ตอนที่ 2
ให้ข้าช่วย
ภายในตำหนักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของวังหลวงแต่แยกออกมาเพียงกำแพงกางกั้นนั้น
ยามนี้มีบรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของธรรมะอยู่ภายใน มีบ่าวไพร่และนางกำนัลแค่เพียงไม่กี่คนจะเรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่แสนจะวังเวงก็ไม่ปาน
ในวันนี้ทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามาแล้วที่เจินเจินแอบตามบุรุษผู้หนึ่งเข้ามายังตำหนักแห่งนี้และได้นั่งเล่นอย่างสบายอารมณ์บนขื่อใต้หลังคาแห่งนี้
อืม…
ตำหนักใหญ่โตโออ่าแห่งนี้มีขื่อด้วย ทำไมถึงมีนางมิได้สนใจ แต่…ช่างดียิ่ง นางจะได้แอบมองเขาในรัศมีแบบรอบทิศทาง
คิดได้ดังนั้นสายตาของนางก็กวาดมองไปรอบๆอีกครั้ง นางเพ่งมองไปที่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่หลังฉากกั้น
อา…
นางควรนั่งแอบมองเขาไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ที่หลังฉากกั้น ในอ่างอาบน้ำนั่น คิกคิก เจินเจินคิดและหัวเราะคิกคักอยู่ในใจเรื่อยเปื่อย
และบุรุษผู้นั้นที่หญิงสาวได้แอบติดตามมา เขาเพียงนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนพื้นที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ตรงบริเวณกลางห้องขนาดใหญ่
เขากำลังนั่งทำสมาธิอยู่อย่างนั้น เพื่อเก็บข่มอารมณ์ที่อยากจะฆ่าสตรีหน้าไม่อายนางหนึ่ง
นางบังอาจแอบติดตามเขามา
นางกำลังแอบมองเขาอยู่
นางนั่งอยู่บนขื่อนั่น
เพื่อพิศมองดูนางแล้ว เขาพอจะมองออกว่านางมิใช่สตรีธรรมดา นางมิใช่สตรีทั่วไปของเมืองหลวง
นางย่อมเป็นบุคคลสำคัญของฝ่ายอิทธิพลมืดฝ่ายที่ถือกองกำลังอันยิ่งใหญ่แข็งแกร่งที่สุดของยุทธภพ ฝ่ายที่ซึ่งหนุนหลังให้แคว้นต้าหลี่แห่งนี้
นางเป็นคนของฮองเฮาหงเหม่ยหลงและฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินเสด็จพี่ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นจึงทำให้เขาต้องมานั่งทำสมาธิเพื่อเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่านที่อยากจะสังหารนางอยู่ในขณะนี้
เจินเจินยังคงนั่งมองบุรุษผู้นั้นที่บัดนี้นางได้รู้แล้วว่าเขาคือองค์ชายสี่นามว่าหลี่เซียวเหยา เขาเป็นน้องชายของฮ่องเต้หลี่
ซื่อหมิน เขาเดินทางมาจากแคว้นหลี่แคว้นดั้งเดิมของเขา เพื่อมาช่วยงานราชกิจให้ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินที่แคว้นต้าหลี่แห่งนี้
และที่สำคัญ
นางยังรู้ประวัติอันแสนจะขมขื่นของเขาอีกด้วย
หญิงสาวมองหน้าของหลี่เซียวเหยาพลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานช่วงบ่ายตอนที่นางกำลังนั่งจับกลุ่มกันนินทา เอ้ย! เสวนากับบรรดาสตรีเพศด้วยกันที่เป็นทั้งเจ้านายและสหายอย่างออกรสออกชาติกันอยู่ในศาลากลางสวนสวยของพระตำหนักในที่ซึ่งเป็นที่พำนักพักพิงประจำตัวของฮองเฮาหงเหม่ยหลงเจ้านายสายตรงของนางเอง
