Chapter 3
รักษาคน
“แต่ข้ามิเคยพบปะพระคุณเจ้าที่วัดนี้เลยนะจ๊ะแม่ แม่คงจะทักผิดคนแล้วกระมัง” นางบอก
“มิผิดหรอก พระคุณเจ้าท่านบอกให้ข้ามารอเรือลำเล็กที่มีคนเจ็บมากับผู้หญิงอีก 2 คน ท่านว่าเรือมาจากบ้านดอน” หญิงสูงวัยบอกแล้วก็ถามว่า “พวกเอ็งมาจากบ้านดอนใช่หรือไม่? คนในเรือลำใหญ่นั่นบอกข้าแล้วว่าเจอเรือมาจากบ้านดอน ข้าถึงได้มารอท่าพวกเอ็งอยู่”
แดงพยักหน้ารับ “ใช่จ้ะ พวกฉันมาจากบ้านดอนจ้ะ”
รุ้งมณีมองอย่างงงๆ
“ถ้าเช่นนั้นพวกเอ็งก็รีบพายเรือตามข้าไปที่วัดเถอะ พระคุณเจ้าท่านรอพวกเอ็งอยู่นานแล้ว” หญิงสูงวัยบอกแล้วก็พายเรือนำออกไป แดงหันไปมองรุ้งมณี “เอาอย่างไรดีรึเอ็ง?”
“ลองตามไปดูเถอะ คุณป้าคงไม่น่าจะตุกติกอะไรหรอกมั้ง” รุ้งมณีบอก แดงทำหน้างงๆ “เอ็งพูดอะไรข้ามิเข้าใจเลย”
รุ้งมณีถอนหายใจแล้วก็บอกว่า “ฉันหมายถึงว่าลองตามคุณป้าไป เขาคงไม่โกหกหรอกมั้ง”
แดงพยักหน้าเข้าใจ จากนั้นนางก็เอาไม้พายยันริมตลิ่งดันเรือออก รุ้งมณีก็ช่วยอีกแรง ทั้งสองคนพายเรือตามหญิงสูงวัยไปจนถึงวัด
ณ ท่าน้ำหน้าวัดมีพระภิกษุรูปหนึ่งนั่งรออย่างสงบ หญิงสูงวัยจอดเรือเทียบท่าน้ำแล้วก็เอาเชือกผูกกับเสาท่าน้ำ จากนั้นก็เดินไปไหว้พระภิกษุพลางบอกว่า “มากันแล้วเจ้าค่ะ”
แดงกับรุ้งมณีพายเรือไปเทียบท่าน้ำพลางมองขึ้นไปบนท่าน้ำอย่างสงสัยใคร่รู้ ครั้นพอแดงเห็นหน้าพระภิกษุรูปนั้นนางก็ทักว่า “ลุงสิงขร”
นางรีบเอาเรือเทียบท่า แล้วก็ก้าวพรวดขึ้นไปบนท่าน้ำอย่างดีใจ นางถลันเข้าไปไหว้จนแทบจะชนชายผ้าเหลือง “ลุงสิงขรจริงๆ หรือจ๊ะ?”
พระคุณเจ้ารีบปรามว่า “เบาๆ นังแดง”
แล้วท่านก็บอกกับหญิงสูงวัยว่า “ให้คนไปหามนังนากไปไว้ที่ศาลาก่อนเถอะแม่ปีบ”
“เจ้าค่ะ” ปีบรับคำแล้วก็ลุกไปเรียกคนให้ไปช่วยกันหามคนเจ็บตามคำสั่ง รุ้งมณีวางไม้พายแล้วก็หันไปผูกเชือกกับเสาท่าน้ำ ไม่ต้องถามอะไรดูจากท่าทางเด็กสาวก็รู้แล้วว่ารู้จักพระรูปนั้นแน่ๆ แต่แปลกที่ท่านสั่งให้คนไปดักรอที่ท่าน้ำถูกได้อย่างไรกัน ช่างน่าสงสัยจริงๆ
ครู่ต่อมาปีบกับผู้ชายอีก 3 คนก็มาช่วยกันหามคนเจ็บ นากยังเคลิ้มๆ เพราะฤทธิ์ยา รุ้งมณีก็ช่วยประคองส่งให้ จากนั้นเธอก็ขึ้นไปไหว้พระภิกษุรูปนั้น “นมัสการค่ะ”
พระคุณเจ้ายิ้มให้อย่างปราณี แล้วก็บอกว่า “ขอบใจเอ็งที่ช่วยรักษานังนาก”
รุ้งมณีชะงัก! “ท่านรู้ได้ยังไงคะว่าหนูช่วยรักษาคุณป้าน่ะค่ะ?”
