ตอนที่ 19
สตรีสูงศักดิ์
สตรีนางหนึ่งนั่งนิ่งๆอยู่บนอาชาตัวเขื่องด้วยมาดทรงพลังงามสง่าผิดจากบุคลิกลักษณะยามปกติ ท่าทางขี้เล่นช่างเจรจามักจะไม่ปรากฏให้ได้เห็นเมื่อที่ต้องทำหน้าที่อันสำคัญในการเป็นผู้นำของทุกภารกิจ วันนี้ก็เช่นเดียวกัน
เจินเจินในชุดสีเข้มปกปิดมิดชิดพกพาทั้งอาวุธลับและไม่ลับประดับประดาอยู่ตรงสีข้างและด้านหลัง ไม่ว่าจะเป็นมีดสั้นและดาบทุกอย่างอยู่ในตำแหน่งพร้อมยกมือขึ้นหยิบจับมาใช้งานในการสังหารศัตรู
นางกำลังนั่งอยู่บนม้าสีนิลตัวใหญ่
นางต้องนำขบวนให้พวกสมุนทั้งหลายที่ยังเหลืออยู่หลังจากกระจายกำลังไปก่อนหน้านี้แล้วบางส่วนเพื่อไปประชิดยังแนวชายแดนของแคว้นต้าไห่
เดิมทีนางต้องเดินทางไปก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ทว่าด้วยใจที่ยังคงห่วงหน้าพะวงหลังกับบุรุษผู้หนึ่ง จึงยังคงรั้งรออยู่
“หัวหน้า” เสียงลูกน้องของเจินเจินเอ่ยขึ้นเนิบๆ “พวกเรารอนานแล้วนะ เจ้านั่นหลับไปแล้ว” เขากล่าวพลางโบ้ยสายตาไปยังสหายร่วมขบวนอีกคนหนึ่งที่เกาะเกี่ยวขาของเขาเอาไว้ใช้ต่างหมอน
พวกสมุนทั้งหลายจากเดิมก็ยืนรอกันอย่างเป็นระเบียบแต่เมื่อผู้นำขบวนอย่างเจินเจินยังคงนั่งนิ่งๆอยู่บนหลังม้าโดยที่ยังไม่ได้ออกคำสั่งให้เคลื่อนขบวนเสียทีจึงเปลี่ยนจากยืนเป็นนั่งและบางคนถึงกับนอนกันเลยทีเดียว
“รอก่อน” เจินเจินเอ่ยเสียงเรียบไร้อารมณ์ใดๆ
นางต้องการรอให้แน่ใจ
ว่าไม่ควรรออีกต่อไป…
เมื่อคืนหลี่เซียวเหยามาหานางถึงตำหนักที่พักของนาง ซึ่งเดิมทีเขาไม่เคยเป็นฝ่ายเข้ามาหานางถึงที่พักส่วนตัวของนางอย่างนี้มาก่อน
มีเพียงนางที่มักจะเป็นฝ่ายถือวิสาสะเข้าไปหาเขาที่ตำหนักของเขา
เพราะเมื่อคืนนางกำลังวางแผนการเดินทางไปแคว้นต้าไห่จึงไม่ได้ไปหาเขาเหมือนเช่นปรกติ
“เจ้ากำลังจะไป” หลี่เซียวเหยาที่ยืนกอดอกมองนางอยู่นานตรงมุมประตูห้องของนางเอ่ยขึ้นด้วยโทนเสียงทุ้มต่ำแฝงความขุ่นเขืองเชิงน้อยใจ “เราควรคุยกันให้เข้าใจก่อนที่เจ้าจะจากไปทำภารกิจ” เขากล่าวขณะเดินเข้ามาใกล้นางที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน
นางวางมือจากแผนที่และแผนผังที่ลูกน้องบางส่วนที่นางส่งไปก่อนหน้าได้วาดภาพถึงภูมิทัศน์ของแคว้นต้าไห่อย่างละเอียดส่งมาให้ผ่านทางนกประหลาดประจำตัวของนางเพื่อให้นางใช้ในการวางแผนการ
“ท่านมาหาข้า” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจไม่ปกปิดก่อนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระโดดขึ้นวาดวงแขนของตนให้โอบรอบลำคอของหลี่เซียวเหยาจากทางด้านหน้า
