Skip to content

จันทร์ซ่อนเงา 7

ตอนที่ ๗

ได้รับพร

เมืองทั้งเมืองเกือบเป็นเมืองร้างเพราะชาวบ้านไม่กล้าออกจากบ้านกันหลังวันพระจันทร์แรมจนกว่าทางการจะมาตรวจความเรียบร้อย

ราชันไพรสัณฑ์ทรงม้าด้วยพระทัยร้อนและกริ้วสุดแสนจนทหารภูตผู้ติดตามต่างควบม้าตามไม่ทั

โสมหรี่ตาฝ่าฝุ่นที่ตลบคลุ้งเบื้องหลังม้าทรงของราชันแล้วนึกสังหรณ์ไม่ดีนักว่าลานประหารต้องมีเรื่องไม่ดีอย่างมากแน่ ดังนั้นเธอจึงควบม้ารั้งท้ายอย่างลังเลใจ

ลานประหารเป็นสถานที่ซึ่งมีอาถรรพ์จากคนตายบรรยากาศจึงไม่ดีนัก

โสมกระโดดลงจากม้าตามทหารภูตที่เร่งตามเสด็จเร็วรี่ ไม่ทันไรหญิงสาวก็ได้ยินพระสุรเสียงของราชันเรียกหาตน ทุกคนจึงเปิดทางให้เธอก้าวไปยืนเคียงพระองค์ที่ชี้พระดัชนีไปยังที่หนึ่งให้เธอมองตาม

ภาพที่เห็นทำให้หญิงสาววิงเวียน ตัวเย็นเฉียบ เหงื่อแตกพลั่กและคลื่นเหียนจะอาเจียน อาการขยักขย้อนของเธอทำให้ทรงผลักเธอไปหาทหารภูตที่ใกล้ที่สุดเพื่อแบกไปอาเจียนให้ไกลตาไม่ต้องอายใคร แรงสะเทือนตอนที่ถูกแบกทำให้โสมรีบปลดหน้ากากภูตอาเจียนออกมาทันทีเมื่อทหารภูตวางร่างตนลง

เธออาเจียนตัวโยนจนน้ำหูน้ำตาไหล ภาพศพที่ราชันชี้ให้เธอดูติดตานักจนไม่อาจหยุดอาเจียนได้ง่ายแม้จะไม่เหลืออะไรให้อาเจียนออกมาอีกก็ตาม

ศพเปลือยของชายนิรนามถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ข้างลานประหาร ร่างที่ถูกลอกถลกหนังจนเหลือแต่เนื้อ แดงๆ กำลังถูกอีกาจิกกินจนเว้าแหว่งหลุดลุ่ยและมีแมลงวันฝูงใหญ่ตอบหึ่ง ส่วนท้องกลวงโบ๋เหมือนถูกควักไส้ออกมาจนหมด ใบหน้าถูกถลกออกทั้ง หมดจนเห็นจมูกเหงือก ฝัน และลูกตาที่ปราศจากหนังตา แล้วในนาทีต่อมาเธอก็เห็นอีกา

จิกลูกตานั้น หลุดออกจากเบ้าเต็มสองตา เสียงร้องของมันยินดีปรีดาในความตายนัก

“ข้าเห็นครั้งแรกก็อาเจียนเช่นกันขอรับ” ทหารภูตที่มากับเธอเอ่ยปลอบเมื่อ “เราต้องมาตามดูศพแบบนี้เกือบทุกครั้งหลังวันพระจันทร์แรม นานเข้าก็เริ่มทำใจได้ อีกหน่อยท่านก็จะดีขึ้น ขอรับ”

“มันเป็นอมนุษย์จากที่ไหนกันถึงทำกับมนุษย์ด้วยกันแบบนี้ได้” หญิงสาวเปล่งเสียงพูดอย่างยากเย็น พยายามเรียกการควบคุมตัวกลับคืนมาให้เร็วที่สุด

“ก็มนุษย์ด้วยกันนี่ล่ะขอรับ” ทหารภูตนายนั้น ตอบ

“ท่านก็เห็นว่านั่นมันไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ชัดๆ” เธอยั้งอารมณ์พลุ่งพล่านไม่ได้ งานนี้ต้อองมีคนรับผิดชอบ “มันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตเดินสองขาที่ดำรงค์ชีพด้วยความสามานย์!”

“เข้าใจแล้วรึไม่ว่าทำไมข้าถึงต้องหาทางกำจัดคนเหล่านั้น ” พระสุรเสียงที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้ทหารภูตรีบถอยฉากออกมา

โสมเองก็ควบคุมตัวเองให้ยืนตรงแล้วมองสบพระพักตร์

“เข้าใจ แต่ก็ใช่ว่าจะเห็นด้วยไปทุกอย่าง” หญิงสาวลูบใบหน้าตัวเอง ไปเหลือบไปมองยังต้นไม้ใหญ่ที่แขวนศพไว้แม้จะรู้ว่าศพถูกนำลงมาแล้ว “ไม่ว่าที่ไหน ก็ต้องมีทั้ง คนดีและเลว ถ้าฆ่าเสียหมดมันไร้มนุษย์ธรรมเกินไป”

“ท่านพูดถูก” รับสั่งด้วยพระสุรเสียงเรียบ “ข้าจำต้องมีมนุษย์ธรรม แม้หลักฐานที่พบทุกเช้าหลังคืนจันทร์แรมจะไร้สิ้นมนุษย์ธรรมก็ตาม”

“อย่าประชดฉันหน่อยเลย ท่านไม่ต้องพยายามทำให้ฉันรู้สึกผิดที่คิดอย่างนี้หรอก” เธอสูดลมหายใจลึกๆ “นัดของฉันกับ ‘เขา’ ครั้งหน้า ฉันจะคุยกับเขาเรื่องนี้”

“อย่าคุยนานจนท่านต้องมาตามเก็บศพพวกนี้กับข้าทุกเดือนก็แล้วกัน!”