“ข้ารู้ก็แล้วกันแม่หนูผู้มาจากกาลเบื้องหน้า” พระคุณเจ้าตอบ รุ้งมณีชะงักงัน! “ท่านรู้!”
ถ้างั้นท่านก็คงรู้ว่าหนูจะกลับบ้านของหนูได้ยังไง? เธอคิดในใจยังไม่ทันจะพูดออกไป พระคุณเจ้าก็ตอบว่า “เอ็งมาที่นี่ได้ก็เพราะดวงชะตาของเอ็ง ส่วนเอ็งจะกลับไปยังที่ๆ เอ็งจากมาได้หรือไม่ ชะตากรรมของเอ็งเป็นตัวกำหนดทั้งสิ้น อย่าได้ถามอะไรข้าอีกเลยนะแม่หนู ข้าพูดมิได้หรอกมันเป็นลิขิตกรรมของใครก็ของมัน”
รุ้งมณีชะงักนิ่ง! ส่วนแดงก็ได้แต่มองหลวงลุงกับรุ้งมณีอย่างงงๆ
แล้วพระคุณเจ้าก็บอกว่า “นังแดงเอ็งพาแม่หนูนี่ไปหาแม่ปีบคนเมื่อกี้ที ประเดี๋ยวเขาจะได้หาข้าวหาปลาให้พวกเอ็งกินกัน แล้วพวกเอ็งจะได้อาบน้ำอาบท่ากันเสีย นี่ก็บ่ายคล้อยนักแล้วประเดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อน”
“เจ้าค่ะหลวงลุง” แดงรับคำแล้วก็ลุกขึ้นจูงรุ้งมณีให้ไปด้วยกัน รุ้งมณีได้แต่เดินตามแดงไปอย่างสับสนมึนงง พอพบแม่ปีบ แม่ปีบก็จัดแจงหาข้าวปลาอาหารมาให้ทั้งสองกิน แดงกินข้าวอย่างหิวจัด ส่วนรุ้งมณีก็กินอย่างใจลอย ครั้นพอกินข้าวเสร็จแล้วแม่ปีบก็พาทั้งสองไปอาบน้ำอาบท่าที่กระท่อมของตัวเอง พออยู่ในกระท่อมของแม่ปีบแล้ว รุ้งมณีก็ปลดผ้าโพกหัวออก
“พวกเอ็งอาบน้ำเสร็จแล้วก็เอาเขม่าทาตัวเสียเถิด เป็นแม่หญิงผิวงามไอ้พวกผู้ชายมันเห็นเข้ามันจะมาฉุดคร่าไปทำเมียเสีย” แม่ปีบบอกอย่างเมตตาแล้วก็บอกว่า “บ้านเมืองกำลังระส่ำระส่ายคนดีหรือโจรชั่วก็มิอาจจะรู้ได้ พวกเอ็งจงป้องกันตัวไว้เสียก่อน นุ่งห่มให้มิดชิดอย่าให้ผู้ใดเห็นหน้าค่าตาได้ หลบอยู่แต่ในวัดนี่แหละอย่าได้เที่ยวเดินเพ่นพ่านไปเชียว”
“เจ้าค่ะ” / “ค่ะ” แดงและรุ้งมณีรับคำ พลางนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันแล้วก็พากันรู้สึกกลัว โดยเฉพาะรุ้งมณี เธอรู้ตัวว่าตัวเองหน้าตาสวยเพราะเธอเป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ผิวพรรณหน้าตาจึงสวยโดดเด่นกว่าใคร หลายต่อหลายครั้งแล้วที่เธอเกือบจะถูกฉุดไปข่มขืน โชคดีที่เธอเป็นมวยทำให้หล่อนเอาตัวรอดมาได้ แล้วแม่ปีบก็เอาผ้านุ่งผ้าห่มมาให้ เป็นผ้าสีเข้มเกือบดำซึ่งย้อมด้วยแก่นมะเกลือ รุ้งมณีและแดงรับผ้ามาพลางไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ” / “ขอบใจเจ้าค่ะ”