ชายหนุ่มกางวงแขนของเขาออกเพื่อรับร่างบางที่ถาโถมเข้าหาก่อนจะประคองกอดนางเอาไว้ด้วยวงแขนแข็งแกร่งของเขา
“ข้าควรเป็นฝ่ายเข้าหาเจ้า” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นกว่าเดิมพลางก้มมองใบหน้าของนางด้วยสายตาอบอุ่นมิได้ดำสนิทไร้ก้นบึ้งเหมือนเช่นกาลก่อน
“แค่ท่านไม่ไล่ข้าออกมาจากห้องของท่านเหมือนเมื่อก่อนก็ดียิ่งแล้ว” เจินเจินกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสใส่หน้าของหลี่เซียวเหยาที่ก้มลงมองนางในระยะประชิด
เขายกมุมปากขึ้นยิ้มอบอุ่นไม่ต่างจากดวงตาก่อนโน้มจมูกคมสันเข้าหาแก้มนวล แล้วหอมแก้มนางฟอดหนึ่ง
หญิงสาวถึงกับแก้มแดงเห่อร้อนขึ้นมาเพราะปรกติแล้วมักจะเป็นนางที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขาแล้วหอมแก้มเขาอยู่ตลอดมา
เจินเจินเงยหน้าขึ้นมองหลี่เซียวเหยาด้วยสายตาระริกสั่นไหวอมยิ้มกรุ้มกริ่มจนชายหนุ่มต้องก้มหน้าหอมแก้มนางอีกข้างหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้าขอโทษ…”
“ท่านขอโทษข้าเรื่องอันใด” นางถามออกไปแม้จะรู้อยู่แก่ใจเกี่ยวกับสตรีของเขาที่มีนามว่าหลิงอวิ๋นที่มารดาของเขาพามาหาเขาอย่างเปิดเผย
“ข้ามิได้มีสิ่งใดพิเศษกับสตรีนางนั้นก็จริงแต่กับเสด็จแม่ของข้า ข้าย่อมต้องดูแลเอาใจใส่มิอาจเพิกเฉย” เขาเอ่ยอธิบายขณะยังคงกอดกระชับร่างของนางให้แนบกับอกอบอุ่นของเขา
“ท่านโชคดียิ่ง ที่ยังมีมารดาให้คอยใส่ใจ” นางกล่าวตามจริง เพราะตัวนางเองยังไม่มีบุญที่จะได้ดูแลมารดาของตนแม้ว่าจะมีความต้องการมากมายแค่ไหนก็ยังไม่มีโอกาสนั้นเลย
สำหรับนางแล้ว สตรีมิได้มีเอาไว้แค่อุ่นเตียงหรือคลอดบุตร แต่สตรีเป็นเพศที่ยิ่งใหญ่
พวกนางต่างให้กำเนิดชีวิตอันมีค่ามากมายแก่แผ่นดิน แม้จะเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนสูงศักดิ์ปานใด ยังต้องอาศัยสตรีเพศเพื่อที่จะได้เกิดและลืมตาออกมา
“เจ้าอย่าได้เคืองเสด็จแม่ของข้า ได้หรือไม่” เขาเอ่ยออกมาเบาๆ
เจินเจินไม่ได้เอ่ยตอบสิ่งใดออกมา เพราะแท้จริงแล้ว นางเคืองมารดาของเขาที่บังอาจพาสตรีหน้าตาสวยงามท่าทางอ่อนหวานกิริยาสูงส่งมิหนำซ้ำยังชาติตระกูลสูงศักดิ์มาเพื่อประเคนให้บุรุษของนาง
นางกำลังหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางกลัวว่าหลี่เซียวเหยาของนางจะหลงชมชอบสตรีที่มีดีกว่านางทุกอย่างเยี่ยงนั้น
แต่จะให้นางกล่าวออกมาตามตรง นางย่อมไม่อาจทำ เรื่องอย่างนี้แน่นอนว่ามันไม่สามารถบังคับกันได้ เรื่องของจิตใจของบุรุษเพศเป็นสิ่งที่นางไม่อาจคาดเดาและไม่กล้าคาดหวัง
