ตอนที่ 41
การร่ายรำเคียงคู่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
พระราชวังแห่งแคว้นฉินที่กำลังคึกคัก แต่ในสายตาอันเยือกเย็นของซือมั่ว ราวกับพื้นที่แห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่เต็มไปด้วยซากศพ เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสสังหารของผู้เป็นนาย กู่หยาก็กำกระบี่ในมือของตนเองแน่น
“คุณชายตระกูลมู่ทำไมท่านยังไม่ขึ้นไปอีกเล่า แบบนี้จะได้ทำให้ได้หน้าได้ตานะ!”
“ไม่ต้องเร่ง คุณชายมู่เขารํ่าเรียนมาเยอะความรู้กว้างขวาง คงกำลังคิดว่าจะแสดงอะไรดี”
“คุณชายให้ข้าออกความเห็นให้ไหมล่ะ ท่านลองแสดงให้พวกข้าดูว่าท่านทำตัวติดกับรุ่ยอ๋องของพวกข้าเหมือนปลิงได้อย่างไรก่อน แล้วค่อยแสดงว่าที่ท่านพาทหาร 500 นายไปร่วมสงครามและทหารทั้ง 500 นายตายหมด เหลือแค่ท่านเพียงคนเดียวที่รอดมาได้นั้นเป็นอย่างไร”
เสียงของเหอเฉิงราวกับอาบไปด้วยยาพิษพูดโดยไม่ใส่ ใจอะไรทั้งสิ้นและไม่สนใจด้วยว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ได้ล่วงเกินเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้น
เหมือนว่าเขาอยากจะยั่วโทสะมู่ชิงเกอ ให้มันขึ้นเวทีไปขายหน้า จะดีที่สุดหากทำให้มหาปราชญ์ทรงกริ้ว ทำให้มันเละกลายเป็นเพียงเนื้อบด เพื่อล้างแค้นให้กับตัวเขาเอง
พอเขาพูดจบ คนแรกที่สีหน้าดูเปลี่ยนไปคือฉินจิ่นห้าว
เขาคิดว่าความรักที่มู่ชิงเกอมีให้เขาเป็นเรื่องน่าอับอาย แต่ตอนนี้ไอ้เหอเฉิงกลับประกาศมันต่อหน้ามหาปราชญ์ ถ้าท่านเข้าใจเขาผิดจะทำอย่างไร
แต่คนที่เขาเกลียดที่สุดในตอนนี้ไม่ใช่เหอเชิง แต่เป็นมู่ชิงเกอที่ยังคงนิ่งเงียบ ความเงียบของมันเป็นยิ่งทำให้คำพูดของเหอเฉิงดูเป็นความจริง
ส่วนตระกูลเหอ พอได้สติ อยากจะพาตัวเหอเฉิงออกไป แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ในตอนแรกพวกเขาพาเหอเฉิงมาที่แห่งนี้ก็เพื่อสร้างโอกาส แต่ไม่คิดว่าไอ้ตัวบัดซบนี่ จะก่อเรื่องล่วงเกินตระกูลมู่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ยังล่วงเกินไปถึงรุ่ยอ๋องและเจียงกุ้ยเฟยอีกด้วย อย่างนั้นตระกูลเหอของพวกเขาคง…
เจ้าบ้านตระกูลเหอแอบมองเจียงกุ้ยเฟย เห็นคิ้วที่ขมวดด้วยความไม่พอใจของพระนางดังคาด
เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร หากว่าเขาพูดอะไรออกไปในตอนนี้ ก็จะยิ่งทำให้เรื่องยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ไม่ใช่หรือ
“ไอ้พวกเลว!” มู่ซงหมดความอดทน กำหมัดแน่นพร้อมยืนขึ้น
“ท่านปู่” ข้อมือถูกมู่ชิงเกอดึงไว้ เพื่อห้ามการกระทำของเขา พอมู่ซงหันหน้ามา นางก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ไยต้องลดตัวด้วย?”