“เอ็งพูดจาแปลกประหลาดนักนังหนู” แม่ปีบทักพลางจ้องหน้ารุ้งมณีแล้วก็พูดว่า “หน้าตาเอ็งก็งดงามหมดจรดผิวพรรณเอ็งก็ขาวผุดผ่อง เอ็งมิใช่คนเวสาลีเป็นแน่”
รุ้งมณีใจเต้นแรงกลัวว่าอาจจะถูกขับไล่ไสส่งก็อาจจะเป็นได้
“แต่เอาเถอะในเมื่อพระคุณเจ้าท่านให้เอ็งอยู่ที่นี่ เอ็งจะมาจากที่ใดก็มิใช่ธุระของข้า แต่เอ็งจงระวังตัวให้ดีเถิดนังหนูอย่าให้ใครเห็นผิวพรรณหน้าตาเอ็งได้เป็นอันขาดเชียว” แม่ปีบเตือนอย่างเป็นห่วงแล้วก็ลุกเดินไปทำธุระของตัวเอง ปล่อยให้สองสาวอาบน้ำอาบท่า ครั้นพออาบน้ำเสร็จแล้วทั้งแดงและรุ้งมณีก็ช่วยกันเอาเขม่าทาตัวให้กัน
“ผิวเอ็งข๊าว…ขาวดั่งไข่ปอก ข้าเห็นแล้วอยากมีผิวงามๆ เช่นเอ็งบ้าง” แดงบอกขณะทาเขม่าให้รุ้งมณี
“ผิวเธอก็สวยนะนี่ถ้าดูแลดีกว่านี้ฉันว่าผิวเธอจะสวยยิ่งกว่าฉันอีกนะ” รุ้งมณีบอก แดงรู้สึกเขินที่มีคนชมว่าผิวสวย นางมองรุ้งมณีอย่างรู้สึกสนิทสนม ครั้นพอแต่งตัวเสร็จทั้ง 2 คนก็ออกไปหานากที่ศาลา นากสะลืมสะลือมองไปรอบๆ ตัว พอเห็นคนโพกหน้ามิดชิดมามองตัวเองก็ตกใจผงะร้อง “โอย…ท่านพญายมจะมารับข้ารึ?”
“ป้า ข้าเอง นังแดงหลานป้าอย่างไรเล่า” แดงบอกพลางปลดผ้าโพกหัวออก
“นังแดงหรอกรึ โอย…ข้าก็นึกว่าพญายมมารับข้าเสียอีก” นากถอนหายใจโล่งอกแล้วก็มองไปรอบๆ ตัว “นี่ข้าอยู่ที่ใดรึ?”
“พวกเราอยู่ที่วัดจ้ะป้า หลวงลุงสิงขรมาอยู่ที่วัดนี้จ้ะป้า” แดงบอกแล้วก็ถามว่า “ป้าหิวหรือไม่จ๊ะ?”
นากทำหน้างงๆ “ไอ้สิงขรมันบวชเป็นพระตั้งแต่เมื่อใดรึ?”
แดงส่ายหน้า “มิรู้จ้ะป้า ข้าเจอหลวงลุงท่านก็บวชเป็นพระแล้วจ้ะ”
“งั้นรึ…โอย” นากพยักหน้ารับรู้พลางครางเจ็บ รุ้งมณีชะโงกเข้าไปถามอาการ “เจ็บมากไหมคะป้า?”
นากหันไปมองแล้วก็ถามว่า “แล้วนี่ใครกันรึ?”
“ก็นังบ้าไงป้า” แดงตอบแทนแล้วก็รีบบอกว่า “นังบ้าที่ข้ากับป้าช่วยกันแบกหนีไอ้พวกกาสีไง”
นากมองจ้อง “แล้วทำไมมันโพกหน้าโพกตาเยี่ยงนี้เล่า?”