แต่จะให้นางทิ้งงานทิ้งภารกิจมาคอยตามประกบเขา มาคอยยื้อแย่งเขาจากเหล่าสตรีด้วยกันนั้น นางยิ่งไม่อาจทำ มันไม่ใช่นาง
“ข้าจะเคืองได้อย่างไรเล่า” นางกล่าวออกไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
นางทำได้แค่นั้น ถึงแม้นางจะอยู่กับเขาตลอดเวลาก็ใช่ว่าจะห้ามใจเขามิให้ไปชมชอบสตรีนางอื่นได้
ยิ่งต้องห่างไกลกันอย่างนี้ จะทำปั้นปึ่งไปเพื่อสิ่งใด ดังนั้นทุกเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันย่อมมีค่า
ยิ่งมีเวลาแค่คืนนี้เท่านั้น
“เจ้ากำลังทำให้ข้ากลัว เจินเจิน” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเสียงเบาหวิวขณะก้มมองหน้าของเจินเจิน “เจ้ากำลังทำให้ข้าหวั่นไหวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
เช่นนั้นท่านจะหวั่นไหวกับสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นด้วยหรือไม่กัน นั่นเป็นประโยคที่เจินเจินไม่ได้ถามออกไป เพราะต่อให้ถามออกไปในยามนี้คำตอบย่อมต้องเป็นคำตอบในยามนี้ มันไม่ได้รวมไปถึงในภายภาคหน้าที่ยากจะคาดเดา
ถ้าหากเขากล้าที่จะรักนาง
ถ้าเขากล้าพอเพื่อสตรีต่ำต้อยอย่างนาง
ถ้าเป็นเช่นนั้น…
“เซียวเหยา” เจินเจินถือวิสาสะเรียกชื่อเขาที่เป็นถึงองค์ชาย
“หืม…”
“ข้าอยากให้ท่านรอ” นางเอ่ยเสียงเบาไม่ต่างกัน
นางอยากเชื่อใจเขา ผู้ซึ่งเป็นบุรุษสูงศักดิ์รูปงามที่มีบรรดาสตรีสวยสดงดงามฐานะสูงส่งล้อมหน้าล้อมหลังอยู่มากมาย
“แต่เหมือนว่ามันจะมากเกินไป” นางกล่าวขณะเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาคมเข้มด้วยความคาดหวัง
นางหวังว่าเขาจะรักปักใจเพียงนาง
หลี่เซียวเหยาไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก ก่อนจะก้มหน้าลงจุมพิตนางอย่างอ่อนโยนคล้ายปลอบประโลม
นี่อาจจะเป็นการหลอกล่อให้ตายใจก่อนจะเปลี่ยนไปในอีกไม่นานตามความคิดของเจินเจิน
นางจึงเพียงหลับตาจูบตอบเขาอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนและปลอบประโลมไม่ต่างกัน
นางต้องห่างจากเขาไปยังดินแดนอันห่างไกลทั้งยังยาวนาน
การทำกิจกรรมอันเป็นที่โปรดปรานของบุรุษเพศคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอนุชายาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
อีกทั้งเขายังมีสตรีที่ยามนี้อุตส่าห์เดินทางมาเพื่อเขาอย่างหลิงอวิ๋นอะไรนั่น
สตรีนางนั้นคงหวานล้ำกว่านางเป็นอย่างมาก
ฮือ…ยิ่งคิดยิ่งช้ำใจ
แม้ภายในใจของนางจะกำลังรวดร้าว แต่ภายนอกกลับต้องการตักตวงความอบอุ่นจากหลี่เซียวเหยาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
