Chapter 2
นากถูกแทง
“ป้าระวัง!” แดงร้องเตือนแล้วก็หันไปต่อยผู้ชายที่จับแขน ผู้ชายอีกคนชักมีดออกมาจากเอว ส่วนผู้ชายที่จับแขนเด็กสาวก็เอี้ยวตัวหลบหมัดแล้วก็ต่อยท้องแดง “ตั๊บ!”
“โอ๊ย!” แดงจุกจนยืนมิไหว นากเห็นหลานถูกทำร้ายก็ปี่เข้าไปอย่างลืมตัว ผู้ชายที่ถือมีดจึงแทงนากเต็มแรง “ฉึก!”
“โอ๊ย!” นากร้องด้วยความเจ็บปวดแล้วก็ทรุดลงไปกองกับพื้น
“ป้า!” แดงตกใจร้องเรียกป้าทั้งๆที่ยังจุก รุ้งมณีถลันเข้าไปตวาดว่า “ไอ้เลว!”
ชายทั้ง 2 มองรุ้งมณีอย่างตะลึง! “โอ้! แม่หญิงเจ้าช่างงามนัก!”
ผู้ชายที่จับแขนแดงปล่อยมือทันทีแล้วก็ก้าวพรวดเข้าหาแม่หญิงที่งดงามนางนั้น “แม่ช่างงามหยาดฟ้ายิ่งนัก”
ส่วนผู้ชายที่ถือมีดก็ก้าวเข้าหารุ้งมณีอย่างลืมตัว “ผิวพรรณแม่ช่างขาวนวลเสียจริง”
ทั้งสองคนพูดอย่างลืมตัวตะลึงในความงามของแม่หญิงนางนั้น รุ้งมณีชะงัก! พลางก้าวถอยหลังอย่างตั้งท่าเตรียมพร้อม แดงฉวยโอกาสตอนที่พวกมันเผลอ นางคว้าท่อนไม้ได้ขนาดเหมาะมือก็ลุกพรวดฟาดหัวไอ้คนที่แทงป้าเต็มแรง “โป๊ก!”
“โอ๊ะ!” มันร้องได้เพียงนั้นแล้วก็ล้มทั้งยืนตึง! มีดหลุดมือตกลงพื้น ผู้ชายอีกคนหันไปมองสหายอย่างตกใจ รุ้งมณีจึงฉวยจังหวะเตะเข้าก้านคอตั๊บ! ไม่มีเสียงร้องสักแอะ มันก็ล้มลงไปกองกับพื้น ต้องขอบคุณคุณลุงเจ้าของค่ายมวยข้างบ้านที่สอนมวยให้เธอไว้ป้องกันตัว แดงพุ่งไปคว้ามีดที่ตกพื้นแล้วก็ถลันเข้าไปจับพวกมันปาดคออย่างโกรธแค้น “ตายเสียเถอะไอ้พวกชั่วช้า!”
“อย่า!” รุ้งมณีร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เลือดพุ่งกระฉุดจากคอ เธอตะลึง! ยกมือปิดปาก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น พอปาดคอคนแรกแล้วแดงก็ถลันไปปาดคออีกคนอย่างคลั่งแค้น “มึงตาย!ๆๆๆ”
เลือกพุ่งกระฉุดไหลนองแดงฉาน เนื้อตัวแดงเต็มไปด้วยเลือด พอปาดคอพวกมันเสร็จแดงก็ถลันเข้าไปหาป้า “ป้าจ๋า ป้าอย่าเป็นอะไรนะจ๊ะ”
รุ้งมณีได้แต่ยืนตะลึงมองดูชายทั้ง 2 คนกระตุกขาดใจตาย ใจหนึ่งก็นึกสงสารผู้ชายทั้ง 2 คนไม่น่าจะต้องมาตายแบบนี้เลย อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเด็กสาวทำเกินกว่าเหตุไปรึเปล่า? แต่ถ้าเป็นเธอเห็นยายแก้วถูกแทง เธอก็คงเลือดขึ้นหน้าฆ่าไม่เลี้ยงยิ่งกว่าเด็กสาวเป็นแน่
“ป้าจ๋า ป้า! โฮๆๆๆ” แดงกอดป้าร้องไห้โฮ รุ้งมณีตั้งสติได้ เธอรีบเข้าไปดูนากทันที นากถูกแทงที่ท้อง เลือดไหลริน
“รีบห้ามเลือดก่อนเถอะ” เธอบอกพลางล้วงหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อเอามากดปากแผลห้ามเลือด
“โอย!” นากร้องด้วยความเจ็บปวด นางมองหน้าหลานพลางถามอย่างเป็นห่วงว่า “เอ็งเป็นอะไรหรือไม่นังแดง?”
