ตอนที่ 15
สาวใช้อุ่นเตียง & อนุชายา
“เจ้า…อาจิว” เสียงอ่อนหวานแต่ทรงอำนาจเอ่ยขึ้นไปทางเหล่าบรรดาบุรุษที่ยืนก้มหัวพร้อมรับฟังกันอย่างแข็งขัน “นำพวกไปแฝงตัวอยู่ที่ด่านทางใต้ และเจ้า…อาเจิ้งนำพวกไปแฝงตัวอยู่ในหมู่บ้านของแคว้นต้าไห่” เสียงกร้าวของเจินเจินเอ่ยสั่งการบรรดาลูกน้องอยู่บริเวณลานกว้างในตำหนักของหลี่เซียวเหยา
ยามนี้หลี่เซียวเหยาไม่ยินยอมให้เจินเจินกลับไปยังที่พักของนาง
และถ้าหากนางจะสั่งการสิ่งใดแก่บุรุษในสังกัดต้องเรียกมาสั่งการด้านในตรงลานกว้างของตำหนักแห่งนี้
ซึ่งเจินเจินก็รับปากเป็นอย่างดี ทั้งๆที่ยังนึกเคืองเรื่องก่อนหน้านี้อยู่อย่างมากมายนัก
แต่…
แต่…
นางพญาจิ้งจอกเจินเจินได้กลายเป็นตำนานไปเสียแล้ว ฮือ…
“และเจ้า…หือ?” เสียงเจินเจินขาดหายไปเพียงครู่ก่อนจะสังเกตเห็นกิริยาของเหล่าสมุนคล้ายนิ่งเงียบเกินไปจึงกล่าวต่อด้วยคำถามอย่างหงุดหงิด
“พวกเจ้าเป็นบ้าอะไร ไม่ได้ยินที่ข้าสั่งการรึ ใยไม่ตอบรับ ใบ้กินกันหรืออย่างไร”
วันนี้นางต้องทำตัวเหี้ยมเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นอาจจะเสียการปกครองเพราะมีหัวหน้าเสียสมดุลอย่างนางก็เป็นได้
“หัวหน้า” เสียงสมุนคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“ท่านจะไปออกรบกับใครรึ ใยแต่งตัวพร้อมออกศึกปานนั้น”
จบคำของสมุนคนนี้เหล่าบรรดาสมุนคนอื่นๆต่างส่งเสียงเออออกันดังกระหึ่ม
วันนี้เจินเจินแต่งกายด้วยชุดคล้ายกับพร้อมจะไปออกรบจริงดังคากล่าวของสมุนคนนั้น
ด้วยเพราะว่าชุดของเจินเจินในขณะนี้นั้นเป็นแบบทะมัดทะแมงเป็นอย่างมาก
อีกทั้งยังปกปิดเสียมิดชิดจนเกินพอดี
ตัวเสื้อด้านบนใส่ทับด้วยชุดคลุมปกปิดมิดชิดหมดทั้งลำคอ แถมด้วยหน้ากากครึ่งใบหน้าด้านล่างปกปิดมิดชิดตั้งแต่จมูกจนถึงคาง
จนเรียกได้ว่า เหลือเพียงแค่ลูกนัยน์ตาเลยทีเดียวเชียว
จะไม่ให้นางใส่อย่างนี้ได้อย่างไร
ในเมื่อทั่วทั้งตัวของนาง ไม่ว่าจะเป็นลำตัวส่วนบน ลำตัวส่วนล่าง เนินอก ลำคอ ติ่งหู และปลายคาง ล้วนมีร่องรอยของการถูกกัดกินโดยบุรุษผู้หนึ่งผู้ซึ่งมีความแค้นฝังใจกับนางอย่างมหันต์
หลี่เซียวเหยาผู้นั้น
เขาช่างร้ายกาจ
เขาช่างร้ายกาจกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียอีก
เขากินนางของจริง
ฮือ….
“พวกเจ้า!” เจินเจินยังคงส่งเสียงเหี้ยมไปทางสมุนของตนเพื่อปกปิดอารมณ์สาวน้อยที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก
“จงพากันไปแฝงตัวอยู่ตามจุดต่างๆเสียก่อน แล้วข้าจะตามไป แยกย้ายได้!” จบคำหญิงสาวเพียงหมุนตัวเดินออกมาจากกลุ่มของสมุนโดยปล่อยให้สมุนแยกย้ายกันไปตามคำของนาง
นางพยายามทรงตัวเดินให้เป็นปกติที่สุดในชีวิต
ฮือ….