หลังจากวันนั้น โสมก็ซึมไป หญิงสาวย้ายมาอยู่ร่วมห้องพระบรรทมกับราชันตามที่รับสั่งเอาไว้ รับหน้าที่เป็นครูฝึ กวิชาการต่อสู้มือเปล่าให้เหล่าทหารภูตในวัง นอกเหนือจากเวลานั้น แล้วเธอมักขอปลีกตัวออกมาหยิบจับงานทำอย่างเช่นตอนนี้ที่เธอมาโรงผลิตอาวุธเพื่อปรึกษากับช่างเรื่องการออกแบบอุปกรณ์ทางการทหารแบบใหม่ ใช้ความรู้ที่เคยสัมผัสอาวุธมาทุกรูปแบบจากสภาพแวดล้อมที่มีพ่อเป็นทหารและจากงานที่ทำมาให้เกิดประโยชน์ เธอลองใช้เวลาวาดพิมพ์เขียวของลูกซองสั้น ไทยประดิษฐ์ขนาด .380 ซึ่งเป็นปืนไทยที่มีกรรมวิธีการผลิตไม่ซับซ้อนยุ่งยากให้ช่างผลิตอาวุธพร้อมทั้งกำหนดคุณภาพวัสดุที่จะนำไปใช้ ช่างผลิตอาวุธส่ายหน้าหนักใจแล้วพูดอุบอิบว่าจะพยายามเต็มความสามารถ

เธอก็พอเข้าใจว่าเทคโนโลยีมันต่างกันแต่หากลองทำสำเร็จแล้วกองทหารของกณวรรธน์ก็จะได้เปรียบ แต่ในเมื่อปืนก็ยังต้องรอ ดังนั้นวันต่อมาคนไม่อยากมีเวลาว่างก็ขอปลีกตัวมานั่งวาดส่วนประกอบของหน้าไม้ยิงฉมวกอย่างละเอียดแล้วหอบหิ้วไปปรึกษาช่างทำอาวุธประเภทหน้าไม้ซึ่งส่ายหัวทันทีเช่นกันที่เห็นส่วนประกอบที่ยุ่งยากซับซ้อนแถมวัสดุก็ถูกกำหนดคุณภาพเอาไว้ชัดเจน แต่ช่างทำหน้าไม้ก็ยังอุบอิบพูดว่าจะพยายามเต็มความสามารถ

วันที่สามเธอไม่ขอตัวจากราชันไพรสัณฑ์ แต่นั่งที่โต๊ะเล็กไม่ใกล้ไม่ไกลพระองค์แล้ววาดรูปส่วนประกอบของรอกที่ใช้สำหรับโรยตัวลงจากที่สูงอย่างละเอียดจนเปลืองกระดาษไปหลายแผ่นอีกเช่นกัน พอวาดเสร็จก็รีบแจ้นออกไปโดยไม่ลาเพราะราชันกำชับเธอว่าไม่ต้องมีพิธีรีตอง

หญิงสาวก้าวเข้าไปในโรงผลิตอาวุธแล้ววางกระดาษแผ่นนั้น ลงบนโต๊ะพร้อมแจกแจงรายละเอียดครบถ้วน ช่างทุกคนหน้าซีด เหงื่อตก แต่ก็ยังอุบอิบตอบว่าจะพยายามเต็มความสามารถ

วันที่สี่โสมนั่งวาดพิมพ์เขียวปืนรุ่นรุ่งไพศาล RPS-001 ในห้องทรงงานของราชันเหมือนเมื่อวาน โรงงานผลิตอาวุธรุ่งไพศาลนี้ปิดตัวไปนานแล้วด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงพร้อมกับพิมพ์เขียวที่หายไปอย่างลึกลับ แต่เธอได้ตั้ง เงื่อนไขในการทำงานให้องค์กรลับแห่งหนึ่งแลกกับพิมพ์เขียวนี้มาเมื่อรวมกับความชอบในอาวุธแล้วศึกษาเพียงไม่นานเธอก็สามารถจดจำพิมพ์เขียวได้แม่น เธอใช้กระดาษเปลืองกว่าเมื่อวานเพราะมีหลายชิ้น และต้องใช้ความละเอียดมาก กว่าจะเสร็จก็เย็นย่ำใกล้เวลาเลิกงานของช่าง ดังนั้นแทนที่จะออกทางประตูเธอกลับเลือกกระโดดลงทางหน้าต่างต่อหน้าพระพักตร์ราชันไพรสัณฑ์ที่ทรงขบขันในพระทัย

เมื่อท่านราชองครักษ์โสมมาเยือนโรงผลิตอาวุธยามใกล้เลิกงานช่างทุกคนจึงต้องยืนหน้าแห้งรับฟังคำสั่งด้วยใจสั่นหวิวคล้ายจะเป็นลม เมื่อเห็นแบบอาวุธชนิดใหม่ก็ยิ่งหนาวเหมือนจะจับไข้ รายละเอียดยิบย่อยวัสดุถูกระบุคุณภาพสูงเช่นเคย เมื่อท่านราชองครักษ์กำชับถามว่าทำได้ไหม ทุกคนจึงพยักหน้าอย่างเลื่อนลอยแล้วตอบด้วยประโยคเดิมๆ คือจะพยายามเต็มความสามารถ