“แม่ปีบกลัวใครจะมาฉุดคร่าก็เลยให้ข้ากับมันเอาเขม่าทาตัวแล้วก็โพกหน้าโพกตามิให้ผู้ใดเห็นจ้ะป้า” แดงบอกแล้วก็ถามว่า “ป้าหิวหรือไม่จ๊ะ? เดี๋ยวข้าไปขอข้าวจากแม่ปีบมาให้นะจ๊ะ”
“เดี๋ยวฉันไปเอาข้าวมาให้ล่ะกัน เธออยู่กับป้าที่นี่แหละ” รุ้งมณีอาสาแล้วก็เดินออกไป แดงจึงนั่งเฝ้าป้าพลางมองตามรุ้งมณีไป ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีพี่สาว ก็มิรู้เช่นกันว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้ รุ้งมณีเดินไปถึงโรงครัว เห็นแม่ปีบกำลังทำกับข้าวง่วนอยู่หล่อนจึงเข้าไปหา “ป้าคะ พอจะมีข้าวต้มหรือโจ๊กบ้างไหมคะ?”
ปีบหันไปมองแล้วก็บอกว่า “มิมีหรอกนังหนู เอ็งจะเอาข้าวต้มไปให้ใครรึ?”
“หนูจะเอาไปให้คนเจ็บค่ะ” รุ้งมณีบอกแล้วก็เหลือบไปเห็นน้ำข้าว “ถ้างั้นหนูขอน้ำข้าวนี่ไปให้คนเจ็บได้ไหมคะ?”
ปีบพยักหน้า “เอาไปเถอะ”
รุ้งมณียกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
แล้วเธอก็ตักน้ำข้าวใส่ชามดินเผาไปให้คนเจ็บ พอเดินไปถึงศาลาเธอก็เอาน้ำข้าวไปให้นาก
“ป้าคะหนูเอาน้ำข้าวมาให้ป้ากินค่ะ” เธอบอกแล้วก็นั่งลงข้างๆ นาก นากผงกหัวขึ้นมอง “เออดี…ข้ากำลังอยากได้อยู่เชียว โอย…เอ็งนี่ช่างรู้ใจข้าจริง”
“ข้าป้อนนะจ๊ะป้า” แดงอาสาแล้วก็ดึงชามไปจากมือรุ้งมณี แล้วนางก็ค่อยๆ ป้อนน้ำข้าวให้ป้า รุ้งมณีมองไปรอบๆ ศาลา เธอเห็นคนนอนเรียงราย ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นคนที่เจ็บป่วยกันทั้งนั้น ด้วยจิตอาสาเธอจึงเดินไปดู เธอเห็นพระคุณเจ้ากำลังดูแลผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เธอจึงเดินเข้าไปหา
“เขาเป็นอะไรคะหลวงพ่อ?” เธอถาม พระคุณเจ้าเงยหน้ามองแล้วก็ทักว่า “อ้อ…แม่หนูนั่นเอง”
แล้วก็ตอบว่า “มันถูกฟันมา”
“ขอหนูดูหน่อยได้ไหมคะ” รุ้งมณีอาสา
“เอาซิ” พระคุณเจ้าอนุญาตแล้วก็ขยับลุกขึ้นถอยออกไป รุ้งมณีทรุดลงนั่งคุกเข่าข้างๆ คนเจ็บแล้วเธอก็เปิดใบตองที่ปิดแผลดู รอยแผลถูกฟันเป็นทางยาวจากไหล่ไปถึงเอวอักเสบบวมเป่ง เลือดยังซึมเป็นทาง
“แผลแบบนี้ต้องเย็บค่ะหลวงพ่อ” รุ้งมณีบอก พระคุณเจ้ามองแล้วก็บอกว่า “แม่หนูรักษามันได้ก็รักษามันเถิดจะได้เป็นบุญกุศล แล้วแม่หนูจะเอาอะไรบ้างรึ? ข้าจะได้จัดหามาให้”
“ขอเข็มกับด้าย น้ำร้อน ผ้าสะอาดๆ มีดคมๆ ซักเล่มค่ะ แล้วก็คนช่วยจับด้วยค่ะ” รุ้งมณีบอก
“รอประเดี๋ยวนะแม่หนู” พระคุณเจ้าบอกแล้วก็เดินไป ระหว่างที่รอ รุ้งมณีก็ลุกเดินไปล้างมือจนสะอาด ครู่ต่อมาพระคุณเจ้าก็กลับมาพร้อมกับผู้ชายอีกสองคน
“ไอ้เงินไอ้มากประเดี๋ยวช่วยเป็นลูกมือแม่หนูนี่ที” พระคุณเจ้าบอกแล้วก็หันไปพยักหน้ากับรุ้งมณี
มากและเงินวางข้าวของที่ถือมาตรงหน้ารุ้งมณี แล้วก็ถอยไปยืนดู รุ้งมณียกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
แล้วเธอก็จัดแจงลงมือเตรียมข้าวของสำหรับเย็บแผล
“ลุงมีแอลกอฮอล์ไหมคะ?” เธอถามมือก็ง่วนกับการเตรียมของ มากและเงินทำหน้างงๆ “อะไรวะนังหนู? อะไรฮอๆรึ?”