นางถึงกับเสียสมดุลไปหมดทั้งตัวและหัวใจกันเลยทีเดียว…
ณ ศาลากลางสวนของตำหนักหลี่เซียวเหยาที่ปกคลุมห้อมล้องไปด้วยแมกไม้นานาพรรณปรากฏร่างงามๆของหญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งทอดอารมณ์อยู่ภายในศาลาหแห่งนี้
หลังจากที่เจินเจินนั้น ได้สั่งงานสั่งการกับบรรดาสมุนของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางจึงได้เวลาเปลี่ยนชุดให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม เพราะนางเพียงต้องการปกปิดริ้วรอยจากการถูกกัดกินโดยหลี่เซียวเหยาให้พ้นสายตาของเหล่าสมุนเพียงเท่านั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์นางพญาเอาไว้ไม่ให้เสื่อมถอยไป
หญิงสาวเพียงนั่งชมภาพทิวทัศน์ของสวนสวยแห่งนี้อย่างเพลิดเพลินอยู่เพียงผู้เดียว
ยามนี้หลี่เซียวเหยาของนาง กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการรับสตรีทั้งหลายของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินมาเป็นอนุชายาของเขา
ฮึ!
ใครสนใจกัน!
หญิงสาวคิดออกมาอย่างนั้นในขณะที่กำลังชมนกชมไม้อย่างพยายามที่จะอารมณ์ดี
และในขณะที่เจินเจินกำลังพยายามปรับปรุงอารมณ์ของตนเองอยู่นั้นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น
“นั่น! สาวใช้อุ่นเตียงขององค์ชายสี่”
หือ! เจินเจินถึงกับหูผึ่ง
แม้ว่าสตรีเจ้าของเสียงจะอยู่ไกลออกไปจากศาลาแห่งนี้ที่เจินเจินกำลังนั่งอยู่ แต่ประสาทสัมผัสเกี่ยวกับการได้ยินรวมถึงนิสัยที่ชอบแอบฟังเรื่องของชาวบ้าน ทำให้เจินเจินได้ยินอย่างชัดเจน คล้ายกับว่าพวกนางมานั่งขี่คอของเจินเจินเลยก็ว่าได้
“ฮึ! รูปงามแล้วอย่างไร” เสียงสตรีอีกคนกล่าวเสริม “พิศมองอย่างไร ก็เป็นได้แค่สาวใช้อุ่นเตียง” จบคำสตรีเหล่านั้นก็ส่งเสียงหัวเราะต่อกันคิกคักประสานเสียง
สาวใช้อุ่นเตียง รึ! เจินเจินมุ่นคิ้วสวยขึ้นพลางคิดในใจ
คำว่าสาวใช้ฟังดูแล้วออกจะเกินไปเสียหน่อย
แต่คำว่าอุ่นเตียง
อืม…
นางชอบคำนี้นะ คิกคิก
เจินเจินคิดและหัวเราะชอบใจพลางเมียงมองไปเพื่อหาต้นตอของเจ้าของเสียง
นางเห็นเป็นสตรีในอาภรณ์สวยงามหน้าตาสวยงามท่วงท่าสูงส่ง คาดว่าน่าจะเป็นเหล่าอนุชายาของหลี่เซียวเหยาของนางนั่นเอง
อา…
สตรีพวกนี้ถ้านางจำไม่ผิดน่าจะเป็นพวกที่แอบเอาของดีมาจากแคว้นของพวกนาง
ยาปลุกกำหนัด กำยำนเพิ่มอารมณ์ ชาเพิ่มพลัง ของขลังต่างๆ เจินเจินนั่งคิดพลางยกนิ้วขึ้นมานับอย่างใคร่ครวญ
เดี๋ยวนะ…
ของพวกนั้น เหล่าสตรีพวกนี้จะเอามาใช้กับหลี่เซียวเหยาของนางหรือไม่
อา…
ถ้าเช่นนั้น…
ถ้าหลี่เซียวเหยาเกิดติดใจพวกนางขึ้นมาเล่า?
ไม่ได้การ!
เจินเจินใช้เวลาคิดเพียงครู่ก่อนส่งเสียงออกไป
“พวกเจ้า” เจินเจินตะโกนออกไปทางเหล่าสตรีที่เป็นอนุชายาในทันที “มานี่สิ!”
