ตอนที่ 23
แผนกำจัดอนุภรรยา
(กลืนกินภรรยาตัวดี)
ค่ำคืนแห่งความทรมานของหลี่เซียวเหยาและเจินเจินก็ผ่านไปอีกหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน…
ยามอิ่ว(17.00น.-18.59น.)ของวันนี้ ในช่วงเวลาของอาหารมื้อเย็นภายในห้องอาหารของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เจินเจินยังคงนั่งส่งสายตาออดอ้อนอย่างรู้สึกผิดไปทางหลี่เซียวเหยาที่ยังคงนั่งหน้าตึงมืดครึ้มอยู่ตรงหัวโต๊ะอาหาร
“ใยเจ้าไม่รีบเรียกบรรดาอนุภรรยาของสามีมาทานข้าวเสียด้วยกัน” หลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นกับเจินเจินด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแต่ดวงตาวาวโรจน์
เจินเจินมองสบตาของหลี่เซียวเหยาอย่างไม่อยากเชื่อหูของตนก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านไม่โกรธพวกนางแล้วรึ”
“ไม่!” เขาตอบสั้นๆห้วนๆแค่นั้น
“…..”
“ท่านพี่…” บรรดาอนุภรรยาพลันส่งเสียงมาอย่างพร้อมเพรียงคล้ายกับว่าใครจุดธูปอัญเชิญ
“มากันแล้วรึ” ประโยคนี้เป็นเสียงของหลี่เซียวเหยา เขากำลังรอให้เหล่าอนุภรรยาตัวปลอมของเขาโผล่หน้าออกมาอยู่เป็นนาน
สามสาวถึงกับชะงักเท้ากึกเมื่อมองมาทางหลี่เซียวเหยาที่นั่งกอดอกด้วยมาดทรงพลังแผ่รังสีทรมานคนมองอยู่ตรงโต๊ะอาหาร ก่อนจะกระซิบกระซาบอย่างระแวดระวังใส่กันและกันอยู่ตรงระหว่างทางเดินก่อนจะถึงโต๊ะอาหาร
“พี่เสี่ยวเหมย บุรุษท่านนั้นเขาเป็นองค์ชายปลอมตัวมาจริงๆรึ” ดรุณีน้อยคนที่หนึ่งเอ่ยขึ้นกับเสี่ยวเหมย
“นั่นสิ ข้าว่าเขาคล้ายกับเป็นจอมมารปลอมตัวมาเสียมากกว่านะ” ดรุณีน้อยคนที่สองเอ่ยตาม
“บางทีเขาอาจจะเป็นจอมมารมากเล่ห์ปลอมตัวเป็นองค์ชายแล้วปลอมตัวซ้ำซ้อนมาอยู่ข้างกายเจินเจินของเรา” เสี่ยวเหมยคาดการณ์ด้วยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นแล้ว เราต้องช่วยกันคอยระแวดระวังภัยให้กับเจินเจินนะ”
“อืม…เจ้าค่ะ” สองสาวน้อยก้มหน้าหงึกหงักรับคาอย่างมุ่งมั่น พวกนางต้องตอบแทนบุญคุณของเจินเจินที่ช่วยชีวิตเอาไว้อย่างถึงที่สุด นั่นคือคาสัตย์ปฏิญาณตั้งแต่เจินเจินได้ช่วยเหลือพวกนางเอาไว้
“พวกเจ้า…มาเร็ว” เจินเจินส่งเสียงใสเรียกพวกของเสี่ยวเหมยให้มานั่งทานอาหารด้วยกันอย่างกระตือรือร้น
ทั้งหมดจึงมานั่งลงที่โต๊ะอาหาร สักพักเสี่ยวเอ้อก็นาอาหารมาจัดวางเอาไว้บนโต๊ะอย่างสวยงาม อาหารแต่ละอย่างคล้ายกับว่าสั่งปรุงขึ้นมาอย่างพิเศษ โดยมีอาหารสามจานที่ดูแล้วน่าตาน่ากินอย่าบอกใคร
“มันมีเพียงสามจานเท่านั้นขอรับ” เสียงของเสี่ยวเอ้อเอ่ยขึ้นเมื่อนำอาหารสั่งทำพิเศษวางลงบนโต๊ะ
หลี่เซียวเหยาสังเกตเห็นว่าพวกของสาวน้อยกำลังมองอาหารที่นามาวางด้วยดวงตาแวววาวเป็นประกายจึงแอบยกยิ้มมุมปากครู่หนึ่ง ครู่หนึ่งเท่านั้น แค่เพียงพริบตา จนไม่มีใครทันสังเกต
“มีแค่สามจาน ฮูหยินควรจะเสียสละให้พวกนางดีหรือไม่” หลี่เซียวเหยาเอ่ยกับเจินเจินอย่างใจดี
“ย่อมได้ พวกเจ้า…ตามสบายเลย” เจินเจินยิ้มแย้มจัดการยื่นส่งจานอาหารให้แต่ละนาง
เหล่าอนุภรรยาตัวปลอมถึงกับทำหน้าพิศวงงุนงงพลางคิด พวกนางคงคิดมากจนเกินไปกระมัง กับบุรุษผู้นี้
“กินเลย กินเลย” เจินเจินรีบดูแลทั้งสามสาวเป็นอย่างดี นางกำลังดีใจที่หลี่เซียวเหยาหายโกรธเคืองพวกของเสี่ยวเหมยแล้ว
หลี่เซียวเหยาเพียงมองบรรดาสตรีตรงหน้า ด้วยสายตาพิฆาตความคิดโหดเหี้ยม เขาต้องกาจัดเหล่าอนุภรรยาตัวปลอมให้ได้เสียก่อนแล้วค่อยเผด็จศึกกับฮูหยินของเขา ฮึ!
ยามไฮ่(21.00น.-22.59น.)…
เจินเจินเดินเข้ามายังห้องของหลี่เซียวเหยาด้วยอาการมึนงงไม่สร่างซา
หญิงสาวเดินเข้ามาด้วยสายตาที่ยังคงทอดมองออกไปยังห้องฝั่งตรงกันข้ามที่มีพวกของเสี่ยวเหมยอาศัยอยู่
คืนนี้ช่างแปลกยิ่งนักที่พวกของเสี่ยวเหมยคล้ายกับว่าไม่นำพาใดๆกับนางเอาเสียเลย เมื่อทานอาหารกันเสร็จสรรพก็พากันกลับเข้าที่พักแล้วปิดห้องหับหลับเป็นตายโดยไม่คิดจะเรียกให้เจินเจินไปอยู่เป็นเพื่อนดั่งเช่นคืนก่อนๆ
เดิมทีพวกนางไม่คิดจะหลับจะนอนกันเลยนะ
ด้วยเพราะเกรงกลัวว่าจะมีผู้ใดเข้ามาจับตัวไปขณะหลับใหล แต่คืนนี้ ทำไม…
เจินเจินยืนทำท่างุนงงอยู่ตรงหน้าประตูห้องอยู่อย่างนั้น นางกำลังลังเลอยู่ว่าจะกลับเข้าไปคอยเฝ้าดูพวกเสี่ยวเหมยดีหรือไม่ ท่าทางพวกนางผิดปกติเสียจริงเชียว
หลี่เซียวเหยาที่ยืนกอดอกเอนหลังพิงอยู่ตรงขอบหน้าต่างห้องกำลังมองเจินเจินอยู่เช่นเดียวกัน
เขาสั่งให้เสี่ยวเอ้อประจำโรงเตี๊ยมเตรียมอาหารชุดพิเศษสามจานนั้นให้ แล้วสั่งให้พวกสมุนแอบเอายานอนหลับใส่ลงไปเพื่อให้พวกเสี่ยวเหมยได้หลับอย่างสงบไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับเขาและเจินเจินอีก
เขาอยากใช้เวลากับเจินเจิน
หลายวันมาแล้วตั้งแต่แอบติดตามเจินเจินมา
หลายวันมาแล้วที่อยู่ท้ายขบวน แอบสังเกตการกระทำและภารกิจของเจินเจิน
แอบคุ้มครองนางมาตลอดทาง จนถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้
หลายวันมานี้ที่เขาไม่ได้ใช้เวลาอันมีค่ากับเจินเจินของเขาเลย เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการจัดการตามแผนการขององค์ชายน้อยหลี่หงจินหยางเพื่อเข้ายึดครองแผ่นดินของแคว้นต้าไห่
อันที่จริงมันมิใช่เวลาหลายวัน
แต่มันเป็นเวลาเกินเดือนมาแล้วที่เขายังมิได้แตะต้องว่าที่ชายาของเขา
ใช่แล้ว!
ว่าที่ชายา
เขาอยากจะแต่งงานกับเจินเจินให้ถูกต้องเสียที
แต่ดูเหมือนกับว่า เจินเจินช่างใจเย็นเหลือเกิน
ห่วงงาน ห่วงภารกิจ ห่วงคนนั้น ห่วงคนนี้ ไปเสียหมด
ถ้าเป็นสตรีนางอื่นคงจะรีบแต่งงานโดยไม่คิดห่วงสิ่งใดและคงไม่ให้เขาได้คิดไตร่ตรอง
และถ้าหากว่าเจินเจินของเขา
ตั้งครรภ์
ใช่!
ถ้าหากว่านางตั้งครรภ์ให้เขา
ดูทีเถอะว่า
นางยังจะใจเย็นอยู่หรือไม่!
เมื่อหลี่เซียวเหยาคิดได้ดังนั้น เขาจึงเดินเข้าไปหาเจินเจินจากทางด้านหลังและเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปปิดประตูลงกลอนเสียเองโดยไม่ให้เวลาเจินเจินได้ยืนคิดไตร่ตรองสิ่งใด
เจินเจินถึงกับสะดุ้งเฮือกหลุดออกจากภวังค์ของตนเมื่อรู้สึกได้ถึงริมฝีปากชุ่มชื้นลมหายใจกรุ่นร้อนเป่ารดต้นคอจากด้านหลังก่อนจะก้มลงประทับกดลึกอยู่ตรงซอกคอพร้อมด้วยฝ่ามือร้อนระอุกำลังเคลื่อนอ้อมจากด้านหลังเข้ามาพัวพันปัดป่ายอยู่ตามลำตัวของนาง
“อ๊ะ…ท่าน” เจินเจินถึงกับหลุดอุทานเมื่อฝ่ามือของหลี่เซียวเหยาข้างหนึ่งกำลังล้วงเข้ามาในสาบเสื้อก่อนจะลูบคลำเค้นคลึงตรงเนินอกอวบอิ่มของนาง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเขากำลังเลื่อนลงไปลูบไล้ช่วงกลางลำตัวของนางก่อนจะกระตุกสายคาดเอวออกอย่างเร็ว
“อืม…” เจินเจินเริ่มครวญครางขณะยืนหันหลังให้หลี่เซียวเหยาประกบอยู่อย่างนั้น
หลี่เซียวเหยายังคงกระทำการบางอย่างอยู่กับเรือนร่างงดงามของเจินเจิน จนหญิงสาวเริ่มจะทรงตัวเอาไว้ไม่อยู่จึงเอื้อมมือขึ้นเกาะกุมอยู่ตรงประตู
“คืนนี้…” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเสียงเบาพร้อมพ่นลมหายใจกรุ่นร้อนรดต้นคอของเจินเจิน “เจ้าอย่าหวังว่าจะหลุดมือข้า เจินเจิน” จบคำชายหนุ่มจึงจับเจินเจินให้หันหน้าเข้าหาเขา หญิงสาวถึงกับเซถอยหลังชนกับประตูโดยมีชายหนุ่มก้มหน้าฝังลงมาอย่างจมเขี้ยวอยู่ตรงซอกคอ เขาเริ่มต้นได้รวดเร็วและรวบรัด
เจินเจินถึงกับแหงนหงายใบหน้าหายใจติดขัดอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเรียวสวยของนางจับขยุ้มอยู่กับสาบเสื้อตรงแผงอกของชายหนุ่มเอาไว้แน่น เสื้อผ้าอาภรณ์ของนางหลุดลุ่ยจนเสียทรงร่นติดอยู่ตรงช่วงแขนเปิดเผยอออกตรงส่วนของหน้าอกอวบนูนโดยที่เอี๊ยมตัวบางได้หลุดออกไปเสียตั้งแต่ทีแรก
“อา…ท่าน” เจินเจินส่งเสียงครางออกมาก่อนเมื่อพยายามจะเอื้อนเอ่ย “ข้า…จะไปดูพวก…เสี่ยวเหมย”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” ชายหนุ่มขู่เสียงต่ำแหบพร่าก่อนเคลื่อนใบหน้าขึ้นมาเพียงนิดแล้วกดริมฝีปากของเขาประกบจูบริมฝีปากของเจินเจินเพื่อไม่ให้นางได้กล่าวทัดทานสิ่งใดอีกต่อไป
“อือ…อื้อ…” เจินเจินถึงกับหายใจไม่ออกเมื่อหลี่เซียวเหยาโหมกระหน่ำจูบนางไม่ยั้ง
ซักพักหลี่เซียวเหยาจึงถอนริมฝีปากชุ่มชื้นของเขาออกมาเพื่อให้เจินเจินได้หายใจ เขาก้มหน้ามองนางที่กำลังหายใจหอบเหนื่อยอยู่ตรงหน้าในระยะประชิดด้วยแววตาร้อนแรง ชายหนุ่มกางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อเอาฝ่ามือยันเอาไว้ที่ประตูในท่ายืนคร่อมเจินเจินอยู่ เขาจะไม่ให้นางได้มีหนทางบ่ายเบี่ยงแต่อย่างใด
เจินเจินเหม่อมองสายตาพราวเสน่ห์ของเขาและรับรู้ได้ว่ายามนี้หลี่เซียวเหยาของนางต้องการนางมากเพียงใด
นางเองก็เช่นเดียวกัน
หญิงสาวยกตัวขึ้นพร้อมกับเอื้อมวงแขนขึ้นโอบรอบลำคอของชายหนุ่มก่อนจะเป็นฝ่ายโน้มตัวขึ้นจูบเขาอย่างเร่าร้อนเริ่มต้นใหม่อย่างเร่งเร้า
หลี่เซียวเหยารับรู้ได้ถึงการเริ่มต้นใหม่ครานี้ของเจินเจินจึงรีบประคองกอดร่างระหงตรงหน้าให้หมุนตัวไปตามทิศทางยังเตียงนอนในขณะที่ริมฝีปากของทั้งสองยังคงล้วงลึกเข้าหากันอย่างนัวเนียแนบแน่น
ลำแขนแข็งแกร่งของเขายกตัวของนางจนลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะพากันไปจนถึงเตียงนอน
ชายหนุ่มค่อยๆวางร่างของหญิงสาวลงบนเตียงนอนในขณะที่ริมฝีปากยังคงพรมจูบไปทั่วใบหน้านวลเนียนที่บัดนี้เปลี่ยนจากสีชมพูระเรื่อเป็นสีแดงเปล่งปลั่ง
เขายังคงใช้ปลายลิ้นไล้เลียไปทั่วจนลงไปเรื่อยๆตามลำคอระหงขาวผ่อง ฝ่ามือร้อนลวกโลมไล้ไปทั่วทุกอณูของเรือนร่างผิวกายนาง อาภรณ์ที่ก่อนหน้าแค่เพียงหลุดลุ่ยบัดนี้ค่อยๆเปิดออกทั้งหมดจนเปิดเผยผิวขาวนวลเนียนสว่างแก่สายตา
หลี่เซียวเหยาต้องยอมรับว่าเจินเจินเป็นสตรีที่สวยสดงดงามมากคนหนึ่ง ใบหน้าของนางได้รูปเรียวเล็ก คิ้วโก่งเรียวสวยรับกับดวงตาหงส์ ปากได้รูป จมูกจิ้มลิ้ม ผิวเนียนละเอียดสะอาดสะอ้านงามตา ยามสัมผัสช่างนุ่มลื่นสบายมือ เนินอกของนางกลมกลึงอวบอิ่มเต่งตึง ช่วงเอวเล็กคอดรับกับสะโพกโค้งเว้างามงอน หน้าท้องแบนราบ ช่วงขาเรียวสวย
เขายอมรับว่านางมีเสน่ห์ของสตรีเพศอยู่เต็มเปี่ยม เดิมทีเขายังนึกแปลกใจตนเองว่าทำไมเขาถึงนิยมชมชอบร่วมรักกับนางทั้งๆที่เขามิได้นึกนิยมชมชอบเรื่องอุ่นเตียงกับสตรีนางใด แต่กับเจินเจิน เขามักจะมีความต้องการ
เขาต้องการนาง…
หลี่เซียวเหยาถอยใบหน้าถอนริมฝีปากออกจากหน้าอกหยุ่นนุ่มเพื่อพิศมองสตรีใต้ร่างที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับรสสัมผัสของเขา ยามนี้ใบหน้าของนางแสดงออกถึงอารมณ์เพศเช่นเดียวกับเขา ดวงตาของนางหยาดเยิ้มทอประกายเย้ายวนเว้าวอนเมื่อมองขึ้นมาที่เขา ริมฝีปากได้รูปกำลังขบเม้มน้อยๆอย่างมีอารมณ์ ชายหนุ่มก้มหน้าลงอีกครั้งเพื่อจุมพิตเบาๆที่เปลือกตาของหญิงสาวที่กำลังทอประกายร้อนแรงเรียกร้องจากเขา
สัมผัสนั้นทำเจินเจินถึงกับรู้สึกอุ่นซ่านขึ้นมา ริมฝีปากอุ่นชื้นของเขาที่แตะต้องนางในทุกๆที่ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้กับเมื่อครู่นี้ตรงเปลือกตา มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัวใส่หน้าของหลี่เซียวเหยาที่ถอยออกเพื่อพิศมองนางอย่างสำรวจ
ชายหนุ่มพิศมองรอยยิ้มหวานล้ำนั้นของหญิงสาวจึงหลุดยิ้มอ่อนโยนตอบกลับ ก่อนก้มหน้าลงจุมพิตละมุนมอบให้ตรงริมฝีปาก
เขาค่อยๆเปลี่ยนจุมพิตนุ่มนวลเป็นดูดดื่มเพิ่มเป็นหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพรมจูบหญิงสาวไปทั่วผิวพรรณนวลเนียน
ละเอียดลออของนาง ฝ่ามือกรุ่นร้อนของเขายังคงลูบคลำเลื่อนไล้ไปทั่วตั้งแต่เนินอกจนถึงหน้าท้องแบนราบก่อนจะเกี่ยวเอาชั้นในตัวบางออกไป เขาใช้เวลาเพียงครู่เพื่อปลดอาภรณ์ของตัวเองออกในขณะที่ริมฝีปากอุ่นร้อนยังคงแต่งแต้มไปตามเรือนกายของนาง
ซักพักหลี่เซียวเหยาก็ถอนริมฝีปากออกมาอีกคราก่อนก้มหน้ามองเจินเจินอย่างลึกซึ้ง
“เจินเจิน…” ชายหนุ่มเรียกนางเสียงเบา “เราแต่งงานกันนะ…”
ประโยคนั้น น้ำเสียงนั้น ทำเจินเจินถึงกับใจกระตุกสั่นไหวรุนแรง
นางเอ่ยเสียงเบาแผ่ว “เซียวเหยา…”
แต่ยังมิได้ตอบคาใด หญิงสาวเพียงเม้มริมฝีปากอมยิ้มส่งให้พร้อมแววตาซาบซึ้งสุดหัวใจ
เจินเจินแอบคิดเอาไว้ว่า นางอยากจะสร้างอาณาจักรให้ได้เสียก่อน อาณาจักรที่มีเพียงหลี่เซียวเหยาและนางครองคู่กันปกครอง โดยไม่ต้องสนใจฐานะฐานันดรใดๆ เขามิใช่องค์ชาย
และนางมิใช่เพียงสตรีไร้สกุล แต่เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรแห่งนั้น
“ว่าอย่างไร…” เขายังคงย้ำถามเสียงแหบต่ำขณะก้มหน้าลงตรงซอกคอระหงของนาง
“อืม…” เจินเจินพยักหน้าเบาๆยอมรับไปก่อนเพื่อมิให้เสียบรรยากาศ เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ
สองหนุ่มสาวจึงเริ่มพัวพันคลอเคลียแนบชิดสนิทแนบแน่นกันยิ่งขึ้นเมื่อหลี่เซียวเหยาใช้ต้นขาของเขาดันต้นขาของเจินเจินออกห่างเพื่อเริ่มบทเพลงบรรเลงบทรักอันแสนรัญจวน
เจินเจินนอนแอ่นกายขึ้นรับสัมผัสของเขาพลางหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุข
หลี่เซียวเหยาก้มหน้าซบซอกคอขณะโยกกระชับพร้อมขยับอย่างมีชั้นเชิง
เสียงครวญครางอ่อนหวานของเจินเจินที่ดังอยู่ข้างใบหูของเขายิ่งเพิ่มอารมณ์บุรุษเพศของเขาให้พร้อมสร้างความหฤหรรษ์อย่างต่อเนื่อง
ความรู้สึกเสียวสยิวที่กำลังเกิดขึ้นกับเจินเจิน ทำให้นางต้องยกแขนขึ้นโอบรอบไหล่และลำคอของหลี่เซียวเหยาเอาไว้แน่น เพื่อยกกายเบียดสะโพกเข้าหาสัมผัสจากเขาอย่างเต็มที่
เสียงเนื้อสัมผัสเนื้ออย่างเป็นจังหวะพร้อมเสียงครวญครางอย่างเสียวซ่านผสมผสานกับเสียงหายใจหนักหน่วงหอบถี่ร้อนกรุ่นเป่ารดซอกคอของกันและกันจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใด แม้แต่เสียงของนกประหลาดตัวใหญ่สีดำทมิฬผู้มีหน้าที่คอยส่งข่าวสารที่กำลังเกาะอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
เจ้านกขาประจำของพรรคฝ่ายมารตัวนี้มันบินมาเกาะอยู่ตรงริมระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก่อนจะพยายามเบียดกายดันหน้าต่างห้องนี้จนเกิดเสียงดัง แกรก แกรก อยู่เป็นนาน ก่อนจะแทรกตัวเข้ามาจนสำเร็จเพื่อทำหน้าที่ส่งสารตามความรับผิดชอบอันสูงส่ง มันพยายามส่งเสียงแล้วแต่ไม่สามารถดังไปกว่าเสียงบางอย่างบนเตียงอุ่นนั่น เสียงนั้นมีหลายเสียงผสมผสานกัน เสียงนั้นมันกำลังดังกันอยู่อย่างหลากหลายจนเจ้านกตัวเขื่องต้องหยุดฟัง
นานแล้วที่มันยืนฟังแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเสียงที่รบกวนการส่งสารของมันจะหยุดลงแต่อย่างใด แต่มันก็ยังคงทนฟังอยู่
อย่างใจเย็น นานเข้าจึงรู้สึกแปลกๆ มันจึงใช้เท้าจิกพื้นขอบหน้าต่างเอาไว้แน่น…
แน่นเสียจนเมื่อยขบ
นานเข้ามันจึงตัดสินใจส่งสัญญาณชีพของตนเองอีกครา
“แคว่ก แคว่ก”
“อา…อา..”
“แคว๊ก แคว๊ก”
“อ๊า…อ๊า..”
“แคว๊กก”
“อา…”
“…..”
“อา…อา…อ๊า..”
มันจึงจิกเล็บลงตรงขอบหน้าต่าง
รอต่อไป….