หากในภายภาคหน้าเขาจะเปลี่ยนไป แต่อย่างน้อยภายในค่ำคืนนี้ นางก็ขอเก็บความทรงจาอันมีค่ามากมายมหาศาลระหว่างนางกับเขาเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขายังคงจูบนางอย่างดูดดื่ม นางเองก็เช่นเดียวกัน
นางไม่อาจถอนริมฝีปากของตนออกจากริมฝีปากของเขาได้
ยิ่งจูบยิ่งเพิ่มแรงปรารถนาในการทำอย่างอื่นที่มากกว่า
ยิ่งโอบกอดยิ่งเพิ่มความต้องการสัมผัสที่เข้มข้นขึ้นเป็นทวีคูณ
การกระทำอันแสนรัญจวนจึงเกิดขึ้นเมื่อนางและเขากอดเกี่ยวกันเข้ามายังห้องนอนและเสียงพูดคุยจึงเปลี่ยนไปเป็นเสียงครวญครางอย่างสุขสมคล้ายอัดอั้นอยู่บนเตียงนอนหนานุ่มจนตลอดเกือบทั้งคืน
เขายังคงกอดนางเอาไว้แนบอกแกร่งที่ยังคงร้อนผ่าวเมื่อพายุอารมณ์ของเราสิ้นสุดลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบเบา
“ข้าไม่อาจรอเจ้าอย่างใจเย็นได้ เจินเจิน” ประโยคนั้นของเขาทานางต้องหลับตาข่มอารมณ์เอาไว้อย่างยากลำบาก
“พรุ่งนี้ท่านจะไปส่งข้าออกจากวังหรือไม่” นางเปลี่ยนเรื่องโดยถามกลับไปด้วยประโยคเรียบเรื่อยไม่คาดหวังอีกต่อไป
“ย่อมไม่” เขากล่าวออกมาเพียงแค่นั้นก่อนจะก้มหน้าลงจูบนางอย่างต่อเนื่อง
นางทำได้แค่เพียงตอบรับจูบจากริมฝีปากของเขาอย่างโง่งม
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ
ใครใช้ให้นางชอบเขามากมายเพียงนี้กันเล่า
เขายังคงจูบนางอย่างหนักหน่วงฝ่ามือของเขายังคงเคล้าคลึงคลอเคลียไปตามส่วนต่างๆอย่างไหลลื่น
แน่นอน…เขาตักตวงจากนางได้
นางก็ตักตวงจากเขาได้เช่นเดียวกัน
บทรักทุกบทใช่ว่าสตรีจะเป็นฝ่ายถูกครอบครองอยู่ฝ่ายเดียวเสียเมื่อไหร่
เจินเจินยังคงนั่งนิ่งๆอยู่บนม้าตัวใหญ่สีเข้มพลางหลับตาลงเพื่อระลึกถึงค่ำคืนอันแสนหฤหรรษ์ของนางกับหลี่เซียวเหยา
นางกำลังรอให้เขามาส่งนางที่ด้านหน้าประตูวังนี่
นางรอมาครู่ใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะมาปรากฏกายเพื่อส่งนางให้กำลังใจนางในการเดินทางแต่อย่างใด
ขณะนี้เวลาของกำหนดการเดินทางได้ล่วงเลยมานานมากแล้ว หญิงสาวเพียงปรายตามองไปยังลูกน้องที่รอจนหลับไป
หลายคนจึงถอนหายใจออกมาก่อนจะส่งสัญญาณทางสายตาไปยังสมุนคนที่ไม่ได้หลับให้ไปปลุกคนที่หลับอยู่
“ไป!” เจินเจินตะโกนก้องอย่างทรงพลังด้วยคำสั้นๆแค่นั้นก่อนจะพาม้าคู่ใจพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วด้วยมาดของนางพญาเหมือนดังเช่นที่เคยเป็น
ในเมื่อเขาไม่มาส่งนางเดินทางก็ไม่เป็นไร นางจะได้รู้เอาไว้ว่าเขาอาจจะไม่รอนาง
และนางก็จะได้เต็มที่กับภารกิจโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป
ภายในตำหนักของหลี่เซียวเหยา…
“เปิ่นกงได้หาฤกษ์งามยามดีเอาไว้ให้เจ้าแล้วนะหลิงอวิ๋น” เซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นกับสตรีที่นางหมายหมั้นปั้นมือให้มาตบแต่งกับบุตรชายของนางอยู่ภายในห้องรับรองอย่างอารมณ์ดี
นางเห็นหลี่เซียวเหยาเงียบงันมิได้ว่ากล่าวสิ่งใดกับเรื่องนี้นางจึงตัดสินใจดำเนินการอย่างถืออำนาจในความเป็นมารดาของบุตรชาย
อีกทั้งสตรีตรงหน้านั้นยินดีกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่งนางจึงกระทำการอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
“หม่อมฉันมิรู้ได้ว่าควรกล่าวสิ่งใด หม่อมฉันดีใจเหลือเกินเพคะ” หลิงอวิ๋นกล่าวอย่างนอบน้อมพร้อมด้วยอาการขวยเขินใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา
“ต่อไปเจ้าจะต้องมาเป็นชายาเอกของบุตรชายของเปิ่นกงแล้วนะหลิงอวิ๋น” เซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยพลางตบหลังมือของ หลิงอวิ๋นเบาๆ
ทั้งรูปร่างหน้าตากิริยามารยาทและที่สำคัญชาติตระกูลของหลิงอวิ๋นทำให้เซียงหวงกุ้ยเฟยชมชอบสตรีนางนี้เสียจริง
“แล้วสตรีผู้นั้นขององค์ชายสี่เล่าเพคะ” หลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวลแสดงออกว่าน้อยเนื้อต่ำใจ “ท่าทางองค์ชายสี่จะชมชอบสตรีนางนั้นอยู่มากโขนะเพคะ”
“เจ้าจะห่วงอันใดกัน สตรีนางนั้นเปิ่นกงพอจะรู้ประวัติอยู่บ้าง นางเป็นสตรีไร้สกุลอย่างหาที่ใดมิได้ มารดาเป็นคณิกาของหอนางโลม บิดารึ! เป็นใครก็ยังไม่รู้ มีสิ่งใดเทียบกับเจ้าได้กัน หลิงอวิ๋น” เรื่องนี้เซียงหวงกุ้ยเฟยสืบทราบมาแล้วจากปากของเซียงอวี๋เป็นอย่างดีจึงเอ่ยได้เต็มปาก
“จริงหรือเพคะ ตายจริง!” หลิงอวิ๋นมีสีหน้าตกอกตกใจตามด้วยสีหน้าดูถูกดูแคลนอย่างโจ่งแจ้ง “เช่นนั้น องค์ชายสี่ทรงร่วมอภิรมย์ได้ลงคอเช่นนั้นหรือ”
“ก็แค่เอาไว้อุ่นเตียงน่ะ เมื่อได้เจอกับเจ้าแล้วย่อมเห็นถึงความแตกต่าง”
“นั่นสิเพคะ”
ทั้งสองจบประโยคสนทนาด้วยเสียงหัวเราะอย่างสบายอารมณ์เมื่อนึกถึงสตรีนางหนึ่งผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้กับพวกนางแม้แต่นิดเดียว
หลี่เซียวเหยาได้ยินบทสนทนาของสองสตรีได้อย่างชัดเจน
เขาแน่ใจว่าเจินเจินของเขามิได้มีดีแค่อุ่นเตียงแต่อย่างใด
ดังนั้นแล้วเขาจึงได้ตัดสินใจ
“หัวหน้าใหญ่” เสียงของสมุนคนหนึ่งของเจินเจินกระซิบกระซาบเรียกหลี่เซียวเหยาอยู่ข้างๆไม่ห่างกัน
พวกสมุนของเจินเจินได้เห็นแล้วว่าองค์ชายผู้นี้ปราบหัวหน้าเจินเจินของเขาเสียอยู่หมัดจึงจัดให้เขาเป็นหัวหน้าใหญ่เสียเลย