วันต่อมาหลังจากกลับที่พักทหารภูตเพื่อไปหยิบผ้ารัดหน้าอกมาเปลี่ยนแล้ว โสมเดินขึ้นพระตำหนักสุริยันพลางคิดว่าวันนี้จะวาดรูปอาวุธอะไรดีแล้วก็เกือบจะจับคนที่อยู่ๆ ก็ก้าวเข้ามาขวางทางทุ่มลงกับพื้น ตามปฏิกิริยาอัตโนมัติหากไม่ได้กลิ่นเครื่องหอมที่คุ้นจมูกเสียก่อน หญิงสาวกำลังจะอ้าปากถามว่าทรงมายืนทำอะไรตรงนี้ก็ถูกพระพาหาล่ำกำยำของพระองค์ลากคอออกมาที่อุทยานโดยมีเหล่าทหารภูตตามอารักขาสมทบอยู่ห่างๆ

“อะไรของท่านเนี่ย” โสมถามเมื่อเป็นอิสระแล้ว

ราชันหน้ากากภูตยืนกอดพระอุระทอดพระเนตรมาพลางส่ายพระเศียรอย่างเพลียพระทัย

“วันนี้ท่านวางแผนจะทรมานพวกช่างในโรงผลิตอาวุธอย่างไรบ้าง” รับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงเจือรอยพระสรวล

“ไม่ได้ทรมานนี่” หญิงสาวคิดตามไม่ทันนัยยะเชิงหยอกล้อนี้ “ฉันไปที่นั่นเพื่อเอาแบบอาวุธไปให้ช่างทำต่างหาก”

“แล้วทำไมพวกช่างถึงต้องบุกเสี่ยงตายมาขอเฝ้าฯ ข้าตั้งแต่เช้าด้วย หน้าตาเหมือนถูกกระทำทรมานเช่นนั้น” ทรงพระสรวลอย่างอดไม่อยู่เมื่อพระราชดำริถึงท่าทางหวาดกลัวระคนรันทดท้อทรมานของเหล่าช่าง พวกนั้นกลัวพระองค์ก็กลัว แต่ก็กลัวถูกท่านราชองครักษ์โสมทรมานมากกว่า จึงได้แต่ลองเสี่ยงมาเฝ้าฯ ช่างน่าขันจริงๆ

“ท่านคงได้รับพรให้เป็นผู้ที่สามารถทารุณจิตใจคนได้โดยไม่ต้องอาศัยความพยายามอะไร”

“ฉันเปล่านะ” เธอปฏิเสธแข็งขัน เกือบจะเผลอหลุดเสียงจริงของตัวเองออกมา ดังนั้นประโยคต่อไปจึงระมัดระวังดัดเสียงให้เนียนมากขึ้น

“ฉันไปให้เขาทำอาวุธต้นแบบให้จริงๆ ต้องมีการเข้าใจผิดอะไรแน่ๆ”

“อาวุธที่ท่านสั่งพวกเขาทำนั่นล่ะที่เป็นเครื่องทรมาน” รับสั่งเสร็จก็ทรงพระสรวลพรวดออกมาดังลั่น ทำเอาอุทยานหมองไปเพราะมีเสียงพระสรวลที่สดใสยิ่งกว่า “พวกเขามากางแบบทั้งหมดให้ข้าดูพลางโอดครวญไปว่าอันนี้ทำยาก อันนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ อันนี้วัสดุแทบจะหาไม่ได้เลย อันนี้ทำได้แต่ไม่ทราบตอนประกอบอย่างไร ต้องใช้อะไรประกอบเหล็กพวกนี้เข้าด้วยกันได้ ท่านไม่ได้มานั่งฟังด้วยเพราะกลับไปเรือนพักเสียก่อน ข้ากลั้นขำแทบตาย”

“อ่า… ฉันก็แทบตายเหมือนกันเพราะหัวใจจะวายที่อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงท่านหัวเราะเนี่ยแหละ” โสมหัวเราะแหะๆ

“มันผิดปกติตรงไหน” ทรงสงสัยเป็นจริงเป็นจัง

“ปกติท่านจะหัวเราะให้ได้ยินเสียที่ไหนกัน ถ้าท่านหัวเราะก็จะมีแค่เสียง ‘หึหึ’ แบบไม่น่าไว้ใจมากกว่า” โสมตอบอย่างใจกล้า แต่เล่นเอาคนที่แอบตะแคงหูฟังอยู่โดยรอบสะดุ้งไปตามกัน

“บางทีก็หัวเราะแบบน่าสยดสยอง ถ้าเป็นในละครท่านก็เป็นหัวหน้าตัวร้ายเลยล่ะ”

‘ลูกน้องตัวร้าย’ หลายนายค่อยๆ ตีวงการอารักขาเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นเพราะโอกาสจะได้ฟังการโต้ฝีปากสนุกๆ แบบนี้มีมากเสียที่ไหน คนเดียวที่กล้าและคล้ายจะมีสิทธิ์ทำได้เห็นจะมีแต่ท่านราชองครักษ์โสมเพียงคนเดียว

“อ้อ… ถ้าข้าเป็นหัวหน้าตัวร้าย แล้วท่านเป็นอะไร” พระองค์รับสั่งย้อนถาม

“เป็นพระเอกอยู่แล้ว” โสมพยักหน้าหงึกหงักเออออให้ตัวเอง ก็ตอนนี้คงบอกว่าเป็นนางเอกไปไม่ได้