รุ้งมณีนึกขึ้นได้ว่าคนสมัยนี้ยังไม่รู้จักแอลกอฮอล์ เธอจึงบอกว่า “มีเหล้าไหมคะ เหล้าแรงๆ แบบที่จุดไฟติดน่ะค่ะ”
มากกับเงินหันไปยิ้มให้กันแล้วก็หันไปมองพระคุณเจ้าอย่างกลัวโดนด่า เพราะท่านเทศนานักหนาเรื่องเหล้ายาปลาปิ้ง ถั่ว โป พนันขันแข่ง พระคุณเจ้ามองทั้งสองคนแล้วก็บอกว่า “มีก็ไปเอามาให้แม่หนูมันเร็วๆเข้า”
พอพระคุณเจ้าบอกเช่นนั้น เงินก็รีบวิ่งไปเอาเหล้าทันที ระหว่างที่รอเหล้า รุ้งมณีก็สั่งให้มากไปเอาอ่างมาใส่น้ำร้อน เงินวิ่งกลับมาพร้อมกับไหเหล้า “เหล้ามาแล้วจ้ะ”
พอได้ของครบแล้วรุ้งมณีก็สั่งทั้ง 2 คนว่า “เดี๋ยวลุง 2 คนช่วยกันจับตัวเขาไว้นะ อย่าให้เขาดิ้นตอนหนูเย็บแผลนะคะ”
“เย็บ!” ทั้งสองร้องเสียงหลงแล้วก็จ้องหน้ารุ้งมณีดั่งถูกผีหลอก พระคุณเจ้าต้องรีบปรามน้ำเสียงดุๆ ว่า “เบาๆ หน่อยพวกเอ็ง แม่หนูสั่งให้พวกเอ็งทำสิ่งใดก็ทำไปเถิดหนา”
ทั้ง 2 คนกลัวพระคุณเจ้าดุ หันไปมองตากันเองแล้วก็พยักหน้าให้กัน “เอาวะ”
จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันจับตัวคนเจ็บ รุ้งมณีม้วนผ้าแล้วก็ก้มลงบอกกับคนเจ็บว่า “กัดผ้านี่ไว้นะคะ ตอนหนูเย็บแผลให้จะได้ไม่เผลอกัดลิ้นค่ะ”
คนเจ็บผงกหัวขึ้นกัดผ้าตามคำบอกของรุ้งมณีแล้วก็นอนลงตามเดิม รุ้งมณีเอาผ้าชุบเหล้าล้างแผลจนสะอาด ครั้นพอทุกอย่างพร้อม เธอก็ลงมือเย็บแผล เงินกับมากมองรุ้งมณีเย็บแผลอย่างหวาดเสียว คนเจ็บสะดุ้งเกร็งทุกครั้งที่ปลายเข็มฝังลงบนผิวเนื้อ พระคุณเจ้ามองแล้วก็กัดฟันข่มความรู้สึก เพราะคนเจ็บคือลูกชายของท่านเอง
“อดทนไว้นะไอ้ทอง” พระคุณเจ้าบอก
เวลาผ่านไป รุ้งมณีเย็บแผลเสร็จก็เอาผ้าชุบเหล้าเช็ดทำความสะอาดปากแผลอีกที ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแดงมายืนดูอยู่ แดงเดินไปยืนใกล้ๆ พระคุณเจ้าแล้วก็ถามว่า “พี่ทองถูกใครฟันมาจ๊ะหลวงลุง?”
“มันถูกไอ้พวกกาสีฟันตอนที่ไอ้พวกนั้นมันบุกหมู่บ้าน พวกข้าหนีรอดมาได้มิกี่คนหรอกนังแดง” พระคุณเจ้าตอบแล้วก็มองดูลูกชาย แดงนิ่งอึ้ง! พูดอะไรมิออก รุ้งมณีทำแผลเสร็จแล้วก็ถามว่า “มีใครอีกไหมคะที่บาดเจ็บ?”
พระคุณเจ้าชี้ไปทางพวกที่นอนเรียงรายกันอยู่ รุ้งมณีมองตามแล้วก็ลุกไปดู แต่ละคนบาดเจ็บเล็กน้อยบ้างหนักบ้าง รุ้งมณีก็จัดแจงรักษาให้จนครบทุกคน แดงก็มิอยู่เฉยคอยช่วยเป็นลูกมือด้วยอีกคน กว่ารุ้งมณีจะรักษาเสร็จก็ดึกดื่น ทำให้บรรดาลูกมือของหล่อนเหนื่อยหอบไปตามๆ กัน พอเสร็จงานต่างก็แยกย้ายกันไปนอนพัก รุ้งมณีและแดงนอนข้างๆ นากในมุ้งเก่าๆ ส่วนคนอื่นๆก็นอนเบียดๆ กันอยู่ในมุ้งที่มีไม่กี่หลัง
เช้าตรู่ รุ้งมณีตื่นแต่เช้า เมื่อคืนเธอหลับสนิทไปด้วยความเพลียจากการพายเรือและรักษาคนเจ็บ พอลืมตาตื่นเธอก็ลุกขึ้นนั่ง เห็นแสงตะเกียงวับๆ แวมๆ เธอได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดจึงเปิดมุ้งออกไปดู เธอเห็นพระคุณเจ้ากำลังดูแลคนเจ็บอยู่ เธอจึงเข้าไปดูใกล้ๆ
“ตื่นแล้วรึแม่หนู?” พระคุณเจ้าทักอย่างปราณี
“ตื่นแล้วค่ะ” รุ้งมณีตอบแล้วก็ถามว่า “หลวงพ่อตื่นนานแล้วเหรอคะ?”
“ข้าเพิ่งตื่นสักพักนี่แหละ” พระคุณเจ้าตอบแล้วก็หันไปทายาให้คนเจ็บ รุ้งมณีจึงเข้าไปช่วยอีกแรง เธอช่วยดูแลคนเจ็บแล้วก็ถามพระคุณเจ้าว่า “ที่นี่หมู่บ้านอะไรคะหลวงพ่อ?”
“ที่นี่เรียกว่าบ้านใต้” พระคุณเจ้าตอบแล้วก็บอกว่า “อยู่ในเขตเมืองเวสาลี”
รุ้งมณีมึนงง “เมืองเวสาลี!”
เมืองเวสาลีคือที่ไหนอ่ะ!? ใจเธอไม่อยากจะเชื่อว่าเธอทะลุมิติหรือหลงมาอยู่ในยุคโบราณได้จริงๆ
“เอ็งจะเชื่อรึไม่ก็ขึ้นอยู่กับใจเอ็งนะแม่หนู ข้ารู้ว่ามันเชื่อยาก แต่ถ้าเอ็งทำจิตให้อยู่กับปัจจุบันได้จิตเอ็งก็จะมิทุรนทุรายดั่งเช่นที่เอ็งเป็นอยู่ในขณะนี้” พระคุณเจ้าบอก รุ้งมณีนิ่งคิด จริงดังท่านว่านั่นแหละ เธอมองท่านแล้วก็ยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะที่แนะนำ”
พระคุณเจ้ามองพลางยิ้มนิดๆ แล้วก็หันไปดูแลคนเจ็บต่อ พอแสงตะวันจับขอบฟ้า ปีบก็เดินมาพร้อมกับถือกระด้งใส่ยาสมุนไพรเข้ามา จากนั้นนางก็เที่ยวเดินแจกยาต้มให้คนเจ็บกินแก้ปวด แต่ละคนต่างก็ช่วยกันคนละมือละไม้ดูแลคนเจ็บ บ้างก็เตรียมสำรับกับข้าว บ้างก็หาบน้ำใส่ตุ่มใส่โอ่ง ไม่มีใครนั่งว่างงอมืองอเท้าเอาเปรียบกันเลย รุ้งมณีช่วยดูแลคนเจ็บจนกระทั่งปีบมาเรียกไปกินข้าว เธอจึงละมือไปกินข้าวแล้วก็รีบกลับมาดูแลคนเจ็บต่อ เธอดูแลคนเจ็บอย่างไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ใจก็คิดถึงเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ในสมัยปัจจุบัน หากมีของพวกนั้นในยุคนี้คนเจ็บคงได้รับการดูแลรักษาที่ดีกว่านี้แน่ เธอวิ่งวุ่นคอยดูแลคนเจ็บจนลืมเวลาลืมวันลืมคืน นับจากวันที่รุ้งมณีอยู่ที่นี่ผ่านไปกี่วันกี่คืนแล้วเธอไม่ได้สนใจ ลืมตาตื่นก็คอยดูแลคนเจ็บไข้ได้ป่วย พอหัวถึงหมอนในตอนกลางคืนเธอก็หลับปุ๋ย
ณ ยุคปัจจุบัน เมขลา เพื่อนสนิทของรุ้งมณีกำลังเดินวนไปวนมามือก็กดโทรศัพท์ยิกๆ “ไอ้รุ้งรับโทรศัพท์ซิวะ”
เธอกดโทรศัพท์ทั้งเบอร์มือถือเบอร์บ้าน แต่ก็ไม่มีใครรับสาย พอเสียงสัญญาณตัดไปเธอก็หันไปพูดกับสามีว่า “คุณ ไอ้รุ้งไม่รับโทรศัพท์เลยค่ะ นี่มันขาดงานมา 3 วันแล้วนะคะ ฉันว่าฉันไปดูมันที่บ้านดีกว่าค่ะ”
อติเทพพยักหน้า “ถ้างั้นผมไปด้วยเผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน”
แล้วเขาก็คว้ากุญแจรถเดินลิ่วไปที่โรงรถ ส่วนเมขลาก็รีบคว้ากระเป๋าถือตามไป ระหว่างทางไปบ้านรุ้งมณี เมขลาก็พูดกับสามีว่า “ปกติไอ้รุ้งไม่เคยขาดงานเลยนะคะ มันรักงานจะตาย แต่นี่ 3 วันแล้วที่มันไม่ไปทำงาน โทรไปก็ไม่รับ ฉันกลัวจังเลยค่ะคุณกลัวว่าจะเกิดเรื่องกับมัน”
“อย่าเพิ่งคิดอะไรมากน่ะคุณ คุณหมอรุ้งอาจจะแค่ไม่สบายนอนซมอยู่ที่บ้านก็ได้ เค้าอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ” อติเทพปลอบ
“นั่นแหละคะที่ฉันกลัว ไอ้รุ้งเนี่ยมันยิ่งไม่ค่อยดูแลตัวเองซะด้วยซิ มัวแต่ห่วงคนไข้ พอตัวเองไม่สบายทีไรก็อาการหนักทุกที” เมขลาบอกมือก็กดโทรศัพท์ไปด้วย
จนกระทั่งถึงบ้านของรุ้งมณี อติเทพจอดรถหน้าบ้าน เมขลาเปิดประตูลงจากรถแล้วก็เดินไปชะเง้อมองข้ามประตูรั้ว เธอกดกริ่งรัวๆ พลางเรียกเพื่อน “ไอ้รุ้งๆๆๆ”
เงียบสนิท
อติเทพลงจากรถแล้วก็เดินไปยืนข้างภรรยา เขาเห็นประตูบ้านแง้มอยู่ เขาก็ชี้ให้ภรรยาดู “คุณประตูเปิดอยู่น่ะ”
เมขลามองตามแล้วก็ยิ่งกดกริ่งรัวๆ พลางตะโกนเรียกเพื่อนเสียงดังลั่น “ไอ้รุ้งๆๆๆๆ”
“คุณหมอรุ้งครับ…คุณหมอรุ้งๆๆๆๆ” อติเทพช่วยตะโกนเรียกอีกแรง