“ตอนนี้องค์ชายสี่หลี่เซียวเหยายังไม่มีชายาหรอกนะ” เสียงหวานแหลมของหยางเจียนผู้รู้เรื่องของบุคคลในราชวงศ์หลี่เป็นอย่างดีเอ่ยขึ้นขณะจับกลุ่มคุยกันภายในศาลาแห่งนี้
และแล้วประโยคนั้นก็ทำเจินเจินผู้ที่ตั้งหัวข้อถึงบุคคลที่ต้องการจะนินทาจึงเด้งตัวขึ้นมาพร้อมหูที่กางผึ่ง
หยางเจียนยังคงเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่อง “ข้าได้ข่าวว่าชายาคนก่อนขององค์ชายสี่ได้ก่อเรื่องอัปยศน่าอายเอาไว้กับองครักษ์ประจำตัวขององค์ชายสี่ พระองค์จึงรังเกียจสตรี เข้าหาแต่ธรรมะ ไม่สนใจโลกภายนอกอีกเลยหลังจากสังหารชายชั่วหญิงโฉดนั่น”
“โอว! ช่างน่าเห็นใจ” เว่ยฟางที่อยู่ในกลุ่มด้วยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเห็นใจจริงๆ
“ข้าว่า เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับองค์ชายสี่เลย เจินเจิน” หลิวฉวนหยู่ร์ที่ยืนกอดอกพิงเสาของศาลาอยู่เอ่ยขึ้นเพื่อเตือนสติของสหายจากสำนักเดียวกัน
แต่…มิได้เข้าหูของเจินเจินแต่อย่างใด
นางยังคงมีสมาธิและสติทั้งหมดอยู่กับเรื่องขององค์ชายสี่และชายาใจร้ายนั่น
ฮึ! ชายานั่นร้ายกว่านางเสียอีก เจินเจินคิด
“แล้วหลุมศพของชายานั่นอยู่ที่ใด” เจินเจินถามขึ้น
“เจ้าจะทำไมรึ” หยางเจียนถามกลับ
“ข้าก็จะไปขุดเอาศพของสตรีนางนั้นมาตบ ตบ แล้วก็ตบ ก่อนฝังกลับเข้าไปใหม่อย่างไรเล่า” เจินเจินตอบพลางทำท่าทางประกอบ
“อืม… ข้าจะไปถามฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินให้นะ” ฮองเฮาหงเหม่ยหลงที่นั่งอยู่เหนือสุดของกลุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วยกับเจินเจิน
“ข้าว่า เจ้าควรจะขุดเอาศพของนางมาขอบใจดีกว่านะ ที่ปล่อยให้องค์ชายสี่หลุดมือจนมาถึงมือเจ้า” หยางเจียนเอ่ยขัดอย่างนึกสนุก
“นั่นสิ! ข้าเอาใจช่วยเจ้านะ เจินเจิน” เว่ยฟางเอ่ยตามอย่างรื่นเริง
“เอาเข้าไป! แต่ละคน” หลิวฉวนหยู่ร์ถอนหายใจขณะเอ่ยออกมา
“สตรีที่ชอบทำตัวผิดแปลกจากสตรีทั่วไปของเมืองหลวง ทั้งยังเลี้ยงบุรุษเอาไว้จนเต็มเรือนอย่างเจ้า ข้าว่าอย่าได้คิดฝันจะดีกว่า นะเจินเจิน” หลิวฉวนหยู่ร์เอ่ยดักคอเจินเจินอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นสหายสนิทและอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายผู้ซึ่งเป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ ดีไม่ดี นางพญาจิ้งจอกแสนสวยอย่างเจินเจินอาจจะสิ้นชื่อเอาได้
เจินเจินหันขวับมาทางหลิวฉวนหยู่ร์ที่ยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกล ก่อนเถียงออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่กำไรชีวิต ข้ามิได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทั้งยังไม่เคยขึ้นเตียงกับผู้ใด แม้ข้าจะมีฝีมือแข็งแกร่งร้ายกาจ แต่ส่วนนั้นของข้าช่างบอบบางยิ่ง มันรับศึกได้แค่คนเดียว จริงๆ”
“อื้อหือ…..”