“มีบ้างไหม ที่พระเอกถูกหัวหน้าตัวร้ายฆ่าตายตอนจบ” พระสุรเสียงที่รับสั่งไม่แสดงพระอารมณ์เลย

“ไม่มี๊” หญิงสาวรีบตอบเสียงสูง แอบเหลือบมองไปรอบๆ จึงเห็นว่าเหล่าทหารภูตวนเวียนอารักขาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีกับตัวเธอหรือไม่ ก็ราชันไพรสัณฑ์น่ะคาดเดาพระอารมณ์ได้เสียที่ไหน “จุด

จบน่ะมันต้องเป็นตอนพระเอกกับหัวหน้าตัวร้ายสู้กันเพื่อแย่งผู้หญิง เอ๊ย! สู้กันเพื่อชิงนางเอกต่างหาก แล้วพระเอกก็ต้องแทงหัวหน้าตัวร้ายจนสิ้น ใจตาย”

ว่าจะไม่หัวเราะ เหล่าลูกน้องตัวร้ายก็อดไม่ได้จึงหัวเราะกันออกมาคนละทีสองที

แต่ราชันหน้ากากภูตคงไม่ได้ทรงสดับเสียงเหล่านั้น เพราะมัวแต่ทรงพระสรวลเสียงดังลั่นชนิดเบิกฟ้าเบิกตะวันได้ทีเดียว

“เอาเถอะ… ข้าอยากให้ท่านเห็นใจพวกช่างเสียหน่อย อย่าเพิ่งหางานชิ้น ใหม่ให้พวกเขาทำจนกว่าพวกเขาจะทำงานที่ท่านสั่งสำเร็จ” ทรงโบกพระหัตถ์ห้ามพระองค์เองให้เลิกสรวล

“ส่วนท่าน… ตอนนี้ข้าไม่ต้องการคนอารักขาใกล้ชิดอะไร ดังนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านว่างงานจนหาเรื่องทรมานคนอื่นอีก”

“โธ่… ทรมงทรมานอะไรกัน” หญิงสาวพูดอุบอิบ

“ข้าจะส่งท่านไปเลี้ยงเสือของข้าหนึ่งสัปดาห์ก็แล้วกัน” รับสั่งเสร็จก็ไม่รอคำทักท้วง “พวกเจ้าสองคนพาท่านโสมไปที่โรงเลี้ยงเสือที กำชับพรานที่นั่นให้ดูแลท่านให้ดีเป็นพิเศษด้วย อ้อ… อยู่กันดีๆ นะท่าน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน เสือของข้าไม่ใจดีนักหรอกแต่ก็น่าเอ็นดูกันทุกตัว พวกเจ้ามาพาท่านไปเร็วสิ มัวแต่หัวเราะอันใดกัน!”

“พระเจ้าค่ะ” ทหารสองนายอาสาพาท่านโสมที่ยืนเป็นเบื้อเป็นใบ้เพราะตั้งตัวไม่ติดด้วยการล็อคแขนทั้งสองข้างแล้วหิ้วออกไป

“ท่านว่าอะไรนะ! นี่ส่งฉันไปเลี้ยงเสือหรือเนี่ย!” หญิงสาวได้สติแล้ว แค่คิดสภาพโรงเลี้ยงเสือของราชันไพรสัณฑ์เธอก็สยองแล้ว ก็ตัวคนเลี้ยงยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เสือทรงเลี้ยงก็คงร้ายไม่แพ้พระองค์เช่นกัน

“ไม่ใช่งานยากหรอก ง่ายพอๆ กับที่ข้าต้องนั่งฟังเสียงครํ่าครวญของพวกช่างนั่นล่ะ”

“แล้วจะให้ฉันนอนที่ไหนล่ะ”

“ก็นอนกับเสือ”

โสมรู้ทันทีว่าราชันหาเรื่องเอาคืน แต่หญิงสาวก็ไม่เคยปล่อยให้ใครเอาคืนได้ง่ายๆ เช่นกัน เธอจึงบิดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างง่ายดาย แล้วแจ้นไปถึงตัวราชันไพรสัณฑ์ที่ตั้งท่าเตรียมรับการจู่โจม หากสิ่งที่เธอทำกลับไม่ใช่การทำร้ายแต่เป็นการฉวยพระหัตถ์ใหญ่แล้วจูบลงไปแรงๆก่อนพูดเสียงดังเหมือนตะโกนว่า “ถึงคืนนี้ท่านจะเหงาเพราะไม่มีฉันให้นอนกอดก็ไม่ต้องตามไปถึงโรงเลี้ยงเสือนะสุดที่รัก!”

พูดจบก็แจ้นออกไปเร็วปานสายลมนำหน้าทหารภูตสองนายที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ “เร็วสิพวกนายสองคนน่ะ ฉันจะรีบไปเลี้ยงเสือ เร็วเร้ว!”

ยอมรีบไปเลี้ยงเสือที่นั่น ดีกว่ารอโดนเสือที่นี่ขย้ำตายคาอุ้งเท้าล่ะนะ!