แดงส่ายหน้า “ข้ามิเป็นอะไรจ้ะป้า ฮือๆๆๆ”
นากพยักหน้าดีใจแล้วก็หลับตาลงเพราะเสียเลือดมาก รุ้งมณีดูแผลแล้วก็ถามว่า “โรงพยาบาลอยู่ไกลไหม?”
“โรงบานๆ อะไรของมึงห๊ะนังบ้า! ป้าข้าเจ็บขนาดนี้มึงยังจะมาถามหายมบาลอีกรึ! นังบ้านี่!” แดงตวาดใส่
“ไม่ใช่ยมบาล ฉันหมายถึงโรงพยาบาลน่ะ อยู่ตรงไหน? อยู่ไกลไหม? จะได้พาป้าเธอไปหาหมอไง” รุ้งมณีอธิบาย แดงบอกว่า “มิมีหรอกไอ้โรงบานๆ ของเอ็งน่ะ ส่วนหมอจะไปหาที่ไหนกันเล่า หน้าศึกสงครามเยี่ยงนี้หมอยาก็ถูกต้อนเข้าเมืองหมดสิ้นแล้ว ศาลาอโรคยาก็อยู่ไกลยิ่งนัก”
“ศาลาอโรคยา?” รุ้งมณีทวนคำแล้วก็คิดถึงตอนสมัยเรียนประวัติศาสตร์การแพทย์ แล้วหล่อนก็พยักหน้า “ใช่ๆ ศาลาอโรคยามันอยู่ไหน? อยู่ไกลไหม?”
“ไกล…ไกลมาก อยู่ในเมืองลวปุระนู้น ต้องล่องเรือไปอีก 5 วันจึงจะถึง” แดงตอบพลางชี้มือไปทางปลายน้ำ รุ้งมณีอึ้ง! “5 วันเชียวเหรอ ป้าคงตายก่อนแน่”
เธอมองหน้าเด็กสาวแล้วก็มองนากอย่างประเมินสถานการณ์ เธอมองไปรอบๆ ตัวเห็นแต่ป่ารกทึบ มีแต่เสียงสิงสาราสัตว์ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์อันเคยคุ้น นี่เธอหลุดมาในยุคโบราณจริงๆ หรือนี่!
เธอคงต้องตัดสินใจทำอะไรแล้วล่ะ เพราะถ้าขืนชักช้าคนเจ็บคงตายแน่
“มีเข็มกับด้ายไหม” เธอถามแดง
“มี” แดงตอบแล้วก็บอกว่า “อยู่ในเรือ”
“งั้นเธอรีบไปเอามา เอาน้ำมาด้วยนะ แล้วก็ผ้าสะอาดๆ ด้วยล่ะ” รุ้งมณีสั่ง แดงมองหน้ารุ้งมณี “เอามาทำอะไรรึ?”