สมุนคนเดิมกระซิบต่อ “หัวหน้าเจินเจินเดินทางไปแล้วขอรับ”
“ดี…” หลี่เซียวเหยาตอบรับก่อนหมุนตัวเดินออกไปจากมุมมืดของห้องรับรอง
วันนี้เขารั้งรอให้เจินเจินเดินทางนำหน้าไปก่อน เขาจึงจะปลอมตัวเป็นสมุนของนางแล้วออกติดตามนางอยู่ห่างๆกับสมุนส่วนหนึ่งของนาง
“เจินเจินไม่รู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่” เขาถามสมุนคนเดิมขณะแอบเดินออกมาทางด้านหลังตำหนักของเขา
“ไม่รู้ขอรับ เรื่องนี้มีแค่ข้ากับสมุนอีกสองคนเท่านั้นที่รู้” สมุนคนเดิมกล่าวอย่างหนักแน่น
ถึงแม้ว่าหัวหน้าเจินเจินของเขาจะรู้ เขาก็แน่ใจว่าไม่เป็นไร แต่เขาจะไม่ให้รู้หรอก มันสนุกดี…
ท่ามกลางสวนสวยของอุทยานภายในตำหนักของหลี่เซียวเหยา…
หลิงอวิ๋นยังคงเดินนวยนาดไปมาอย่างต้องการสำรวจตรวจตราพื้นที่ทุกสัดส่วนภายในตำหนักแห่งนี้
เพราะในอีกไม่นานนางจะได้มาเป็นชายาเอกของที่นี่อย่างจริงแท้และแน่นอน
อีกทั้งยังต้องการมองหาสตรีนามว่าเจินเจินเพื่อจะได้ประเมินคู่ต่อสู้ได้อย่างไม่ผิดเพี้ยนเพื่อจะได้แย่งชิงความโปรดปรานขององค์ชายสี่ได้ในที่สุด
แต่แทนที่จะเจอกับสตรีนามว่าเจินเจินกลับต้องมาเจอเหล่าอนุชายาองค์ชายสี่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ทำให้นางเสียอารมณ์สุนทรียิ่ง!
“พวกเจ้า!” หลิงอวิ๋นเอ่ยเสียงเข้มไปทางเหล่าอนุชายาที่กำลังพากันเดินไปมาอยู่ไม่ห่าง
“ควรจะอยู่ในตำหนักของตัวเอง ไม่ควรมาเดินทอดน่องวุ่นวายในตำหนักกลางแห่งนี้” นางกล่าวอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่อย่างถือสิทธิ์
“อะไรกันเจ้าคะ” อนุชายาคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “พวกเราก็เดินไปเดินมาอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว”
“เดินมาก่อนที่ใครบางคนจะมาเสียอีก” อีกคนเอ่ยตาม
อีกสองคนช่วยหัวเราะเสริมอย่างคิกคัก “ใช่ๆ”
“ต่อไปข้าไม่อนุญาต” หลิงอวิ๋นเอ่ยทันควันอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในกิริยาอย่างนั้นจากเหล่าอนุชายา
“ข้ากำลังจะแต่งเข้ามาเป็นชายาเอกของที่นี่ ข้าไม่ชอบให้ใครมาเพ่นพ่านให้มากคนมากความ”
“อุ๊ย! กลัวจังเลย” อนุชายาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างมีจริต
“นั่นสิ! น่ากลัวเสียจริง พวกเรา! ไปเรียกอนุชายาคนอื่นๆมานะ พามาเดินแถวนี้กัน” อนุชายาอีกคนเอ่ยขึ้นอย่างท้าทายไปทางหลิงอวิ๋น จนอนุชายาอีกสองนางพากันหัวเราะอย่างขบขัน
“พวกเจ้า พวกเจ้า” หลิงอวิ๋นถึงกับหน้าขึ้นสีชาดตัวสั่นเทาพลางยกนิ้วขึ้นชี้หน้าเหล่าอนุชายา