เสียงอื้ออึงของบรรดาสตรีในศาลายังคงดังอยู่ในมโนสานึกของเจินเจินที่นั่งเท้าคางอยู่บนขื่อนั่น นางยังคงนั่งเหม่อมองบุรุษด้านล่างอยู่อย่างนั้น
ในคราแรกนางแค่นึกชมชอบบุคลิกหน้าตาอันหล่อเหลารูปร่างสมส่วนบึกบึนกำยำของเขา
แต่ขณะนี้นางนึกเห็นใจเขาเป็นอย่างยิ่ง
เขาคงเจ็บปวดเป็นอย่างมากในครานั้น
และคงยังเจ็บปวดอยู่ไม่จางในขณะนี้
อา… นางอยากช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำนั่นเหลือเกิน
หลี่เซียวเหยาที่นั่งสมาธิอยู่ตรงจุดเดิมรู้สึกได้ถึงสายตาระยิบระยับวิบวับน่ากลัวของสตรีบนขื่อนั้นเป็นอย่างดี
แต่เขาก็ยังคงหลับตาอยู่อย่างอดทน
“ถ้าท่านเปิดใจให้ข้า” เสียงเจินเจินเอ่ยขึ้นเนิบนาบอยู่บนขื่อ “ข้าขอสาบาน ว่าจะรักท่านแต่เพียงผู้เดียว”
ประโยคนั่นทำหลี่เซียวเหยาลืมตาขึ้นก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยความหมายทางสายตาว่า ไม่ต้องเลย!
แต่เจินเจินนั้นกลับเข้าใจไปคนละอย่าง
“ท่านให้โอกาสข้า” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นก่อนจะกระโดดออกจากขื่อด้วยท่วงท่าสวยงามลงมานั่งบนตักแข็งแกร่งของหลี่เซียวเหยา
“ดียิ่ง ช่างดียิ่ง” นางกล่าวขณะซุกซบคลอเคลียอยู่ตรงแผงอกของหลี่เซียวเหยา
ชายหนุ่มหรี่ตามองร่างงามระหงบนตักของตนด้วยสายตาพิฆาตความคิดโหดเหี้ยม
เขาจะดึงมีดมาแทงนางส่วนใดก่อนดี?
เจินเจินเอียงหน้าขึ้นมองตอบสบตาของหลี่เซียวเหยา พลางคิดในใจ สายตาของเขาช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจนางยิ่งนัก สายตาคมกริบลึกลับนี้ทานางหลงใหลได้ปลื้ม อา…ขอหอมแก้มหนึ่งทีนะ จมูกนางเร็วเท่าความคิด นางฝังจมูกโด่งได้รูปเข้ากับใบหน้างดงามของเขาในทันที
หลี่เซียวเหยาถึงกับตัวเกร็งแข็งทื่อกับการกระทำอันแสนจะอุกอาจแบบไม่เคยมีสตรีนางใดกล้าทำกับเขาเยี่ยงนี้มาก่อน
ยัง!
ยังไม่พอ
หอมแก้มข้างหนึ่งแล้วย้ายมาหอมอีกข้างหนึ่ง
ตัดจมูกนางทิ้งดีหรือไม่!?
เจินเจินฝังจมูกกับแก้มของหลี่เซียวเหยาอยู่อย่างเพลิดเพลินโดยไม่สนใจสายตาร้อนเป็นไฟของเจ้าของแก้มแต่อย่างใด
อืม…
ใกล้กับแก้มนี่ก็คือริมฝีปาก จะกัดเม้มทำไมนั่น เผยอ ออกมา!