“เอามาทำแผลให้ป้าเธอไง รึว่าเธอจะปล่อยให้ป้าเธอตายล่ะ รีบไปเอามาเร็ว! ขืนชักช้าป้าเธอเลือดไหลหมดตัวจนตายแน่” รุ้งมณีบอก แดงมองหน้ารุ้งมณีแล้วก็มองหน้าป้าซึ่งหลับตาปรือสีหน้าซีดเซียว แล้วนางก็ประคองป้าลงนอนกับพื้น จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่เรือ สักพักแดงวิ่งกระหืดกระหอบกลับมาพร้อมกับของที่รุ้งมณีต้องการ
“นี่เข็มกับด้าย ส่วนนี่น้ำ แล้วนี่ก็ผ้า” นางบอก รุ้งมณีคว้ากระบอกน้ำมาเทล้างมือ แล้วก็เอาน้ำราดผ้าจนชุ่ม เธอบิดน้ำจนหมาดแล้วก็เอาผ้าชุบน้ำเช็ดปากแผล เธอรีบสำรวจบาดแผล ล้วงนิ้วเข้าไปในแผลเพื่อตรวจดูว่าอวัยวะภายในถูกแทงด้วยรึเปล่า โชคดีที่คนเจ็บถูกแทงโดนสีข้างอวัยวะภายในไม่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย
“โอย” นากร้องแล้วก็ปรือตามอง ความเจ็บปวดและเสียเลือดมากทำให้นางสะลึมสะลือเกือบจะไร้สติ รุ้งมณีดึงนิ้วออกแล้วก็เช็ดมือกับเสื้อ เธอกดผ้าเช็ดหน้าห้ามเลือดเอาไว้ แดงมองการกระทำของรุ้งมณีแล้วก็ถามว่า “เอ็งจะทำอะไรรึ?”
“เย็บแผลน่ะซิ” รุ้งมณีตอบแล้วก็คว้าเข็มกับด้ายไปล้างน้ำ
“เย็บแผล?” แดงทวนคำแล้วก็ถามว่า “เอ็งจะเย็บแผลป้าข้าด้วยเข็มกับด้ายนี่นะรึ?”
รุ้งมณีพยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
แดงอึ้ง! แล้วก็โวยวายว่า “นังบ้า! เอ็งจะเย็บแผลป้าข้าได้อย่างไร? เนื้อคนนะมิใช่ผ้าผ่อนจะได้เย็บได้”
รุ้งมณีจ้องหน้าแดงแล้วก็ตวาดว่า “ถ้างั้นเธอก็เลือกเอาล่ะกันว่าจะให้ฉันเย็บแผลให้ป้าเธอ หรือว่าจะดูป้าเธอเสียเลือดจนตาย! เธอเลือกเอาเองละกัน!”
แดงหันไปมองป้าแล้วก็ร้องไห้โฮ “ฮือๆๆๆ”
นางมิรู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี นังบ้านี่จะทำอะไรกับป้าก็มิรู้ แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ป้าคงตายแน่!
“ว่าไง! เธอจะให้ฉันทำแผลให้ป้าเธอ หรือว่าเธอจะปล่อยให้ป้าเธอตายล่ะห๊ะ!” รุ้งมณีตวาด
“ฮือๆๆๆ มึงช่วยป้าข้าได้แน่นะนังบ้า” แดงถามปนร้องไห้เพราะกลัวว่าป้าจะตาย รุ้งมณีเอื้อมมือไปจับบ่าแดงแล้วก็บอกว่า “ช่วยได้ซิ ฉันสัญญาว่าป้าเธอจะต้องไม่ตาย”
เธอบอกน้ำเสียงหนักแน่น แดงมองหน้ารุ้งมณีแล้วก็พยักหน้าอย่างตัดสินใจ “เอ็งจะทำอะไรก็ทำเถอะ เอ็งต้องช่วยป้าข้านะ”
รุ้งมณีพยักหน้าแล้วก็บอกว่า “ถ้างั้นเธอก็มาช่วยฉันเร็วๆ เถอะ ขืนชักช้าป้าเธอจะแย่”
แดงขยับไปนั่งข้างป้าอย่างเป็นห่วง ส่วนรุ้งมณีก็จัดแจงลงมือเย็บแผล โชคดีที่นากสลบไปเพราะเสียเลือดเยอะ ทำให้เธอเย็บแผลคนเจ็บได้ง่าย
ทุกๆครั้งที่รุ้งมณีจรดปลายเข็มลงบนผิวเนื้อ แดงได้แต่มองอย่างสยดสยอง พอเย็บแผลห้ามเลือดเสร็จรุ้งมณีก็ถอนหายใจ เธอหันไปตรวจชีพจรคนเจ็บแล้วก็โล่งใจเพราะอัตราการเต้นของหัวใจไม่ต่ำมากเกินไป เธอถอยไปนั่งปาดเหงื่อแล้วก็บอกกับแดงว่า “คงต้องรอดูอาการซักพักนึงล่ะ”
แดงมองรุ้งมณีแล้วก็ถามว่า “ป้าข้ามิเป็นอะไรแน่นะนังบ้า?”