ในห้องหับปิดมิดชิดมีเพียงแสงสลัวจากทิวาวารด้านนอกเรือนส่องให้เห็นบุรุษสองคนที่กำลังนั่งเคร่งเครียดกันอยู่ คนหนึ่งรูปร่างหน้าตาดุจเทพบุตรบนสรวงสวรรค์ คนหนึ่งกลับเหมือนตัวตนในเงามืด หล่อเหลาทว่าเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งความตาย รอยยิ้ม เหี้ยมเกรียมที่ประดับอยู่บนริมฝี ปากรูปสวยนั้นก็ไม่อาจลดทอนความงามของเขาไปได้ แต่กลับ

ลดทอนความเป็นมนุษย์ในจิตใจของเขาลงไปทีละนิดโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว

“พี่ได้ยินข่าวท่านราชองครักษ์โสมแล้วใช่รึไม่” ชายร่างผอมบางกว่าพูดเสียงแหบและเยาะหยันชวนให้นึกถึงเสียงขู่ฟ่อของอสรพิษ “ลือกันว่าหน้าตาหมดจดงดงามยิ่ง ราชันไพรสัณฑ์โปรดปราณนักรับเข้าห้องพระบรรทม รักใคร่สนิทสนมจนเหล่านางกำนัลเล่าลือกันด้วยหัวใจแตกสลาย”

ธรรม์หน้าเปลี่ยนสีไปชั่วครู่หนึ่งเมื่อฟังความจากปากน้องชาย ก่อนจะปรับเป็นเย็นชาไม่เจรจา แต่คนน้องจะนึกเกรงใจก็หาไม่

“สรุปแล้วมันเป็นตัวอันใดกัน หลอกล่อราชันไพรสัณฑ์ให้งมงาย ยั่วยวนจนนางสุวิมลยอมลดตัวอ้อนวอนมันได้ และยังล่อลวงให้พี่ยอมไว้ชีวิตมัน! ทั้ง ที่ท่านรับปากข้าว่าจะนำเลือดเจ้าชู้ของมันมาชำระศักดิ์ศรีของข้า!”

“เลิกบ้าเสียที! ข้าทำไปย่อมมีเหตุผล เจ้าอย่าได้ไต่ถามให้มากความ!” ชายหนุ่มมองปรามด้วยแววตาเยือกเย็น ราวกับท่าทีเกรี้ยวกราดของน้องชายไม่ได้ทำให้เขาระคายใจได้แต่อย่างใด

“พี่ไม่เคยผิดคำพูดกับข้ามาก่อน ไอ้ราชองครักษ์นั่นมันมีดีอย่างไรท่านถึงได้เห็นแก่มัน!” ชายร่างผอมไม่อาจทนได้ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใดพี่ชายจะหามาให้ รับปากสิ่งใดก็จะทำตามอย่างเคร่งครัดไม่บิดพลิ้ว มาบัดนี้พี่ชายกลับผิดแผกไป ทำเหมือนเขาไม่ค่อยมีความสำคัญต่อพี่อีกแล้วตั้งแต่ได้เจอไอ้ราชองครักษ์นั่น “รึท่านจะ

หลงใหลมัน! วิปริตไปแล้วรึไร เมียท่านก็มีเชิดชูอยู่ทนโท่ น่าขายหน้านัก!”

“ข้าจะไม่พูดเรื่องนี้กับเจ้าอีก” ธรรม์สะกดกลั้น อารมณ์ของตนไม่ให้ระเบิดออกมา น้องชายของเขาเกิดมาพร้อมคำสาปที่น่าเวทนานักฉะนั้น เขาจึงเลี้ยงดูตามใจมาตลอด ไม่คิดว่าเป็นเขาเองที่ทำร้ายน้องชายจนกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้ “เจ้าอยู่เฉยๆ มีความสุขตามอัตภาพไปก็พอแล้ว”

“มีความสุขตามอัตภาพงั้น รึ!” ดูเหมือนคำพูดของชายหนุ่มจะจี้ใจดำน้องชายเพราะอารมณ์รุนแรงที่มีนั้น แสดงออกมาขึ้นกว่าเดิม ร่างผอมบางถลาเข้าไปหาพี่ชาย กำคอเสื้อนั้นแน่นด้วยความอัดอั้นคับแค้น ริษยาและตัดพ้อต่อความอยุติธรรมของโชคชะตา

“ท่านดูข้าสิ! ข้าเป็นตัวอะไรกันแน่! ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไม่อาจพบแสงสว่างเหมือนสัตว์เดียรัจฉานสักตัวที่ต้องมุดหัวอยู่แต่ในรูยามทิวาวาร จะโผล่หัวขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อรัตติกาลมาเยือนแล้วเท่านั้น ชีวิตบัดซบเช่นนี้รึคือความสุขตามอัตภาพที่ข้าสมควรได้รับ!” ความทุกข์ที่ฉายชัดในแววตาของน้องชายทำให้ความโกรธและอารมณ์ฉุนเฉียวร้อนแรงถูกดับลงมอดสนิท

ชายหนุ่มกอดไหล่อันสั่นเทาของน้องชายอย่างอับจนด้วยคำตอบ น้องชายของเขาต้องทุกข์ทรมานกับคำสาปที่ติดมาแต่กำเนิดจึงกลายเป็นคนเก็บกดแล้วแสดงออกมาในรูปของความโหดเหี้ยมและเกรี้ยวกราด ซึ่งเขาเองก็ไม่อาจขัดขวางความสุขที่มีเพียงน้อยนิดนั้น จึงได้แต่ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบหากมีใครรนหาที่ตายเอง

แต่คำสาปร้ายแรงนี้กลับมาพร้อมพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง น้องชายผู้อมโรคของเขาเป็นอัจฉริยะทางการแพทย์และการปรุงยา ไม่ว่าจะเป็นยารักษาหรือยาพิษ ก็สามารถสั่งคนเป็นให้เป็นคนตายหรือฟื้นคนตายให้ตื่นขึ้น มาได้ พรสวรรค์นี้ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วน้องชายไม่ได้รับคำสาป เพียงแต่ได้รับพรที่จำต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงต่างหาก