เจินเจินคิดในใจขณะเหม่อมองริมฝีปากของหลี่เซียวเหยาที่กำลังขบเม้มเป็นเส้นตรงกล้ามเนื้อกระตุกโดยรอบ
มือไม้ของนางช่างกระทำการอย่างไร้ที่ติโดยไม่ต้องใช้สมองคิดไตร่ตรองแต่อย่างใด มันกำลังล้วงเข้าไปในสาบเสื้อตัวในสุดของหลี่เซียวเหยา
นางมิได้ต้องการยั่วยวนแต่อย่างใด
นางเพียงต้องการสัมผัสเขา ก็เท่านั้น
“ท่านคงโดดเดี่ยวและเหน็บหนาวมาเนิ่นนาน ท่านควรปล่อยวางอดีตที่ขมขื่นและมาเริ่มต้นใหม่อย่างเข้มข้นกับข้าเสีย” เจินเจินเอ่ยเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงจริงจังดวงตาเป็นประกายมือไม้ซุกซน
หลี่เซียวเหยากล้ามเนื้อพลันกระตุกลำตัวชะงักเกร็งแข็งค้างกับประโยคำว่า
อดีตขมขื่น โดดเดี่ยวและเหน็บหนาว
ใช่!
เขายังไม่เคยลืม
เขาไม่คิดจะลืม
อดีตที่ขมขื่นนั่น
เขาทั้งโดดเดี่ยวและเหน็บหนาวจนต้องเอาธรรมะเข้าช่วยเก็บข่ม มีเพียงธรรมะเท่านั้นที่ช่วยเยียวยาบาดแผลภายในใจของเขาได้
มิใช่สตรีเจ้ามารยาน่ารังเกียจ
เหล่าสตรีล้วนน่ารังเกียจ
โดยเฉพาะสตรีที่กำลังจะขืนใจเขาอยู่ขณะนี้
แล้วนี่!
นางจับเขากดนอนราบกับพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
บัดซบ!
“ท่าน!” เสียงเจินเจินดังอยู่เหนือร่างของหลี่เซียวเหยา
“ยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ใยถึงตัวแข็งเป็นรูปปั้นปานนี้”
“ปล่อย!” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
เขาอยากจะระเบิดอารมณ์ของตัวเองเต็มที ความสุขุม ความนิ่งเฉย และกิริยาอันแสนจะสุขุมนุ่มลึกของเขากำลังจะหมดไปเพราะสตรีเจ้าเล่ห์นางนี้ที่กำลังขึ้นคร่อมเขาอยู่
“เจ้าอยากตาย ใช่หรือไม่” เขากัดฟันคำราม
“ท่านพูดได้” เจินเจินเริ่มตื่นเต้นกับการโต้ตอบของชายหนุ่มใต้ร่าง นางรีบเอ่ยต่อ “ข้ามิได้อยากตาย ข้าอยากช่วยท่าน”
“ข้าเป็นองค์ชาย เจ้ากำลังล่วงเกินองค์ชาย เจ้ามีโทษสมควรตาย ลุกออกไป”
“ท่านจะเป็นองค์ชายหรือไม่ใช่องค์ชายมิได้สำคัญ ขอเพียงท่านหลุดออกจากอดีตที่ท่านกำลังจมปลักอยู่ ให้ข้าช่วย”
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
“ข้าอยากช่วยท่าน”
“ไม่จำเป็น ข้าไม่ต้องการ” เขาตอบตามสัตย์
“ท่านชอบช่วยตัวเองรึ” นางถามตามตรง
“…..”