“นี่เธอเรียกฉันว่านังบ้าๆ อยู่ได้ ฉันชื่อรุ้งมณี ถ้าเธอเรียกฉันว่านังบ้าอีกทีฉันจะตบเธอให้คว่ำเลย” รุ้งมณีตวาดอย่างเคืองๆ แดงสะอึกนึกกลัวท่าทีของรุ้งมณีพลางนึกในใจว่า นังบ้านี่น่ากลัวยิ่งนัก ครั้นพอมองไปที่ศพของผู้ชายทั้ง 2 นางก็มองอย่างมิอยากจะเชื่อว่าตัวเองจะฆ่าพวกมันได้
“เอ่อนี่…นังบ้า” นางเรียกรุ้งมณี แต่พอสบตากับสายตาดุๆ ของอีกฝ่ายนางก็รีบเปลี่ยนคำเรียกว่า “นี่เอ็ง…ทำไมป้าข้ายังมิตื่นเสียที?”
รุ้งมณีเอื้อมมือไปจับชีพจรคนเจ็บแล้วก็บอกว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป้าเธอจะฟื้นเมื่อไหร่เพราะป้าเสียเลือดเยอะมาก คงต้องรอดูอาการไปก่อนนั่นแหละ”
“เอ่อ…พวกเราช่วยกันหามป้าลงเรือได้ไหมนัง…เอ่อเอ็ง” แดงถาม
“แต่ป้าเธอเสียเลือดไปมากนะ ควรจะให้ป้าได้นอนนิ่งๆ จะดีกว่า” รุ้งมณีแย้ง แดงชี้ไปที่ศพแล้วก็ถามว่า “เอ็งมิกลัวรึ?”
รุ้งมณีหันไปมองแล้วก็บอกว่า “ไม่กลัวหรอก ศพลุกขึ้นมาทำอะไรใครไม่ได้หรอก แต่คนเป็นๆ นี่ซิน่ากลัวกว่า”
แดงพยักเพยิด “ก็จริงของเอ็ง ข้ามิได้กลัวพวกมันหรอก แต่ข้ากลัวว่าพวกมันจะมิได้มีแค่ 2 คนเท่านี้น่ะซิ”
รุ้งมณีชะงัก! จริงซิ…เธอก็ลืมคิดถึงข้อนี้เลย ถ้ายังมีคนอื่นอยู่ พวกมันต้องมาตามหาพวกเพื่อนๆ ของมันแน่
“งั้นเราช่วยกันหามป้าลงเรือเถอะ” เธอบอกพลางมองไปรอบๆ อย่างกังวล แดงรีบลุกเก็บข้าวของไปไว้ที่เรือ พลางจัดที่ทางในเรือรอท่า ครั้นพอจัดเสร็จแล้วนางก็รีบวิ่งกลับไปหาป้า จากนั้นทั้ง 2 คนก็ช่วยกันหามนากลงเรืออย่างทุลักทุเล ครั้นพอลงเรือเรียบร้อย แดงก็รีบแก้เชือกขึ้นเรือ นางคว้าไม้พายแล้วก็ไปนั่งคัดท้ายเรือ ส่วนรุ้งมณีก็ช่วยพายทางหัวเรือ เธอเคยไปเที่ยวพายเรือแคนนูกับเพื่อนตอนสมัยเรียนอยู่บ้างทำให้เธอพอจะพายเรือเป็นบ้างนิดหน่อย เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนไปตามลำน้ำ แสงแดดยามบ่ายส่องลอดกิ่งไม้ลงมาเห็นน้ำใสแจ๋ว ฝูงปลาแหวกว่ายหนีเรือพายอย่างตื่นตกใจ แดงเห็นรุ้งมณีร้อนเหงื่อไหลก็หยิบผ้าโยนให้ “เอาผ้าคลุมหัวไว้ซิ แดดมันแรง”