“เจ้าก็รู้ว่าหากข้าสามารถทำลายคำสาปของเจ้าได้ ข้าไม่ลังเลที่จะทำ” ธรรม์ใช้ความอบอุ่นเข้าปลอบโยนดวงใจอันบอบช้ำและบิดเบี้ยวดวงนี้โดยหวังว่าจะกล่อมเกลาให้อ่อนโยนได้บ้าง “ข้ามองมิเห็นทางใด นอกจากฝึกปรือกองกำลังของเราให้เข้มแข็งแล้วค่อยเดินทางไปอสุราชนครซึ่งเป็นเมืองแห่งอาคมเพื่อค้นหาผู้ทรงวิชาที่สามารถแก้คำสาปให้แก่

เจ้า”

“จะสำเร็จจริงหรือ” สายตาและน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวังทำให้หัวใจของพี่ชายเจ็บปวด เขาจำเป็นต้องให้ความหวังเพื่อให้น้องชายมีกำลังใจจะอยู่ต่อแม้ว่าเขาไม่แน่ใจว่าคำสาปร้ายแรงเช่นนั้น จะมีใครถอนให้ได้ก็ตาม

“ข้าเชื่อเช่นนั้น ” ชายหนุ่มตบไหล่เล็กบางเบาๆ เพื่อให้ความมั่นใจและเขาก็พบว่าคิดถูกที่ทำเช่นนั้น เมื่อแสงเรืองรองแห่งความยินดีเปล่งประกายขึ้น ในดวงตาอันมืดมนและหนาวเหน็บของน้องชาย

“ข้าขอบคุณพี่ พี่ดีกับข้ามากจริงๆ” มือบอบบางปล่อยคอเสื้อพี่ชาย แล้วนั่งลงกุมมือใหญ่อันเข้มแข็งทรงพลังราวกับได้ฝากความหวังทั้งมวลให้แก่เขา

“ก็เจ้าเป็นน้องชายคนเดียวของข้า” ธรรม์ปลอบด้วยเสียงทุ้มนุ่มสะกดใจคน “ถ้าไม่ทำดีกับเจ้าแล้วจะทำดีกับใครเล่า…” โสม!

“ฮัดเช้ย!”

“โฮก!”

“กรรย์!”

“หนวกหูเฟ้ย! หุบปากมันทุกตัวนั่นแหละ!” โสมขยี้จมูกตัวเองแรงๆ จนแดงกํ่าเพื่อไล่อาการคันจมูกก่อนหันไปดุเสือโคร่งหลายตัวที่เดินวนเวียนอยู่รอบกาย ทุกตัวพากันเงียบทันทีอย่างแสนรู้ “เกิดมาเป็นเสือดันขี้ตกใจยิ่งกว่าแมวหง่าวเสียอีก เสียชาติเกิดจริงๆ เลยพวกแกนี่”

“ท่านโสมยังไม่ได้ให้อาหารพวกมันเลย มันก็เลยตามท่านอย่างไรเล่า” พรานหนวดเฟิ้มส่งเสียงบอกราวกับว่าเป็นความผิดของโสมเองต่างหากที่ไม่ยอมให้อาหารจนทำให้พวกมันต้องเดินตาม

“ขอโทษเถอะนะ!” โสมอยากจะถอดหน้ากากภูตออกให้พรานได้เห็นว่าสีหน้าของเธอเป็นยังไง “ไอ้เหมียวยักษ์พวกนี้มีกันตั้ง กี่ตัว แต่ละตัวกินเนื้อหนักเท่าไหร่ จะให้ฉันขนมาป้อนมันทุกตัวเพียงคนเดียวมันคงจะเสร็จทันใจหรอก”

“ก็ราชันรับสั่งว่าให้ดูแลท่านเป็นพิเศษ” พรานหนวดเฟิ้มไหวไหล่เดินเข้ามาตบหัวเสือโคร่งข้างกายท่านราชองครักษ์อย่างไม่สะทกสะท้าน

“แล้วเจ้าพวกนี้ก็ชอบท่านมาก ว่าง่ายจนน่าแปลกใจด้วยซ้ำ ”

“เฮอะ!” หญิงสาวแค่นเสียงแล้วสะบัดหน้าไปเข็นเนื้อเข้ามาในกรงด้วยความฉุนเฉียว ตอนแรกที่รู้ว่าถูกส่งมาเลี้ยงเสือเธอก็กลัวอยู่หรอก แต่พอมาเห็นภาพเสือที่เชื่องเสียจนเหมือนแมวบ้าน ดูไร้ความน่าเกรงขามอย่างน่าทุเรศทุรังลูกนัยน์ตาก็หมดความนับถือโดยสิ้นเชิง มีเสือที่ไหนบ้างแค่ทำเสียงดังนิดเดียวก็พากันร้องตกอกตกใจ

เธอถูกเสือโคร่งพวกนี้กดขี่ข่มเหงมาห้าวันแล้ว ต้องคอยป้อนอาหารให้ทุกมื้อ อาบน้ำให้ทุกวัน ทำความสะอาดกรง กวาด โกย สารพัด ถึงงานเธอจะหนักแต่พวกมันไม่ได้เห็นใจเธอสักนิด พวกมันชอบมาแย่งกันนัวเนียอยู่กับเธอ ไซ้ตัว เลียผิวประจบประแจงราวกับคนออดอ้อนคนรักจนเธอพิพักพิพ่วน ยิ่งรู้ว่าเสือโคร่งที่นี่เป็นเสือตัวผู้ทั้งนั้น เธอก็ยิ่งขนลุกซู่

ไอ้เสือโคร่งชีกอ!

