใคร บ้านอยู่ไหน มีแฟนหรือยัง” เอริคถามอย่างมาดมั่น ไม่สนใจเสียงร้องแซวของน้องชายฝาแฝดเพราะมัวแต่สนใจมองแก้มใสๆ ของหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีกุหลาบ

“         จะถามเอาไว้จดทะเบียนประชากรหรือไง” หญิงสาวกวนโทสะกลับไปอย่างห้วนๆ

“ฉันจะถามเอาไว้จดชื่อเธอเป็นผู้อาศัยในบ้านหลังนี้แล้วก็จะให้ไปเซ็นชื่อในทะเบียนสมรสหน่อยน่ะ” ชายหนุ่มตอบห้วนพอกัน ก่อนจะหันไปหาบิดาและมารดาเลี้ยงแล้วร้องขอด้วยสีหน้าจริงจัง “สู่ขอผู้หญิงคนนี้ให้ผมหน่อยนะครับ แล้วผมสัญญาว่าจะมีหลานให้ภายในหนึ่งปีแล้วจะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรด้วย”

“ประสาทหรือไง!” หญิงสาวโวยวายเสียงหลง ท่าทางเหมือนผู้หญิงที่ถูกทำให้เสียขวัญจนทำอะไรไม่ถูกดูน่าสงสาร “เพิ่งเจอกันครั้งแรกเองนะ!”

“ฉันใจร้อน ยอมๆ ไปเถอะน่า” เอริคส่ายหัวแล้วดึงร่างสูงเพรียวเข้ามาใกล้เพื่อกดดันเธอ “ฉันจะถือว่าเธอยังไม่มีแฟน เราจะหมั้นและแต่งกันในวันเดียว แต่ต้องจดทะเบียนสมรสกันก่อน ไปวันนี้เลย”

“ไม่ไป!” มธุรสตะโกนเหมือนคนสติหลุดแล้วกระทืบเท้าเอริคโดยแรง ฉวยโอกาสตอนที่ชายหนุ่มผงะไปด้วยความเจ็บจับร่างของเขาทุ่มลงพื้น อย่างสวยงามแล้ววิ่งแจ้นหนีไปทันที

เอริคทั้งเจ็บทั้งจุก ไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้เขาจะถูกผู้หญิงคนเดิมจับทุ่มไปถึงสองครั้ง

บิดากับมารดาเลี้ยงไม่เข้ามาช่วยเขาและเอาแต่หัวเราะ

จะมีก็แต่เจ้าแฝดที่แม้จะหัวเราะก็ยังเข้ามาช่วยพยุงให้เขาได้นั่งบนโซฟา

“ลงได้ท่าสวยมากว่ะพี่” รณพัฒน์แซวขำๆ

“พี่ใช้แผนรุกเร็วไปรู้ไหม ป่านนี้ยายนั่นหนีกระเจิงกลับบ้านไปแล้ว” รณพีร์เสริม

เอริคนั่งจมกับโซฟาด้วยความผิดหวัง การที่ได้เห็นเธอเดินจากไปอีกครั้งทำให้เขารู้สึกเหมือนสีสันบนโลกนี้ได้ถูกพาไปพร้อมกับเธอด้วย

เธอจำทุกอย่างไม่ได้เลยหรือ เธอลืมได้อย่างไร ในเมื่อทันทีที่เขาสบตาเธอ ความทรงจำทุกอย่างก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย เขารอเธอมานานมาก เมื่อพบเธอแล้วเขาจึงไม่อาจทนที่จะแยกจากเธออีก เป็นเพราะเขามัวแต่ตกอยู่ในภวังค์ของตนจึงไม่สังเกตว่าเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจากคนในครอบครัวเงียบลงและมีใครบางคนมายืนอยู่ข้างโซฟาที่เขานั่ง จนกระทั่งมีแรงสะกิดที่ข้อมือ เขาจึงได้เห็นหญิงสาวผู้มีใบหน้าสวยคมยืนหน้าแดงท่าทางประหม่ามองมาที่เขาด้วยแววตาอุธัจขัดเขินและลุแก่โทษ

“ฉันชื่อมธุรส ทุกคนเรียกว่าหวาน พ่อแม่เป็นเจ้าของร้านขนมไทยโบราณ บ้านอยู่หลังข้างๆ แล้วก็ยังไม่เคยมีแฟน” มธุรสตอบเสียงเบา หน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม “เราเคยรู้จักกันมาก่อนใช่ไหม”

“ใช่” เอริคตอบเสียงแหบ พลันรู้สึกว่าเธอและเขากำลังจะผ่านเรื่องสำคัญไปด้วยกัน

“รู้จักกันมานานมากเกินกว่าใครจะรู้และจำได้ใช่ไหม”

“ใช่” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง กุมมือบางขึ้นมาแนบอก

“คิดว่า… มีลูกสักห้าหกคนเยอะไปหรือเปล่า” คนถามก้มหน้างุดก่อนจะแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนจะกลบเกลื่อนว่าไม่ได้เขิน แต่สีหน้าของเธอเปิดโปงตัวเองแล้ว

“ไม่เยอะเลย” คนตอบหัวเราะร่า พอเหลือบเห็นน้องชายฝาแฝดมองมาชนิดปากอ้าตาค้างด้วยความคาดไม่ถึงแล้วรู้สึกยืดนิดๆ ในขณะที่บิดาและมารดาเลี้ยงยิ้มให้กำลังใจอย่างเต็มที่

“ตอนนั้น … ที่บอกว่าหากฉันหนี จะเอาเชือกมัดน่ะ ไม่เห็นจะทำเลย” มธุรสกลั้นใจหันมาสบตาพราวระยับด้วยความรักใคร่ของเอริคก่อนจะยิ้มยียวนเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขินของตน “คนเขาอุตส่าห์แกล้งหนีแล้วแท้ๆ”

เอริคหัวเราะร่า เขาเห็นสายรุ้งพาดผ่านดวงตา ได้กลิ่นหอมหวานของความรักและรู้สึกเหมือนโลกนี้สว่างสดใสกว่าทุกวัน ชายหนุ่มรวบร่างของมธุรสเข้ามานั่งบนตัก แนบรอยยิ้ม ลงกับแก้มนุ่มแล้วใช้อ้อมแขนต่างเชือกรัดร่างของมธุรสเอาไว้แนบหัวใจ________________

จบบริบูรณ์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!