“ขอบใจเธอมากนะ” รุ้งมณีรับผ้ามาพลางยิ้มให้ แล้วเธอก็เอาผ้าคลุมหัวไว้ จากนั้นเธอก็ช่วยพายเรือต่อ ครั้นพอพายไปได้ซักพักก็ไปถึงจุดที่แม่น้ำบรรจบกับแม่น้ำอีกสาย มีกลุ่มเรือน้อยใหญ่ขนข้าวของผู้คนหนีทัพกาสีล่องมาตามแม่น้ำหลายลำ แดงคัดท้ายเรือเข้าไปใกล้เรือลำที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ป้าจ๊ะป้า ป้าจะไปที่ใดกันหรือจ๊ะ?” นางถามพลางยกมือไหว้ หญิงสูงวัยรับไหว้แล้วก็บอกว่า “ไปลวปุระซินังหนู เขาว่าไอ้พวกกาสีมันมาถึงบ้านดอนแล้ว อยู่มิได้แล้วนังหนู แล้วพวกเอ็งมาจากไหนกันรึ?”
“ข้ามาจากบ้านดอนจ้ะป้า” แดงตอบ ผู้คนในเรือลำนั้นแตกตื่นกันใหญ่ “เอ็งมาจากบ้านดอนรึ? แล้วไอ้พวกกาสีมันมาถึงรึยัง?”
“พวกมันมาแล้วจ้ะป้า มันไล่ฆ่าปล้นสะดมเผาบ้านเผาเมือง ดีว่าพวกฉันหนีมาได้จ้ะ” แดงตอบ ผู้ชายที่คัดท้ายเรือมองเห็นนากนอนเจ็บอยู่ก็พูดว่า “แล้วนั่นแม่พวกเอ็งรึ?”
เขาถามแล้วก็คาดเดาเอาเองว่า “คงจะถูกกาสีมันฟันเอาล่ะซิท่า ดีแล้วที่พวกเอ็งหนีรอดมาได้”
แดงยังมิทันจะได้พูดอะไร หญิงสูงวัยก็ถามว่า “แล้วนี่พวกเอ็งจะไปลวปุระรึ?”
แล้วนางก็พูดต่อว่า “ถ้าเช่นนั้นพวกเอ็งก็พายเรือเกาะกลุ่มไปกับพวกข้านี่แหละ”
นางชี้มือไปทางกลุ่มเรือด้านหน้าพลางบอกว่า “พวกนั้นก็ญาติๆ ข้าทั้งนั้น”
แดงยกมือไหว้แล้วก็บอกว่า “ขอบพระคุณจ้ะ ข้ามิได้ไปลวปุระหรอกจ้ะป้า พวกข้าจะขึ้นเหนือไปทางโกศลจ้ะ ลุงข้าอยู่ที่นั่นจ้ะป้า”
“งั้นรึ” หญิงสูงวัยพยักหน้ารับรู้แล้วก็บอกว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขออวยพรให้พวกเอ็งไปถึงอย่างปลอดภัยเถอะนะ”
“ขอบใจจ้ะป้า” แดงบอกแล้วก็ค่อยๆ ดันเรือออกห่าง รุ้งมณียกมือไหว้คนในเรือลำนั้นแล้วก็ช่วยแดงพายเรือ พอเรือออกห่างจากกลุ่มเรือ แดงก็ถามรุ้งมณีว่า “เอ็งจะไปลวปุระหรือไม่? ถ้าเอ็งอยากไปลวปุระข้าจะฝากเอ็งไปกับพวกนั้น”
ก็มิรู้ว่าเพราะอะไรถึงถามออกไปเช่นนั้น รุ้งมณีหันไปมองหน้าแดงแล้วก็ถามว่า “ถ้าฉันไปกับพวกนั้นแล้วใครจะดูแลป้าล่ะ?”