“กินกันเข้าไปเลยนะ แล้วก็เลิกตามฉันได้แล้ว” โสมเข็นรถเข้ามาในกรง โยนเนื้อชิ้นโตให้สมาชิกหน้าขนกันไว้ตัวละชิ้น แล้วยืนเท้าสะเอวมองเจ้าตัวปัญหาทั้ง หลายที่หมอบลงนอนแทะชิ้นเนื้อกันอย่างสำราญใจ ช่างเป็นต้นแบบเสือนอนกินโดยแท้

“ฉันจะไปนอนกลางวัน ห้ามปลุก ห้ามกวน ฝ่าฝืนเจอเตะ!” พูดจบก็เข็นรถออกจากกรงแล้วกลับเข้าที่พักซึ่งเป็นเพียงกระท่อมหลังเล็กๆ มีเครื่องนอนและเครื่องใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

โสมถอดหน้ากากออกล้างหน้าจนสดชื่น สลัดเครื่องแบบทหารภูตออกจนเหลือเพียงผ้าที่พันหน้าอกไว้ เสื้อผ้าฝ้ายตัวในและกางเกงขาสั้น ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงไม้แข็งทื่อเพื่อหลับเอาแรง การรบกับเสือโคร่งชีกอทั้งฝูง

สิ้นเปลืองพลังงานไม่น้อยหรอก เพียงแค่หัวถึงหมอนเธอก็เข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย

ทุ่งดอกไม้สดสวยกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาทำให้หญิงสาวตะลึง กลิ่นหอมระรื่นอบอวลลูบโลมผิวเมื่อสายลมพัดหวน ผีเสื้อและแมลงปอพากันชื่นชมดอกไม้จากดอกนั้น สู่ดอกนี้ด้วยความรื่นเริง นกส่งเสียงร้องสดใส แล้วบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือหัวเธอ ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก แสงสว่างบนท้องฟ้าไม่ใช่มาจากดวงอาทิตย์กลับดูคล้ายว่าท้องฟ้าเรืองแสงขึ้น มาเองอย่างน่าอัศจรรย์

“เป็นฝันดีที่สุดตั้ง แต่มาอยู่ที่นี่เลยนะเนี่ย” โสมหัวเราะแล้วทิ้งตัวลงนอนมองฟ้ากว้าง

“ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อคุยกัน” เสียงที่ดังขึ้น ทำให้คนที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงนอนทะลึ่งลุกขึ้นนั่งโดยเร็ว มือแตะที่ข้างเอวซึ่งเป็นตำแหน่งพกดาบโดยพลันก่อนนึกขึ้น ได้ว่าตนอยู่ในฝันและอยู่ในเครื่องแต่งกายก่อนนอน

“ข้าอยู่ข้างหลังเจ้าหรอกแม่ตัวดี”

โสมหันไปข้างหลังจังพบหญิงสาวในชุดสไบสีเหลืองนวลและผ้าจีบหน้านางสีน้ำตาลแดงปล่อยผมยาวถึงกลางหลังนั่งสบายอยู่บนแท่น แต่ที่น่าตกใจก็คือใบหน้านั้นเหมือนเธอราวกับถอดออกจากพิมพ์เดียวกัน หญิงสาวอึ้งไปชั่วครู่ก่อนลุกขึ้น ไปลูบๆ คลำๆ อย่างไม่เกรงใจ

“ยี๊! ถึงเจ้าจะเป็นสตรีแต่ก็เคยทำบัดสีกับผู้หญิงด้วยกันมาแล้ว อย่ามาแตะต้องตัวข้าเชียวหนา ขนลุก!”

“หน้าก็เหมือน เสียงก็เหมือนด้วย” หญิงสาวอุทานด้วยความประหลาดใจ เสียงของสาวตรงหน้าเหมือนเสียงของเธอตอนไม่ดัดเสียงมากเหลือเกินจนเธอนึกว่ากำลังคุยอยู่กับตัวเอง

เอ่อ… ที่จริงก็แตกต่างกันอยู่ตรงที่เธอคงนั่งกระมิดกระเมี้ยนเป็นกุลสตรีแบบนี้ไม่ได้แน่

“ข้าก็คือเจ้า เจ้าก็คือข้า ไม่มีอันใดแปลกประหลาด” สตรีนางนี้ใช้ใบหน้าของเธอทำท่าแง่งอน ดูแล้วเธออดทำหน้าแปลกๆ ขึ้น ไม่ได้

“อ่า… ท่านคงเป็นแม่หญิงจันทรวดีใช่ไหม” หญิงสาวนึกถึงคำบอกเล่าของนลวรรณที่ว่าแม่หญิงจะมาเข้าฝันบ้างในบางครั้ง “มีอะไรจะคุยกับฉันรึเปล่า”

“ข้าแค่จะมาเตือนเจ้าว่านับจากนี้เจ้าคงต้องลำบากสาหัสหน่อย” แม่หญิงจันทรวดีคนงามไว้ท่าเย่อหยิ่งแต่ก็ยั่วเย้า ปรายดวงตาสีน้ำเงินแพรวพราวมองหญิงสาวที่ยิ้มขมๆ ด้วยความไม่พอใจ “อะไรกันนัก ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น ”

“ก็ตัวฉันเองยังไม่เคยทำท่ายั่วยวนแบบนี้เลย ยิ่งเล่นหูเล่นตาแบบผู้หญิงก็ยิ่งไม่เคยทำ พอเห็นแม่หญิงใช้รูปร่างหน้าตาของฉันทำก็อดจะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างน่ะ” โสมหัวเราะแหะๆ ยิ้มแห้งๆ