เพราะตั้งแต่ต้นจนจบผู้ที่พูดยั่วยุทั้งหมดเป็นผู้ที่อายุน้อยกว่า
หากว่ามู่ซงพูดอะไรออกไปเพื่อปกน้องนางในตอนนี้จะไม่ยิ่งทำให้ถูกเจ้าพวกจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ถือโอกาสเอาจุดนี้มาโจมตีได้หรือ?
นาง มู่ชิงเกอ ไม่เคยมีนิสัยชอบหลบอยู่ข้างหลังใคร หากคนพวกนี้กล้าเปิดศึกกับนาง นางก็จะทำให้พวกเขาได้เห็นว่า อะไรคือการทำให้ตัวเองต้องเสียหน้า ก็แค่แสดงความสามารถไม่ใช่รึ?
พวกกบในกะลา เบิกตาสุนัขของพวกเจ้าแล้วตั้งใจ ดูให้ดี!
มู่ชิงเกอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน กดไหล่-องมู่ซงให้เขานั่งลง
ร่างในชุดแดงยืนขึ้นพร้อมกับสายลม ใบหน้ารูปไข่อันสวยงามดวงนั้นไร้ซึ่งความกังวล กลับยิ้มน้อยๆ ดูสงบเย็นชา ราวกับว่าคนที่ทุกคนดูถูกไม่ใช่ตนอย่างนั้น
ท่าทางโอหังสง่างามและอยู่เหนือทุกสิ่งของนาง ทำให้คำดูถูกรอบด้านค่อยๆ เงียบลง
ราวกับว่า หากพวกเขายังไม่หยุดพูด ก็จะกลายเป็นดั่งเด็กน้อยเอาแต่ใจที่กำลังงอแงใส่ผู้ใหญ่อย่างนั้น
ตอนนี้สายตาของทุกผู้ต่างจับจ้องที่ร่างอันงดงามของนาง
ไทเฮาที่เห็นมู่ชิงเกอลุกขึ้นยืน ก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นหลายส่วน “เจ้าเด็กตระกูลมู่ถือว่าใช้ใด้ คำพูดกำเริบของเจ้าเด็กพวกนี้ ฮ่องเต้ต้องออกหน้าสักหน่อยแล้วล่ะ เพราะตระกูลมู่ก็ถือเป็นทองแผ่นเดียวกับเรา”
สายตาของฉินชางดูเปลี่ยนไป แต่ไม่ได้เถียงหรือแก้ตัวอะไร ก้มหน้าลงแล้วตอบกลับว่า “พะยะค่ะ”
“ชิงเกอ เจ้า” มู่เหลียนหรงดึงชายเสื้อของมู่ชิงเกอเอาไว้ แล้วมองด้วยความห่วงใยแต่มู่ชิงเกอกลับดึงชายเสื้อของตนเองออกจากมือของมู่เหลียนหรง พร้อมยิ้มปลอบใจ แล้วเดินออกไปทางเวทีโดยไม่แสดงความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น
การปรากฏตัวของมู่ชิงเกอ ทำให้กระไอสังหารเยียบเย็นของซือมั่วสลายไป
เหมือนเขาจะพอเดาได้ถึงเจตนาของเจ้าพวกชั้นตํ่าเหล่า นี้แต่ก็ยังชมการแสดงต่อไปอย่างวางใจ
นี่เป็นการแสดงที่เสี่ยวเกอเอ๋อร์แสดงให้กับเขาเป็นครั้งแรก
ตอนนี้ชายคนนี้ได้ลืมเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้มู่ชิงเกอต้องขึ้นมาแสดงบนเวทีไปแล้ว และกำลังรอคอยว่าการแสดงต่อไปจะทำให้เขาหวั่นไหวได้เพียงใด
แม้ว่ามู่ชิงเกอจะแค่ขึ้นมายืนนิ่งๆ อยู่บนเวที ก็สามารถทำให้เขาชื่นใจ หากเทียบกับการแสดงวุ่นวายไร้สาระพวกนั้นแล้ว ดีกว่าไม่รู้ตั้งกี่ร้อยเท่า
มู่ชิงเกอเดินไปคิดไปทีละก้าวๆ ความเป็นธรรมชาติแบบนั้น ทำให้ทุกคนไพล่คิดไปถึงตอนที่ซือมั่วเหินลงมาจากฟากฟ้า
นางเดินไปหานักบรรเลงดนตรี แล้วคุยกับพวก เขาเบาๆ
พอนักบรรเลงดนตรีพยักหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย นางก็เดินมาอยู่กลางเวที พูดกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท การแสดงของชิงเกอพิเศษมาก จึงต้องการผู้ช่วยคนหนึ่ง”
“หืม?” ฉินชางตอบด้วยความสงสัย แล้วถามว่า “ต้องการผู้ใด?”