“……”
และภายในห้องอันรโหฐานแห่งนี้ที่อดีตไม่เคยได้ปรากฎร่างของสตรีนางใดได้ย่างกรายเข้าไปมาก่อนเลย แต่บัดนี้กลับมีหญิงสาวนางหนึ่งผู้ซึ่งกำลังอยู่บนตัวขององค์ชายสี่หลี่เซียวเหยา ทั้งสองชายหญิงคู่นั้นกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติในท่วงท่าหมิ่นเหม่ชวนวาบหวิว
และภาพนั้นกำลังปรากฎอยู่ในสายตาของสตรีอีกนางหนึ่ง
นางที่ซึ่งมักจะชอบแอบมององค์ชายสี่อยู่โดยตลอดในเวลาเนิ่นนานปีที่ผ่านมา
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไร” เสียงบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลังของสตรีที่แอบมองหลี่เซียวเหยากับเจินเจินอยู่ตรงประตูหน้าห้อง
“เจ้าคือ เซียงอวี๋” ชายผู้นั้นเอ่ยทักทำยเมื่อเห็นและจำได้ว่านางเป็นใคร นางเป็นน้องสาวของอดีตชายาขององค์ชายสี่หลี่เซียวเหยาที่ตายไป นางคอยติดตามดูแลองค์ชายสี่มาตลอดเวลาหลายปีด้วยเหตุผลเพื่อชดเชยความผิดให้พี่สาวที่สร้างความอัปยศไว้ให้กับองค์ชายสี่พี่ชายของเขา
“เอ่อ! องค์ชายห้า” เซียงอวี๋เห็นบุรุษผู้มาใหม่จึงหันไปทำความเคารพอย่างตระหนกตกใจ “ถะ ถวายบังคมองค์ชายห้า เพคะ”
“เจ้ายังติดตามองค์ชายสี่อีกหรือ ติดตามมาถึงที่นี่เชียว” หลี่จื้อเฉิงหรือองค์ชายห้าพระอนุชาอีกคนของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหลี่ขมวดคิ้วคมขึ้นพลางถามอย่างสงสัย
“เอ่อ! เพคะ องค์ชายห้า” เซียงอวี๋ก้มหน้าหลบสายตาก่อนตอบรับเสียงเบา นางเคยถูกห้ามไม่ให้ติดตามแต่นางฝืนจนได้มา
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ” หลี่จื้อเฉิงไม่อยากต่อความจึงทำท่าเดินเข้าห้องตรงหน้า
“เสด็จพี่ของข้าอยู่หรือไม่ อ่ะ!” ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงักกับภาพตรงหน้าที่อยู่ภายในห้องแห่งนี้
เขาจึงเข้าใจได้ในทันที ว่าทำไมเซียงอวี๋จึงต้องยืนเกาะประตูแน่นเยี่ยงนั้น
และภาพนั้น
ภาพนั้น…
หลี่จื้อเฉิงตาโตตกใจ พลันหันหลังกลับไปแล้วออกวิ่งอย่างเร็ว เปลี่ยนเป้าหมายไปอีกตำหนักหนึ่งทันที ซึ่งแต่เดิมนั้น หลี่จื้อเฉิงต้องการมาชวนหลี่เซียวเหยาเล่นหมากล้อม แต่ภาพที่เขาได้ประสพพบเจอทำให้เขาไม่อยากเล่นหมากล้อมอีกต่อไป
เพราะภาพนั้น
เรื่องนั้น
ต้องขยาย….
ณ ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินของแคว้นต้าหลี่
“ทูลฮ่องเต้ องค์ชายห้าหลี่จื้อเฉิงขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงขันทีหน้าประตูห้องเสียงหนึ่งพลันดังตามมาพร้อมร่างสูงสง่าของบุรุษที่ชื่อหลี่จื้อเฉิงพุ่งพรวดเข้ามา “เสด็จพี่…”
องค์ชายห้าหลี่จื้อเฉิงเป็นพระอนุชาอีกคนหนึ่งของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน
ทั้งองค์ชายสี่หลี่เซียวเหยาและองค์ชายห้าหลี่จื้อเฉิงเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินทรงสนิทสนมทั้งยังไว้วางใจให้มาช่วยงานที่แคว้นต้าหลี่ซึ่งได้แยกขยายอาณาเขตออกจากแคว้นหลี่ดั้งเดิม
และเหตุที่พวกเขาค่อนข้างสนิทสนมกันจึงไม่คำนึงถึงพิธีรีตองอะไรมากนักในเขตส่วนบุคคลแห่งนี้
“เสด็จพี่ ข้ามีเรื่องของพี่สี่มากราบทูล” หลี่จื้อเฉิงเริ่มต้นบทความที่ต้องการขยายจากภาพที่เห็นภายในตำหนักของหลี่เซียวเหยาทันทีโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด ด้วยใจยังคงติดภาพของหลี่เซียวเหยาอยู่
เขายังคงกล่าวขึ้นอย่างต่อเนื่อง “ข้าต้องการให้เสด็จพี่จัดงานอภิเษกสมรสให้พี่สี่โดยเร็ว พี่สี่จะได้ตื่นจากฝันร้ายที่พยายามกลบเอาไว้ด้วยธรรมะเสียที”
ประโยคนี้ของหลี่จื้อเฉิงทำเอาฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินเจ้าของห้องต้องมองอย่างฉงน
“มีเรื่องอันใดหรือ น้องพี่” หลี่ซื่อหมินลุกขึ้นเดินมาที่พระอนุชาของตนพร้อมเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“เฮ้อ! เสด็จพี่ไม่ทรงทราบหรอกว่ากระหม่อมเห็นอะไรมา ภาพนั้นมันทำให้กระหม่อมน้ำตาแทบไหล ในที่สุดพี่สี่ก็ได้หลุดพ้นจากความอัปยศอดสูในอดีตเสียที” หลี่จื้อเฉิงกล่าวขึ้นพร้อมกับทำท่าปาดน้ำตาที่ไม่มีสักหยด พลางเอ่ยต่อเนื่อง “เพราะข้าเป็นหนุ่มเจ้าสาราญ ข้าจึงเข้าใจอารมณ์บุรุษเพศเป็นอย่างดี พี่สี่ของข้าคงเก็บกดมานานปี พระองค์ต้องช่วยพี่สี่ของข้านะ”
หลี่จื้อเฉิงยังคงย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง “พระองค์ต้องทรงช่วยจัดงานอภิเษกสมรสให้องค์ชายสี่นะ พะย่ะค่ะ”
และเมื่อข่าวการขอพระราชทานสมรสแพร่ออกไป…
“ข้าไม่รู้เรื่องนะ” เจินเจินสาวงามที่สุดในปฐพีกำลังวิ่งหนีการไล่ล่าฆ่าฟันจากหลี่เซียวเหยาอย่างต่อเนื่อง “ท่านช่วยฟังข้าก่อนได้หรือไม่”
หลี่เซียวเหยายังคงก้าวย่างอย่างสุขุมงามสง่าด้วยท่วงท่าเย็นชาแฝงความอามหิตแผ่กลิ่นอายสังหารมาทางเจินเจินโดยไม่คิดจะสนใจคำแก้ตัวใดๆ
“ข้าแค่อยากช่วยท่าน มิได้คาดหวังถึงขั้นแต่งงานเลยจริงๆนะ” เจินเจินยังคงอธิบายพลางกระโดดตัวลอยหลบคมดาบที่อยู่ในมือของหลี่เซียวเหยา
ในขณะที่หลี่เซียวเหยากำลังถือดาบคมกริบแวววาวไล่บี้ตามติดร่างงามของเจินเจิน
“เจ้ามันนางจิ้งจอกร้อยเล่ห์มารยา” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำทรงอำนาจ ดวงตาคมปลาบดำดิ่งไร้ก้นบึ้งลึกล้ำของเขาที่เดิมทีไม่เคยได้ปรากฎเงาของใครในดวงตานั้นมาก่อน
บัดนี้ ได้ปรากฎเงาของสตรีนางหนึ่ง
ผู้ซึ่งทำให้เขา ตบะแตก! เกินควบคุมอารมณ์ใดๆอยู่ในขณะนี้
“ข้าเป็นนางจิ้งจอกจริง แต่ข้าบริสุทธิ์ใจนะ” เจินเจินเอ่ยด้วยน้ำเสียงโอดครวญ
“ข้าจะขวักใจของเจ้าออกมาดู ว่าบริสุทธิ์จริงหรือไม่” หลี่เซียวเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันพลางชี้ดาบหมายคาดโทษไปทางเจินเจิน
“ไม่ดีหรอกนะ ฮือ…”
และการไล่ล่าก็ยังคงดำเนินต่อไป…