“เกิดมาเป็นหญิงไม่รู้จักใช้มารยา ช่างเสียชาติเกิดนัก”

“ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ต่างหาก” หญิงสาวแก้ตัว “ว่าแต่ที่แม่หญิงบอกว่าลำบากสาหัสน่ะ จะเกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ก็แค่เจ้าต้องเผชิญวิบากกรรมน่ะสิ” แม่หญิงคนงามตอบเหมือนไม่ได้ตอบ “เกิดมาเป็นเจ้านี่ช่างน่าเวทนาเสียจริง สาหัสแท้หนอ ยิ่งกว่ายายนลวรรณเสียอีก”

“วิบากกรรมของฉันมันคืออะไรล่ะ ถ้าแม่หญิงต้องการเตือนฉันจริงๆ ก็ต้องบอกฉันจริงไหม” เธอสังหรณ์ไม่ดี เพราะคำพูดของแม่หญิงจันทรวดีไม่ใช่ว่าควรปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ “หรือแม่หญิงก็แค่มาแสร้งทำใจดี เอาตบะที่เพียรภาวนามาล้อเล่น”

“ปากหล่อนมันน่าเอาขี้เถ้ายัดนัก” แม่หญิงจันทรวดีดวงตาลุกวาบจนโสมใจเสีย “ตบะของข้าจะไม่เสื่อมเพราะผิดคำพูดกับเจ้าแน่”

“ถ้าอย่างนั้น แม่หญิงน่าจะแสดงให้เป็นรูปธรรมหน่อยนะ” โสมยังทำใจดีสู้ “อย่างเช่นให้อะไรฉันไว้คุ้มหัวเล็กๆ น้อยๆ”

แม่หญิงจันทรวดีกระพริบตาปริบมองโสมที่ยิ้มหน้าแป้นประจบประแจงก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงแจ่มใสราวกับจะเบิกโลกทั้งโลกให้มีแต่ความสุข

หญิงสาวมองนางด้วยความเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะได้สติแล้วขนลุกซู่เมื่อตระหนักได้ว่าตนคล้ายเคลิ้มกับรูปโฉมโนมพรรณของตัวเอง

“หัวแข็งอย่างเจ้าคงพอจะผ่านวิบากกรรมไปได้” แม่หญิงพูดเจือหัวเราะ “แต่เห็นแก่ที่เจ้าทำให้ข้าหัวเราะได้ ข้าจะให้พรเจ้าหนึ่งข้อ”

“แม่หญิงเจ๋งที่สุด ถ้าอย่างนั้น ฉันขอพรเลยนะ” หญิงสาวตบมือฉาดระริกระรี้อยากได้พร ดวงตากลอกไปมาอย่างครุ่นคิดเจ้าเล่ห์ “ฉันขอพร…ขอให้ฉันได้รับพรสามประการ”

เกิดความเงียบขึ้นชั่วอึดใจละม้ายโลกทั้งใบหยุดชะงัก ก่อนที่แม่หญิงจันทรวดีคนงามจะแผดเสียงดังก้องทั่วทั้ง ฟ้า “เจ้ามนุษย์นี่เจ้าเล่ห์นัก!”

“ฉันก็ขอพรข้อเดียวยังไงล่ะแม่หญิง” หญิงสาวทำเสียงออดๆเหมือนมอดแทะไม้ขณะติดในใจว่านี่เกรงใจกันแล้วนะถึงได้ขอแค่สามข้อ

“เจ้า! เจ้ามัน!” แม่หญิงจันทรวดีหน้าแดงก่ำ ชี้นิ้วสั่นระริกอย่างเสียจริตเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ควบคุมสติอารมณ์แล้วกัดฟันพูด “มีอะไรจะขอก็ว่ามา!”

“พรข้อแรกฉันขอให้ฉันโชคดี พรข้อที่สองขอให้ฉันเป็นเอตทัคคะในด้านเวทมนตร์” โสมขอพรด้วยใบหน้าแจ่มใส

จนแม่หญิงจันทรวดีนึกหมั่นไส้ แต่ในเมื่อตกหลุมพรางแล้วก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกล้ำกลืนให้พรส่งไป

“ได้ตามที่ปรารถนาย่ะ!” มือบางโบกไปข้างหน้า

หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีลมอุ่นวูบหนึ่งลูบไล้ไปทั่วร่างก่อนจะจางหายไป เธอลูบเนื้อลูบตัว แล้วเงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้าฉงนฉงาย “แค่นี้หรือ ฉันนึกว่าจะได้เห็นแสงสีแล้วก็อภินิหารอะไรมากกว่านี้เสียอีก”

“หล่อนจะเอาหรือไม่เอา!” แม่หญิงคนงามแหวเสียงแหลม ตาลุกวาบ

“เอาจ้ะเอา”

“แล้วอีกข้อหนึ่งล่ะ รีบๆ ขอมาเสียที ข้าเหม็นขี้หน้าเจ้าเต็มทนแล้ว!”

โสมครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนหัวเราะเสียงดังแต่ดวงตากลับแห้งผากลึกล้ำอ่านยาก แล้วหญิงสาวก็ขอพรข้อสุดท้ายด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบของสายลมที่ลอดกิ่งไผ่ แต่ถึงอย่างนั้น แม่หญิงจันทรวดีก็สดับได้

และได้แต่ให้พรข้อนั้น ด้วยความเวทนา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!