แล้วเธอก็พูดต่อว่า “ฉันไม่ทิ้งคนไข้ของฉันหรอกนะ ฉันอุตส่าห์เสียแรงรักษาฉันก็ต้องรักษาให้ถึงที่สุด แล้วลำพังเธอจะดูแลป้ายังไง เกิดเธอดูแลไม่ดีแผลติดเชื้อขึ้นมาจะทำยังไง”
แดงมองรุ้งมณีอย่างซึ้งใจน้ำตาคลอ แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายมากนัก แต่ความหมายก็คือนังบ้านี่ไม่ทิ้งนางไป นางรีบปาดน้ำตาทิ้ง รุ้งมณีไม่อยากให้เด็กสาวรู้สึกเขินจึงแสร้งทำทีหันไปพายเรือต่อ
“โอย” นากครางเบาๆ พลางปรือตาขึ้น
“ป้า!” แดงเรียกอย่างดีใจ รุ้งมณีหันไปมองแล้วก็บอกว่า “หยุดเรือก่อนเถอะ ฉันจะดูป้าซักหน่อย”
แดงรีบคัดท้ายเรือเข้าหาฝั่งทันที พอเรือจอดใต้ร่มไม้ริมน้ำ รุ้งมณีก็ขยับไปตรวจอาการคนเจ็บ
“ป้าเป็นยังไงบ้างคะ?” เธอถามพลางจับชีพจรตรวจดู
“โอย…เจ็บเหลือเกิน” นากคราง รุ้งมณีจับมือปลอบ “อดทนไว้นะคะป้า หนูก็ไม่รู้จะหายาแก้ปวดที่ไหนให้ป้ากิน”
“ยาแก้ปวดรึ?” แดงทวนคำแล้วก็บอกว่า “เดี๋ยวข้าไปหาให้”
แล้วนางก็ลุกพรวดก้าวขึ้นฝั่งไป
“เดี๋ยวซิเธอ” รุ้งมณีเรียกแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอมองตามอย่างเป็นห่วง เรือก็จะไหลตามน้ำรุ้งมณีจึงรีบหันไปผูกเชือกหัวเรือกับรากไม้ใกล้ๆ มือ
“น้ำ ขอน้ำหน่อย…โอย…” นากบอกปนครางเจ็บ รุ้งมณีหยิบกระบอกน้ำไปป้อนให้ นากดื่มน้ำอย่างกระหายจัดจนรุ้งมณีต้องปราม “ค่อยๆ จิบค่ะป้า เดี๋ยวจะสำลักนะคะ ค่อยๆ ค่ะ”
นากดื่มน้ำพอแล้วก็ดันกระบอกออก รุ้งมณีเอากระบอกน้ำวางไว้ที่เดิม เธอชะเง้อมองว่าเมื่อไหร่แดงจะกลับมาเสียที
สักพักใหญ่แดงก็กลับมาพร้อมกับถือต้นฝิ่นมาด้วย “ข้ามาแล้ว”
รุ้งมณีมองแล้วก็ถามว่า “นั่นอะไรเหรอ?”
“ต้นฝิ่นไง” แดงบอกแล้วนางก็จัดแจงเอาต้นฝิ่นไปล้างน้ำ
“เธอเอาต้นฝิ่นมาจากไหนเหรอ?” รุ้งมณีถามอย่างสงสัย ต้นฝิ่นหาได้ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ?