เหล่าสตรีพวกนั้นแม้จะชะงักงันแต่ยังคงทำท่าทางไม่ใยดีต่อเจินเจิน พวกนางพากันชักสีหน้าพร้อมส่งสายตาดูแคลนไปทางเจินเจินอย่างเห็นได้ชัด เป็นแค่สาวใช้อุ่นเตียงมีสิทธิ์อันใดมาเรียกพวกนางให้เดินเข้าไปหากัน
“จะเดินมาดีๆ หรือจะเดินมาทั้งน้ำตา หื้อ!” เจินเจินตะโกนไปอีกประโยคหนึ่ง พร้อมทั้งทำท่าทางจะส่งสัญญาณเรียกพวกสมุนให้ออกมาอย่างที่เคยทำ
เหล่าอนุชายาเห็นดังนั้นพลันนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ยามที่สตรีนางนี้ทำท่าอย่างนั้นแล้วปล่อยเสียงบางอย่างออกมา พวกบุรุษร่างใหญ่ยักษ์ก็กระโจนกันออกมาพึ่บพั่บ
พวกนางจึงไม่รอช้ารีบกระวีกระวาดเดินนวยนาดเข้าไปตามคำในทันที
“เจ้ามีสิ่งใดกับพวกเรารึ ถึงได้บังอาจเรียกพวกเราให้เดินมาหา” สตรีนางหนึ่งเอ่ยขึ้นกับเจินเจินด้วยประโยคและน้ำเสียงไม่พอใจ แต่ยังคงเดินมาหาเจินเจินแต่โดยดี
“มานั่งนี่สิ” เจินเจินออกคำสั่งพลางชี้นิ้วเรียวขาวของตนไปทางเก้าอี้ในศาลาทางฝั่งตรงกันข้าม
เหล่าสตรีพวกนั้นจึงเดินขึ้นมาบนศาลาและนั่งลงตามคำ นี่พวกนางต้องฟังคำสั่งจากสาวใช้อุ่นเตียงเรอะ
เจินเจินหรี่ตามองเหล่าสตรีตรงหน้าเพียงนิด ก่อนเอ่ยหยั่งเชิง “พวกเจ้าจะนำพวกยาปลุกกำหนัด หรือกำยำนเพิ่มอารมณ์อะไรพวกนั้นมาใช้ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
จบคำของเจินเจินเหล่าอนุชายาถึงกับถลึงตาโต หน้าแดงทันที
ชัดเลย! เจินเจินคิด
“พวกเจ้าลองใคร่ครวญดูให้ดีนะ” เจินเจินพยายามพูดจาหว่านล้อมอย่างใจเย็น กับสตรีด้วยกันนางไม่นิยมวิธีรุนแรง
“ระหว่างต้องรอเข้าหอโดยที่ยังไม่เคยได้อุ่นเตียงอาจจะทรมาน แต่…” หญิงสาวเว้นคำพูดเพียงนิดก่อนกระซิบกระซาบต่อ “ถ้าหากว่าพวกเจ้าเคยอุ่นเตียงแล้วไม่ได้อุ่นเตียงอีกเลย มันยิ่งทรมานมากกว่า…มาก..มากๆ” นางตั้งใจเน้นเสียง
เหล่าอนุชายาได้ฟังยิ่งเพิ่มระดับความแดงบนใบหน้า
“เจ้า…เจ้าหมายความว่าอย่างไร” หนึ่งในสตรีตรงหน้าเอ่ยถามขึ้นอย่างใสซื่อ
เจินเจินปรายตามองอย่างเป็นต่อก่อนจะอธิบายเนิบนาบ “ถ้าหากพวกเจ้าใช้ยาวิเศษพวกนั้นกับองค์ชายสี่ และ…
แม้มันจะได้ผล พวกเจ้าได้ร่วมอภิรมย์สมใจ แต่…จะเป็นอย่างไร ถ้าหากหมดฤทธิ์ของยา…” เหล่าสตรีตรงหน้าทำท่าทางคิดตามอย่างพร้อมเพรียง
เจินเจินทำทีเอามือยกขึ้นป้องปากเอาไว้ใส่จริตล่อหลอกพวกนางเต็มที่ “แล้วต่อมาองค์ชายสี่ก็ถูกวิธีเดียวกันจากอนุชายาคนอื่นๆ ในทุกๆคืน จน…จน…จน… กามตายด้าน!”