“ทำไม ทำไม” เหล่าอนุชายาถามขึ้นอย่างพร้อมเพรียงยียวนกวนอารมณ์อย่างตั้งใจ
และแล้วเหล่าสตรีทั้งหลายที่มีทั้งรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามและมีทั้งชาติตระกูลสูงศักดิ์ก็เปิดศึกสาดน้ำลายใส่กันอย่างครื้นเครงอยู่ภายในตำหนักของหลี่เซียวเหยา…
เวลาผ่านไปหลายวันสำหรับการเดินทางจากแคว้นต้าหลี่มายังอาณาเขตเชื่อมต่อของแคว้นต้าไห่เป้าหมายในการถล่มเมืองในครานี้
เจินเจินยังคงเป็นผู้นาอย่างงดงามทรงพลังเปี่ยมสง่าราศีอยู่เหนือขบวนของเหล่าสมุนด้วยมาดน่ายำเกรงสมกับตำแหน่งหัวหน้าระดับสูงอย่างแท้จริง
หญิงสาวพาพวกพ้องของตนลัดเลาะไปตามทางของหุบเขาอย่างเป็นระเบียบและรัดกุมตามแผนผังของอาณาเขตต่างๆที่นางจาได้อย่างแม่นยำจากภาพวาดที่เหล่าสมุนได้ส่งมาให้ก่อนหน้านี้
เมื่อเจินเจินพาพรรคพวกเดินทางมาถึงชายแดนฝั่งหนึ่งของแคว้นต้าไห่ หญิงสาวเพียงยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่เพื่อรอฟังคำสั่งของนาง
ทุกคนแม้แต่หลี่เซียวเหยาที่แอบปลอมตัวเป็นสมุนของเจินเจินอยู่ท้ายขบวนเพียงรอฟังคำสั่งจากนางแต่โดยดี
ยามนี้เขาได้เห็นเพียงแค่เบื้องหลังที่นั่งตัวตรงอย่างงามสง่าของนาง สตรีผู้ซึ่งมักจะมีท่าทางขี้เล่นยียวนกวนประสาทเขา ออดอ้อนเขา พะเน้ำพะนอเขา ได้หายไป จะเหลือก็แต่เพียงมาดของผู้นำหญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่เหนือขบวนที่ติดตามโดยเหล่าบุรุษผู้ภักดี
เมื่อขบวนเดินทางหยุดลงตามสัญญาณมือของเจินเจินหญิงสาวจึงกระโดดลงจากหลังม้าด้วยท่าทางปราดเปรียวสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉยดวงตาดั่งหงส์มองกวาดบริเวณโดยรอบอย่างแน่วแน่จริงจัง ก่อนจะปรายตามองมายังสมุนบางส่วนให้เข้าไปล้อมวงแล้วกางแผนผังออกเพื่อให้สมุนบางคนเข้าไปฟังแผนการของนาง
“พวกเจ้ากระจายกันไปทางทิศต่างๆก่อนเพื่อรอสัญญาณจากข้า” เสียงของเจินเจินเอ่ยสั่งการเพียงเบาๆไม่ให้ดังจนเกินไปกับบรรดาสมุนของนางอยู่ตรงมุมมืดหลังพุ่มไม้ ห่างออกมาจากค่ายของเหล่าทหารประจำชายแดนของแคว้นต้าไห่ สีหน้างดงามของนางยามนี้ช่างจริงจังไม่มีล้อเล่นแต่อย่างใด เหล่าสมุนก้มหัวรับฟังคำเตรียมทำตามคำสั่งอย่างพร้อมเพรียงเงียบเชียบแต่แข็งขัน
“ข้าจะเข้าไปล่อพวกมันออกมาก่อนด้วยแผนที่หนึ่ง” กล่าวจบเจินเจินก็คาบมีดสั้นในมือเอาไว้ก่อนยกมือเพื่อเกล้าผมขึ้นมัดรวบตึงเอาไว้จนหมดทั้งศีรษะก่อนจะหยิบหน้ากากปิดหน้ามาปิดเอาไว้ให้เหลือแค่เพียงดวงตาพร้อมทั้งสวมชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ทับเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง ยามนี้หญิงสาวอยู่ในมาดของหัวหน้าเจินเจินผู้ทรงพลัง