แดงเหลือบมองแล้วก็มองหาหินก้อนเหมาะๆ มือแทนครกกับสาก “ใกล้ๆ นี่มีเรือนหลังนึง เจ้าของเรือนคงจะทิ้งเรือนหนีไปลวปุระแล้วกระมัง ข้าเห็นมีต้นฝิ่นปลูกเอาไว้ข้าก็เลยถอนมา”
นางบอกพลางบดต้นฝิ่นไปด้วย
“แล้วนั่นเธอบดมันทำไมเหรอ?” รุ้งมณีถามพลางมองอย่างอยากรู้
“ข้าก็บดให้ป้ากินแก้ปวดไง เอ็งมิรู้หรือว่าฝิ่นเป็นยาแก้ปวดน่ะ?” แดงบอกแล้วก็ย้อนถาม แล้วนางก็บอกอีกว่า “เนี่ยป้าสอนข้าตั้งแต่เด็กๆ เชียวนะว่าสมุนไพรอะไรใช้ทำยาได้บ้าง”
รุ้งมณีนิ่งเงียบมองดูแดงบดยา ครั้นพอบดละเอียดดีแล้วแดงก็เอาฝิ่นบดละลายกับน้ำในกระบอก “เสร็จแล้ว”
นางรีบเอายาในกระบอกไปป้อนป้า “ป้าจ๋า กินยานี่ก่อนนะจ๊ะ”
นากปรือตามองแล้วก็ผงกหัวขึ้นกินยา รุ้งมณีมองวิธีรักษาของ 2 ป้าหลานอย่างสนใจ พอนากกินยาเสร็จ แดงก็เอากระบอกยาวางไว้ข้างตัวป้า จากนั้นนางก็บอกกับรุ้งมณีว่า “ไปกันเถอะ พายเรือไปอีกสักหน่อยก็จะเจอหมู่บ้าน ข้าจำได้เมื่อก่อนป้าเคยพาข้าเอาข้าวไปแลกผ้าที่ตลาด”
รุ้งมณีพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันไปแก้เชือกจากรากไม้ จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันพายเรือไปเรื่อยๆ ส่วนนากก็เคลิ้มไปเพราะฤทธิ์ยา
จนกระทั่งไปถึงหมู่บ้านที่แดงบอก ทั้งสองก็ช่วยกันพายเรือไปที่ท่าน้ำซึ่งมีเรือลำเล็กลำใหญ่จอดเรียงรายเต็มไปหมด ส่วนมากเป็นเรือที่ผู้คนต่างหนีตายมุ่งหน้าไปลวปุระ แดงกับรุ้งมณีเลือกจอดเรือห่างจากเรือลำอื่นๆ สักหน่อยเพราะตรงท่าน้ำผู้คนจอแจเกินไป ครั้นพอจอดเรือปั๊ป แดงก็ชะเง้อมองรอบๆ ตัวอย่างตื่นตาตื่นใจเพราะนางมิค่อยได้ออกจากหมู่บ้านมาที่นี่บ่อยครั้งนัก นานๆ ทีป้าถึงจะพามาแลกข้าวแลกของที่ตลาด ส่วนรุ้งมณีก็มองไปรอบๆ ตัวดูความเป็นอยู่ของผู้คน ฉับพลัน! ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งพายเรือมาเทียบข้างๆ “แม่หนูๆ”
รุ้งมณีกับแดงหันไปมอง
“จ๊ะแม่” แดงขานรับพลางยกมือไหว้ รุ้งมณีจึงไหว้ตาม
“พวกเอ็งพายเรือตามข้าไปที่วัดก่อน พระคุณเจ้าท่านอยากพบพวกเอ็ง ท่านให้ข้ามารอพวกเอ็งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เพลแล้ว” หญิงสูงวัยบอก
“พระคุณเจ้าอยากพบพวกฉันหรือจ๊ะ?” แดงถามอย่างงงๆ ก็นางมิเคยไปวัดที่หมู่บ้านนี้เลยสักครั้ง แล้วนางจะไปรู้จักมักจี่กับพระที่วัดนี้ได้อย่างไรกัน? ท่าทางหญิงคนนี้คงจะทักผิดคนกระมัง