“หื้อ!” พวกอนุชายาถึงกับอุทานออกมาอย่างสามัคคี
“น่ากลัวเชียวล่ะ!” เจินเจินส่งประโยคตบท้ายใส่ไปในทันที
“เช่นนั้น พวกเราต้องทำอย่างไรเล่า” เหล่าอนุชายาเริ่มออกอาการกระสับกระส่าย
“ไม่ต้องทำอะไร” เจินเจินหลอกล่อต่อ “แค่อยู่เฉยๆ เดี๋ยวองค์ชายก็เข้าไปหาเองนั่นล่ะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร” สตรีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ “องค์ชายสี่คงโปรดปรานแค่เพียงเจ้า”
จริงรึ! เจินเจินอุทานในใจ
สตรีนางนี้พูดจาน่าฟังนะนี่ เจินเจินกลอกตามองบนมุมปากยกยิ้ม
“เจ้าทั้งงดงาม รูปร่างอวบอั๋น ทั้งยังดูจะยั่วยวนเก่งยิ่งนัก” สตรีอีกนางเอ่ยขึ้นอย่างอิจฉาริษยาในใบหน้าและสายตาไม่มีปกปิด
เจินเจินถึงกับยิ้มแย้มลอยหน้าลอยตา นางสนใจแค่ประโยคก่อนหน้า หาได้สนใจสายตาริษยานั่นไม่
“เช่นนั้น เจ้าก็ต้องสอนการยั่วยวนให้แก่พวกเรา” สตรีอีกนางหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางฉลาดเฉลียวกว่าผู้ใดในกลุ่ม
“สอนยั่วยวนรึ?” เจินเจินเริ่มคล้อยตาม
“ย่อมได้” นางเป็นสตรีหลงตัวเองจึงเป็นเช่นนี้
“พวกเจ้าดูข้านะ” จบคำเจินเจินก็ยกขาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะในศาลา ยื่นปลายเท้าจิกลงบนพื้นโต๊ะ พลางแอ่นกายขึ้นแล้วใช้มือข้างหนึ่งแหวกสาบเสื้อออกจนเห็นเนินอกอวบอิ่มรำไรก่อน
เคลื่อนมือมาวางไว้ตรงช่วงลำคอและไหล่ ส่วนอีกข้างก็เหยียดตรงออกไปทางด้านหลัง “ทำตาม…” นางสั่ง
เหล่าอนุชายากระพริบตาปริบๆก่อนจะทำท่าทางตามนางแต่โดยดี
“พวกเจ้าต้องนั่งท่านี้อยู่บนเตียงรอเลย อยู่ท่านี้เลยนะ รอจนกว่าองค์ชายสี่จะเสด็จเข้ามา” เจินเจินอธิบายประกอบท่าทางอย่างจริงจังด้วยมาดของผู้นำอย่างแท้จริง
“แล้วถ้าองค์ชายสี่ไม่เสด็จเข้ามาเล่า” สตรีคนเดิมที่ท่าทางฉลาดเฉลียวกว่าใครเอ่ยขึ้นอีก
“เจ้าก็นอนหลับไปสิ จะรอทำมารดาใครเรอะ” เจินเจินตอบเรื่อยๆตามจริง พลางเปลี่ยนท่าทางยั่วยวนในแบบต่างๆ
“ลองท่านี้ ทำตาม!”
เหล่าสตรีจึงเปลี่ยนท่าทางตามคำอย่างแสนซื่อไม่เปลี่ยนแปลง
บรรยากาศภายในศาลากลางสวนสวยของตำหนักหลี่เซียวเหยาจึงปรากฎร่างของเหล่าสตรีพากันฝึกซ้อมทำท่ายั่วยวนต่างๆนานากันอย่างขะมักเขม้น
หลี่เซียวเหยาที่เดินมาเห็นเข้าพอดีถึงกับชะงักงันกับภาพในศาลานั่น
ภาพนั้น…
เจินเจินของเขา กำลังสอนการยั่วยวนให้แก่เหล่าอนุชายา เพื่อที่จะเอามาใช้กับเขารึ!
บัดซบ! นี่นางกำลังวางแผนจะไปจากเขาจริงๆใช่หรือไม่!?
อา…ไม่ได้การ!
สตรีนางนี้ นางช่างร้ายกาจเสียจริง!
เขาจะทำอย่างไรกับนางดี…