“พวกเจ้าต้องจัดการกับกลุ่มนี้ให้หมดอย่าให้เหลือ” เจินเจินทิ้งท้ายด้วยประโยคแค่นั้นก่อนพาร่างของตนพุ่งทะยานออกไปยังกลุ่มทหารยามประจำชายแดนกลุ่มหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวเลือกที่จะปรากฏกายตรงด้านหน้าของกลุ่มทหารเหล่านั้นเพื่อล่อหลอกให้พวกมันพาคนออกตามนางมา หญิงสาวใช้ความปราดเปรียวคล่องตัวที่ฝึกฝนมานานจนเก่งกาจ อีกทั้งเลือกกระทำในคืนเดือนมืดไร้แสงจันทร์สาดส่อง
“นั่นใคร อย่าหนีนะ พวกเรา ตาม!” นั่นคือเสียงของเหล่าทหารกลุ่มแรกที่เป็นเป้าหมายของเจินเจิน
หญิงสาวม้วนตัวอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดไปทางมุมมืดมุมหนึ่งซึ่งมีสมุนของนางรออยู่แล้วจำนวนหนึ่ง
ก่อนจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเหล่าสมุนในลำดับต่อไปเมื่อเหล่าทหารพวกนั้นหลงกลไล่ตามนางมา
หญิงสาวทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบตามจุดต่างๆรอบนอกของค่ายทหายชายแดนแห่งนี้
ผลที่ได้คือเหล่าทหารที่เป็นเวรยามหลายนายได้หายหน้าหายตาไป ทำให้นางสามารถใช้แผนในลำดับต่อไปได้โดยสะดวก
เมื่อเห็นได้ว่าทางเริ่มสะดวกยิ่งขึ้นแล้ว นางจึงปล่อยผมออกให้ยาวสยาย ปลดหน้ากากออก ถอดชุดคลุมสีเข้มออกแล้วสวมทับด้วยชุดคลุมสีอ่อนพลิ้วไหวเดินนวยนาดเข้าไปยังค่ายทหารด้วยมาดของสตรีบอบบางอ่อนแอในคราบของหญิงคณิกาประจำค่ายทหาร
นางสืบทราบมาว่าวันนี้มีองค์ชายผู้หนึ่งของแคว้นต้าไห่ได้เดินทางมาตรวจการที่ค่ายทหารแห่งนี้
หากนางทำให้ค่ายทหารแห่งนี้ปั่นป่วนได้ นั่นย่อมต้องเรียกความสนใจส่วนใหญ่จากเมืองหลวงให้มาสนใจทางนี้ได้ไม่มากก็น้อย
ซึ่งมันก็จะมีผลทำให้องค์ชายน้อยหลี่หงจินหยางโอรสหนึ่งเดียวของแคว้นต้าหลี่ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ในแคว้นต้าไห่แห่งนี้สามารถกระทำการในลำดับต่อไปได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
ด้วยเป้าหมายของเจินเจินในครานี้คือต้องการปกป้องและเปิดทางให้องค์ชายหลี่หงจิน หยางได้กระทำการเข้ายึดครองแว่นแคว้นต้าไห่แห่งนี้นั่นเอง
หลี่เซียวเหยาที่ได้แอบติดตามเจินเจินมาได้เห็นการกระทำทุกอย่างของนางทุกอย่างจนตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกลักษณะท่าทาง ท่วงท่ากิริยา และทุกการกระทำ
เขาต้องยอมรับว่านางทำได้ดี นางเป็นบุคคลที่มิใช่แค่เพียงสตรีธรรมดา นางมิใช่แค่เจินเจิน แต่นางเป็นมากกว่านั้น
แต่…
ปลอมเป็นหญิงคณิกาของค่ายทหารนี่มัน…