พูดแบบนี้ แสดงว่ามอบอำนาจในการตัดสินใจ ให้กับมู่ชิงเกอ
ทันใดนั้น ฉินจิ่นห้าวก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาราว กับว่าเขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าคนที่มู่ชิงเกอจะเลือกก็คือ ตัวเขา แต่เขาไม่สมัครใจที่จะคู่กับมู่ชิงเกอที่เป็นทั้งคนไร้ พลังและพวกรักร่วมเพศเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการแสดงอะไรก็ตาม
ความโกรธเกลียดแทบจะทะลุสายตาอันเยือกเย็นคู่นั้นออกมา
ฉินจิ่วห้าวเห็นมู่ชิงเกอเดิมมาหาตนเอง ในใจก็ยิ่งรังเกียจ แอบคิดในใจว่า มู่ชิงเกอ เจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่จงใจทำเย็นชากับข้า ก็คงเพราะ ต้องการเรียกร้องความสนใจจากข้า ตอนนี้ก็ถือโอกาสมาเอาเปรียบข้าอย่างนั้นเหรอ!
มู่ชิงเกอมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินจิ่วห้าว สายตาอันน่ากลัวและเต็มไปด้วยความไอสังหารไม่ได้รอดพ้นไปจากสายตาของนาง ในขณะที่ฉินจิ่นห้าวกำลังจะปฏิเสธ มู่ชิงเกอกลับยกแขนขึ้นชี้ไปที่ข้างๆ เขา กระตุกยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าต้องการนาง”
ทันใดนั้น ทุกสายตาจดจ้องไปยังผู้ที่มู่ชิงเกอชี้ ฉินอี้เหยาที่ถูกเลือกตะลึงไป เหมือนจะยังไม่รู้สึกตัว
ไอ้เจ้าบัดซบ! กล้าแกล้งข้างั้นรึ!
ฉินจิ่วห้าวหน้าเสีย โกรธจนกัดฟันกรอด เขามั่นใจว่ามู่ชิงเกอแกล้งทำ เพราะเขาเห็นสายตาเยาะเย้ยที่มู่ชิงเกอมองเขา หลังจากที่เลือกฉินอี้เหยา
“นี่มัน ” ฉินชางลังเล
แต่ไทเฮากลับพูดขึ้นอย่างประจวบเหมาะว่า “ฮ่องเต้พวกเขาเป็นคู่หมายกันอยู่แล้ว ภรรยาช่วยสามีในการทำการแสดง มีอะไรที่ไม่สมควรเล่า?”
พูดแบบนี้ แม้ฮ่องเต้อยากจะปฏิเสธก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ
คู่หมาย?
คำๆ นี้ค่อยๆ ลอยเข้าหูของซือมั่ว ทำร้ายความรู้สึกดีๆ ที่มู่ชิงเกอเลือกผู้หญิงมาเป็นคู่แสดงจนหมดสิ้น
เมื่อมองฉินอี้เหยาอีกครั้ง สายตานั้นก็มีรังสีสังหารแผ่ออกมาอย่างชัดเจน หากเขาไม่ได้พยายามเก็บอาการไว้ ก็คงทำให้หญิงผู้นั้นตกใจจนฉี่ราดไปแล้ว
‘ท่านประมุข ผู้หญิง ผู้หญิง! คนพวกนี้คงไม่รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของคุณชายจึงได้จับคู่ให้พวกเขาเช่นนี้ กู่หยาถอนใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เจ้านายสูงศักดิ์ผู้เก่งกาจของเขา กำลังค่อยๆ กลายร่างเป็น*ไหนํ้าส้มแล้ว! (หึงหวง)
กู่หยากังวลแทนเจ้านาย แต่เขากลับไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้านายของตนเองยังไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไรต่อมู่ชิงเกอ
บางที นี่อาจจะเป็นเหมือนคำพูดที่ว่า ‘คนนอกย่อมรู้ดีกว่าคนใน!’
ฉินอี้เหยาเดินขึ้นเวทีไปยืนอยู่ตรงหน้ามู่ชิงเกอ พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าจะให้ข้าทำอะไร”
มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “เต้นรำ”
“เต้นรำ” ฉินอี้เหยาตาโต นางไม่เคยเต้นรำมาก่อนเลย “ข้าเต้นไม่เป็น” นางพูดความจริงออกมาอย่างไร้ซึ่งความลังเล
แต่มู่ชิงเกอกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่เป็นไร กระหม่อมจะนำพระองค์เอง”
ฉินอี้เหยาตกใจยิ่งกว่าเดิม การเต้นอะไรแบบไหนกันไม่ต้องฝึกฝนก็สามารถขึ้นแสดงได้เลย?
ท่ามกลางความตกใจของนางและการรอคอยของทุกคน ผู้บรรเลงเพลงก็เริ่มบรรเลงบทเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนตามที่มู่ชิงเกอสั่งเอาไว้
เสียงกลองดังเบาสลับกัน จังหวะรวดเร็วสดใส เสียงทำนองแบบโบราณแต่แฝงด้วยความหนักแน่น ค่อยๆ ดังขึ้น
มู่ชิงเกอถอนใจอย่างชื่นชม นักดนตรีของวังหลวงพวกนี้ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว สามารถบรรเลงให้ไม่ต่างจากบทเพลงดั้งเดิมมากนัก
เพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้ทุกคนตกใจ พวกเขาไม่ลืมว่าเมื่อสักครู่มู่ชิงเกอยืนคุยกับนักดนตรีอยู่นานมาก หากคาดไม่ผิดเพลงที่มีทำนองไพเราะราวกับเพลงจากสรวงสวรรค์จนทุกคนอยากลุกขึ้นมาเต้นนี้ เป็นเพลงที่มู่ชิงเกอเป็นคนแต่งขึ้นมาเอง
เจ้าจอมเสเพลนี่ อยู่ๆ ก็กลายเป็นผู้แต่งเพลงมากฝuมืออย่างนี้! เรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ?
มู่ชิงเกอยื่นมือไปหาฉินอี้เหยาท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน
ลมยามคํ่าคืนโชยผ่านมา พัดจนผมของนางยุ่งเหยิง โชยสะบัดจนชุดไหมสีแดงของนางพลิ้วไหว มือขาวดุจหยกอยู่ตรงหน้า ฉินอี้เหยาวางมือของตนเองลงบนนั้นโดยไม่รู้ตัว
พลัน มือก็รู้สึกถึงความกระชับแน่น ความอบอุ่นสายหนึ่งไหลผ่านปลายนิ้วก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งร่างกาย
ไม่ทันที่ฉินอี้เหยาจะทำอะไรมือข้างหนึ่งก็แนบเข้ากับเอวของนาง และดึงตัวนางเข้าไปใกล้พอได้สติ นางก็เห็นใบหน้าอันงดงามของมู่ชิงเกออยู่ใกล้นางมาก
ในสายตาของฉินอี้เหยาเต็มไปด้วยความตกใจ อยากจะดึงมือของมู่ชิงเกอที่อยู่บนเอวของตนเองออก แต่ร่างกายของนางกลับถูกมู่ชิงเกอบังคับให้เคลื่อนไหวไปพร้อมกับจังหวะที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน