ตอนที่ 26
ไม่คาดคิด 2
“นั่น! นั่น!” ดรุณีสองนางชี้มือมาทางต้นขาของเจินเจินพลางตะโกนดังลั่น “เลือด!!!”
เจินเจินขมวดคิ้วฉงนพลางก้มลงมองตามมือของสาวน้อย
หญิงสาวจึงได้เห็นคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ตรงหว่างขาของตน
“!!!???”
พลันร่างของเจินเจินก็วูบไหวโอนเอนจนเสี่ยวเหมยต้องรีบเข้ามาประคองตามด้วยสองดรุณีน้อยวิ่งเข้ามาใช้ร่างน้อยๆอ้อมมาทางด้านหลังของเจินเจิน เพื่อรองรับร่างบางของเจินเจินเอาไว้ไม่ให้ล้มจนร่างกระแทกพื้น
ภายในห้องพักของโรงเตี้ยมที่ทั้งหมดใช้เป็นที่พานักพักพิงในขณะนี้ ร่างงามของเจินเจินยังคงนอนหลับหมดสติอยู่บนเตียงนอนประจำห้องพักโดยมีหมอประจำหมู่บ้านที่ซิงซิงและจิงเย่วสองดรุณีน้อยวิ่งไปฉุดกระชากลากถูให้ตามพวกนางมา
“เด็กยังอยู่” หมอประจำหมู่บ้านกล่าวขึ้นเนิบๆเมื่อจับชีพจรของเจินเจิน “แข็งแรงดี ไม่มีปัญหา”
“…”
“….”
“….”
เงียบ
บรรยากาศโดยรอบนิ่งสนิทคล้ายไม่มีใครนั่งอยู่
สักพักจึงได้ยินแต่เสียงหายใจ
ทุกคนในห้องต่างจ้องมองกันตาแป๋ว
เสี่ยวเหมย ซิงซิงและจิงเยว่ นั่งกลั้นหายใจก่อนพ่นลมออกมาอย่างโล่งใจ
“เด็กยังอยู่” ซิงซิงเอ่ยเบาๆ
“เด็กยังอยู่” จิงเยว่เอ่ยตาม
“เด็กยังอยู่” เสี่ยวเหมยเอ่ยบ้าง
“จะย้ำเพื่อ?” ท่านหมอเอ่ยถาม
ทั้งสามรีบกระโจนตัวเข้ามาคุกเข่าต่อหน้าท่านหมอที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงข้างๆร่างที่กำลังแน่นิ่งของเจินเจินอย่างรวดเร็วพลางส่งเสียงอย่างประสานพร้อมเพรียง “ท่านหมอ…”
“!!!”
“ท่านพี่เจินเจินตั้งครรภ์หรือเจ้าคะ” เสี่ยวเหมยเอ่ยอย่างโล่งใจ “ดียิ่ง ช่างดียิ่ง”
“โชคดีจริงๆที่ไม่เป็นอะไร”
“ใช่ๆ ถ้าเป็นอะไรไปพวกเราต้องรู้สึกผิดไปจนตลอดชีวิตแน่ๆ”
ทั้งสามพากันพร่างพรูทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นระคนรู้สึกผิดอย่างเปิดเผย
ทั้งสามสาวเป็นต้นเหตุของเลือดที่ออกนั่น
จึงรู้สึกเสียใจอย่างมากมายมหาศาล
“เอาล่ะ เอาล่ะ” ท่านหมอเอ่ยขึ้นเนิบนาบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเจอผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วยมาแล้วทุกรูปแบบ รวมทั้งรูปแบบตรงหน้าขณะนี้
“แม่นางท่านนี้เป็นคนที่ร่างกายแข็งแรง พลังธาตุแข็งแรง และเด็กในครรภ์ก็แข็งแรงมาก ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะจัดยาบำรุงให้พวกเจ้าเอาไว้ต้มให้นางดื่ม เช่นนั้นแล้ว…ปล่อยขาข้าก่อน…ปล่อยขาข้า!” ท่านหมอกล่าวเสียงเข้มขึ้นขณะกระชากขาที่กำลังถูกสามสาวครอบครองอยู่อย่างยากลำบาก
เมื่อท่านหมอหลุดออกจากพันธนาการของสตรีทั้งสามแล้ว ในเวลาเพียงไม่นานห่อยาทั้งหลายจึงถูกส่งต่อให้พวกนางอย่างครบถ้วน
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เจินเจินจึงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
โอว…ระดูมาทีไร เป็นอย่างนี้ทุกที เจินเจินคิดในใจ
“ท่านพี่เจินเจิน” ซิงซิงและจิงเยว่เรียกเจินเจินพร้อมกันเมื่อมองเห็นหญิงสาวตื่นงัวเงียขึ้นมา “ดีขึ้นหรือไม่”
“อืม…” เจินเจินตอบคา
“มา มา ดื่มยาบารุงเสียหน่อย” เสี่ยวเหมยรีบลุกขึ้นไปรินยาที่เตรียมเอาไว้อย่างดี มาให้เจินเจิน
เมื่อเจินเจินดื่มจนหมดแล้วเสี่ยวเหมยจึงเอื้อมมือขึ้นจับมือของเจินเจินมากุมเอาไว้ พลางเอ่ยอย่างจริงใจสีหน้าจริงจัง
“ท่านใช้เรี่ยวแรงในการจัดการกับมนุษเพศผู้พวกนั้นมากจนเกินไปจึงเป็นเช่นนี้ นั่นเพราะต้นเหตุเกิดจากข้า ข้าขอสาบานว่าจะดูแลท่านอย่างดีเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่เป็นไร ข้ารู้อยู่แล้ว” เจินเจินเอ่ยคาเรื่อยๆ นางรู้อยู่แล้วว่าตัวเองมักจะหน้ามืดยามระดูมา
“หือ! ท่านรู้อยู่แล้วรึ?” เสี่ยวเหมยมองตาปริบๆถามออกไป
“เฮ่อ! ถ้าข้ารู้ ข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ ไม่น่าเป็นต้นเหตุให้ท่านเลย ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”
เจินเจินคลี่ยิ้มสดในส่งให้เสี่ยวเหมยก่อนเอ่ยอย่างไม่ถือสาแต่อย่างใด “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“ให้ข้าดูแลท่านนะเจ้าคะ ข้าจะดูแลท่านอย่างดี” เสี่ยวเหมยรีบเอ่ยอย่างลุแก่โทษ
“ข้าด้วยเจ้าค่ะ” ดรุณีสองนางเอ่ยตาม
เจินเจินมองอย่างงุนงง ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงัก
พวกนี้เป็นอะไรกัน?
ยามชวี(19.00น.-20.59น.) ภายในห้องพักของหลี่เซียวเหยา
“ท่านหัวหน้าใหญ่” สมุนคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหลี่เซียวเหยาในห้องพักเพื่อรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับแผนการของการจัดการแคว้นต้าไห่เพื่อเสริมแผนการขององค์ชายหลี่หงจิน หยาง
สมุนคนเดิมรีบเอ่ย “ตอนนี้มีพวกโจรป่าปรากฏตัวขอรับ พวกมันถูกสังหารโหดไปห้าคนตรงชายป่าหลังหมู่บ้านเมื่อยามบ่ายของวันนี้ มันจึงโกรธมากและกำลังพาพวกเข้ามาสร้างความปั่นป่วนโดยรอบของหมู่บ้านแห่งนี้ คาดว่ามันน่าจะพยายามเข้ามาภายในหมู่บ้านขอรับ”
“โจรป่ารึ” หลี่เซียวเหยายืนเอามือไขว้หลังอย่างงามสง่าอยู่ตรงริมระเบียงรับฟังอย่างครุ่นคิด
เพียงไม่นานเขาจึงวางแผนการให้ลูกน้องไปจัดการ
“เช่นนั้นเราอาจจะใช้ประโยชน์จากโจรป่าพวกนี้ได้ มันน่าจะเสริมสร้างความปั่นป่วนให้แคว้นนี้ได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ เราต้องล่อพวกมันให้ไปอีกทางหนึ่ง ไปทางฝั่งของเมืองหลวงได้ยิ่งดี จะได้เป็นการปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ และล่อเสือที่แอบอยู่ในพระราชวังของแคว้นต้าไห่ให้ออกมา ว่าแต่…เจินเจินหัวหน้าสายตรงของพวกเจ้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่”
“พวกของเสี่ยวเหมยไม่ให้พวกเราเข้าใกล้หัวหน้าเจินเจินเลยขอรับ พวกนางล้อมหน้าล้อมหลังคอยเฝ้าหัวหน้าเจินเจินของพวกข้าไม่ห่างเลย” สมุนคนเดิมกล่าวออกมาอย่างน้อยอกน้อยใจ
หลี่เซียวเหยาหรี่ตามองอย่างเข้าใจ เขาเองก็ไม่ต่างกัน! คืนนี้เขาคงได้นอนคนเดียวอีกเป็นแน่…ฮึ่ม!
เวลาล่วงเลยจนเข้ายามจื่อ(23.00น.-24.59น.) หลี่เซียวเหยาใช้เวลาในการช่วยสมุนวางแผนการเพื่อจะนำเหล่าสมุนไปจัดการกับพวกโจรป่าอยู่ถึงสองชั่วยาม
เมื่อวางแผนการเสร็จสรรพจึงได้เรียกรวมพรรคพวกให้มารวมตัวกันแล้วเตรียมตัวออกเดินทางโดยเขาต้องการไปจัดการด้วยตัวเองเพื่อที่เจินเจินของเขาจะได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจนเกินไปเพราะว่าบางทีนางอาจจะกำลังตั้งครรภ์ให้เขาอยู่ก็เป็นได้
หลี่เซียวเหยาคิดในใจอย่างปลื้มปริ่มพลางยกยิ้มมุมปากขณะกำลังกางแผนผังของแคว้นต้าไห่อยู่ตรงโต๊ะภายในห้องพักท่ามกลางการรายล้อมของพวกสมุนหลายคน
เหล่าพวกสมุนเห็นหัวหน้าใหญ่ยกยิ้มมุมปากออกมาอย่างไม่รู้สาเหตุ จึงทำได้แค่มองตากันพลางยกยิ้มมุมปากตามอย่างไม่มีสาเหตุเช่นกัน
เมื่อเหล่าพวกพ้องสมุนเตรียมตัวพร้อมแล้ว หลี่เซียวเหยาจึงเป็นหัวหน้านำขบวนพากันเดินทางออกไปหมายจัดการตามแผนการที่ได้วางเอาไว้ โดยมีเจินเจินยืนมองตามตาละห้อยคล้ายสตรีในห้องหอยืนส่งสามีไปออกรบก็ไม่ปาน
นางกำลังยืนเอาผ้าเช็ดหน้าโบกมือให้กำลังใจหลี่เซียวเหยาสามีของนางอยู่ตรงริมระเบียงของโรงเตี้ยมโดยมีเหล่าอนุภรรยาปลอมตัวล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ไม่ห่าง
หลี่เซียวเหยาที่นั่งงามสง่าบนหลังม้าอยู่เหนือขบวนเหล่าสมุน เพียงหันหลังไปมองเจินเจินที่ยืนอยู่ริมระเบียง
เขากำลังรู้สึกคล้ายกับว่าจะไปออกรบแล้วมีภรรยากำลังอุ้มลูกน้อยโบกมือลา พลันให้ความรู้สึกฮึกเหิมยากจะบรรยาย เขาจึงยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
เหล่าสมุนยังคงมองตามหัวหน้าใหญ่ของตน พวกมันเห็นหัวหน้าใหญ่ยกยิ้มมุมปากอยู่อย่างไม่รู้สาเหตุ จึงส่งยิ้มให้กันและกันกับพวกพ้องอย่างไม่มีสาเหตุอีกตามเคย
นั่นพวกเขากำลังจะไปรบมิใช่รึ เสียงชาวบ้านที่แอบดูอยู่กระซิบถามกัน
ใช่ๆ พวกเขากำลังจะไปปราบโจรป่าเพื่อช่วยหมู่บ้านของเรา ชาวบ้านอีกคนกระซิบตอบ
แล้วใยส่งยิ้มหวานละมุนให้กันปานนั้นเล่า ชาวบ้านอีกคนกระซิบถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นเหล่าบุรุษตัวใหญ่ส่งยิ้มให้กันและกันอยู่อย่างนั้น
มันเป็นกลยุทธ์หลอกลวงข้าศึก เจ้าไม่รู้อะไร ชาวบ้านอีกคนตอบอย่างล่วงรู้ไปทุกสรรพสิ่ง
วันเวลาล่วงเลย หลี่เซียวเหยาพาพวกสมุนเดินทางไปจัดการกับพวกโจรป่าแล้วหลอกล่อให้พวกมันเปลี่ยนเส้นทางให้ไปปั่นป่วนภายในเมืองหลวงของพวกต้าไห่เพื่อล่อเสือออกจากถ้า
ส่วนหนึ่ง
ส่วนพวกของหลี่หงจินหยางก็ทำการปลุกปั่นพวกกบฏภายในแคว้นอีกส่วนหนึ่ง
ยามนี้ พวกของแคว้นต้าไห่เกิดการระส่าระส่ายอยู่ทุกสารทิศ
บ้างต้องออกมากำจัดโจรป่า บ้างต้องออกมาจัดการกับพวกกบฏ
หลี่หงจินหยางจึงอาศัยจังหวะนี้เองเข้ายึดส่วนกลางของเมืองหลวงซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งของพระราชวังแคว้นต้าไห่ และแบ่งกระจายพรรคพวกของตนให้ล่อหลอกพวกชนชั้นสูงของแคว้นต้าไห้ให้ออกจากวังตามไล่ล่าพวกของหลี่หงจินหยางไปทางชายแดนที่มีพวกของเยว่เทียนและซือเว่ยตั้งกองกำลังเป็นกำแพงมนุษย์อยู่
ในเวลาต่อมาแคว้นต้าไห่จึงถูกโจมตีจนแตกกระเจิงจากรอบทิศโดยพรรคพวกขององค์ชายน้อยหลี่หงจินหยางที่กระจายกำลังเอาไว้อยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วทุกมุมของแคว้นต้าไห่
มีผลให้แคว้นต้าไห่ถูกหลี่หงจินหยางยึดครองได้ทั้งหมดในเวลาต่อมา…
เมื่อสะสางแคว้นต้าไห่เป็นที่เรียบร้อยดีแล้วหลี่เซียวเหยาจึงพาคณะสมุนกลับมารับเจินเจินเพื่อเดินทางกลับแคว้นต้าหลี่
เขายังต้องไปจัดการกับเหล่าสตรีทั้งหลายภายในวังของเขาและทำทุกอย่างให้เสด็จแม่ของเขายอมรับในตัวของเจินเจิน
“ข้าขี่ม้าไปเองก็ได้ ใยต้องมานั่งรถม้าด้วยเล่า” เสียงเจินเจินเอ่ยถามพวกของเสี่ยวเหมยอย่างไม่เข้าใจ
หญิงสาวยังคงไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมสามสาวพวกนี้ต้องคอยดูแลนางอย่างกับนางเป็นองค์หญิงก็ไม่ปาน
“นั่งรถม้านี่ล่ะ สบายดี” เสียงเสี่ยวเหมยตอบคาขณะส่งผลไม้รสเลิศส่งให้เจินเจินไม่ขาดสาย
“ใช่เจ้าค่ะ” ซิงซิงและจิงเยว่เอ่ยอย่างเห็นด้วยกับเสี่ยวเหมยพลางส่งผลไม้เข้าปากของตน
“นั่นมันสำหรับท่านพี่เจินเจิน พวกเจ้ากินได้อย่างไร” เสี่ยวเหม่ยตวาดเสียงเขียวใส่สองดรุณี
“อ่ะ! ข้าน้อยลืมตัว” สองดรุณียิ้มแห้งก่อนส่งผลไม้คืนให้กับเสี่ยวเหมย
เสียงโหวกเหวกโวยวายยังคงดังอยู่อย่างไม่ขาดสายจากภายในรถม้ากลางขบวน หลี่เซียวเหยาที่กำลังควบม้าคุมขบวนอยู่ได้แต่หรี่ตามองไปทางต้นเสียงของพวกเสี่ยวเหมย
ตั้งแต่ไปจัดการกับพวกโจรป่าจนกลับมาเหล่าสตรีพวกนี้ก็รุมล้อมเจินเจินของเขาเอาไว้ จนเขาไม่มีโอกาสได้ทำอะไรตามอำเภอใจกับเจินเจินเลย ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้พูดคุยหยอกเย้ากัน แล้วเมื่อไหร่เจินเจินของเขาจะตั้งครรภ์ให้เขาเสียที
หลี่เซียวเหยานึกเข่นเขี้ยวอยู่ภายในใจตลอดการเดินทางจนเข้าอาณาเขตของแคว้นต้าหลี่…
ภายในตำหนักที่พักประจำตัวของเจินเจินนั้น ยังคงมีเสี่ยวเหมย ซิงซิงและจิงเยว่คอยวนเวียนตามดูแลปรนนิบัติพัดวีเจินเจินเป็นอย่างดี ในขณะที่หลี่เซียวเหยาต้องเดินทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน พลันเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าสตรีหลายคนก็ดังอยู่ด้านนอกของตำหนักแห่งนี้
เจินเจินรีบเดินออกมาดูสาเหตุของเสียงโหวกเหวกโวยวายในทันที
หญิงสาวเห็นเป็นเหล่าอนุชายาของหลี่เซียวเหยาพากันร้องห่มร้องไห้พลางวิ่งเข้ามาหาเจินเจิน
“เจินเจิน เจ้ากลับมาแล้ว” เสียงอนุชายาหมายเลขสามเอ่ยขึ้นเมื่อมองเห็นเจินเจินเดินออกมา
“เจินเจิน เจ้าต้องช่วยพวกเรานะ” เสียงอนุชายาหมายเลขสี่เอ่ยบ้าง
“สตรีนามว่าหลิงอวิ๋นอะไรนั่น ร้ายกาจมากเลยทีเดียว เจินเจิน” เสียงอนุชายาทั้งหลายพากันเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง
ทั้งหมดจึงพาเจินเจินมายังตำหนักของอนุชายาคนหนึ่ง นางกำลังร้องไห้คร่าครวญอย่างน่าเวทนา
เมื่ออนุชายานางนั้นมองเห็นเจินเจินเดินเข้ามาจึงรีบกระวีกระวาดเดินเข้าหาเจินเจิน
นางสะอื้นไห้เอ่ยขึ้น “เจินเจิน สตรีนางนั้นหยามเกียรติข้า นางตบหน้าข้า ต่อหน้าบ่าวไพร่ เจินเจิน… ฮึกๆฮือ”
เจินเจินกระพริบตามองปริบๆ อย่างไม่เข้าใจ
แค่ตบหน้าใย เป็นเรื่องใหญ่ หรือสตรีเมืองหลวงจะคิดเล็กคิดน้อยกันปานนี้
นางเป็นสตรีพรรคฝ่ายมารเจอการกระทำทำรุณมาหลายรูปแบบการตบหน้ากันจึงไม่นับว่าเป็นอันใด
“ฮึกๆ เดิมทีการตบหน้าองค์หญิงเช่นข้าต่อหน้าบ่าวไพร่ถือเป็นเรื่องที่ไม่บังควรมากพอแล้ว” อนุชายาคนเดิมกล่าวขยายความพร้อมแสดงหลักฐานบางอย่าง
“แต่นี่!นางตบหน้าข้าพร้อมกับปล่อยวิชายุทธ เจ้าดู” อนุชายาเปิดเสื้อตรงหน้าอกและแขนทั้งสองข้างที่มีรอยฟกช้าดาเขียวให้เจินเจินดู
เนื่องจากภายในห้องแห่งนี้มีเพียงเหล่าสตรีจึงสามารถกระทำได้อย่างไม่ต้องเกรงใจกัน
“ข้าถูกตบด้วยพลังฝ่ามือของสตรีนามว่าหลิงอวิ๋นนั่นจนกลิ้งไปตามพื้นหลายตลบเนื้อตัวระบมไปหมด ฮึกๆฮือ” อนุชายานางนั้นยังคงสะอื้นไห้เอ่ยต่อเนื่อง
“ก่อนหน้านั้นข้าก็ถูกหลิงอวิ๋นนั่นซัดฝ่ามือใส่เช่นเดียวกัน” อนุชายาอีกคนเอ่ยบ้าง
“สตรีนางนั้นถือโอกาสยามที่องค์ชายสี่ไม่อยู่รังแกพวกเรา” อนุชายาอีกคนเอ่ยเสริม
“นางมีเซียงหวงกุ้ยเฟยให้ท้ายอยู่ จะทำอย่างไรกับพวกเราก็ได้” อนุชายาอีกคนเอ่ยตัดพ้อ
“นางยังไม่ทันได้เป็นชายาเอกขององค์ชายสี่เลย ยังร้ายกาจถึงเพียงนี้” อนุชายาพากันเอ่ยเป็นเสียงเดียว
“เจินเจินนนน” อนุชายาทั้งหลายพากันคร่าครวญ
เจินเจินถึงกับหน้ามืดมึนงงกับบรรดาเหล่าอนุชายาที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่กันอย่างเนืองแน่นประหนึ่งว่านางเป็นเจ้าชีวิตของทุกคนเสียอย่างนั้น
เสี่ยวเหมยที่คอยเดินตามปรนนิบัติเจินเจินอยู่ไม่ห่างถึงกับต้องรีบเข้ามาประคองร่างบางของเจินเจินเอาไว้
เพียงไม่นานเจินเจินก็ถูกเหล่าอนุชายาพาเดินมายังตำหนักของหลี่เซียวเหยา
ยามนี้เจินเจินรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองมิใช่มนุษย์อีกต่อไป แต่กำลังจะกลายเป็นชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งที่กำลังถูกหิ้วไปหิ้วมาเพียงเท่านั้น
“มาแล้วหรือ…” เสียงเยียบเย็นของเซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นอย่างทรงอำนาจมาทางเจินเจินและเหล่าอนุชายาที่กำลังยืนออกันอยู่ตรงทางด้านหน้าของพระตำหนักของหลี่เซียวเหยา
พระนางกำลังเดินกรีดกรายออกมาอย่างงามสง่าโดยมี หลิงอวิ๋นเดินนวยนาดตามติดออกมาอย่างแช่มช้อยสวยงาม
เมื่อเซียงหวงกุ้ยเฟยและหลิงอวิ๋นเดินเข้ามาจนถึงร่างของเจินเจินเหล่าอนุชายาจึงพากันถอยหลังห่างออกมาอย่างสามัคคี เพื่อให้เจินเจินได้จัดการกับสตรีตรงหน้าได้ถนัดถนี่
โดยมีพวกนางคอยลุ้นและให้กำลังใจกันอย่างคึกคักจริงใจ จนเจินเจินอยากร่ำไห้ออกมา
“เปิ่นกงจะจัดการกับสตรีชั้นต่ำเยี่ยงเจ้าอย่างไรดี ช่างบังอาจล่อลวงองค์ชายสี่ได้ถึงเพียงนี้ สั่งเนรเทศดีหรือไม่ นางสตรีต่ำช้า” เซียงหวงกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เกรงใจเมื่อเดินมาจนถึงร่างของเจินเจิน
สายตาของพระนางยามมองมาทางเจินเจินนั้นช่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แสนจะรังเกียจ
สตรีนามว่าเจินเจินนี้ทำให้แผนการแต่งงานระหว่างหลี่เซียวเหยาและหลิงอวิ๋นเป็นอันต้องล้มเหลวลงไปเพราะหลี่เซียว
เหยาถึงกับหนีออกจากพระราชวังเพื่อออกตามหาและตามติดนาง
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้นั้นหลี่เซียวเหยาบุตรชายหนึ่งเดียวของนางไม่เคยนิยมชมชอบสตรีนางใด นางแน่ใจว่าสตรีนามว่าเจินเจินต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยาและอาจจะใช้วิชามารเข้าใส่บุตรชายของเขาเป็นแน่ เซียงหวงกุ้ยเฟยจ้องมองเจินเจินพลางคิดอย่างเหยียดหยันอยู่ภายในใจ
หลิงอวิ๋นเองก็ไม่ต่างกัน นางมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาเดียดฉันท์อย่างเปิดเผย นางไม่เข้าใจเอาเสียเลยว่าทำไมองค์ชายสี่ถึงโปรนปรานสตรีนางนี้มากมายนัก ทั้งๆที่ตัวนางเองออกจะสวยสดงดงามกว่า ฐานะสูงส่งกว่า มีอันใดที่นางต่ำต้อยกว่าสตรีนามว่าเจินเจินนี่
ทั้งสามคนยืนมองจ้องตากันนิ่งงัน
ทันใดนั้นเซียงหวงกุ้ยเฟยก็ล้มลงทั้งยืน มีโลหิตไหลออกมาทางริมฝีปากโดยมีหลิงอวิ๋นรีบทิ้งตัวเองลงช่วยจับประคองเซียงหวงกุ้ยเฟยไม่ให้หัวกระแทกพื้น
“เกิดอะไรขึ้น” พลันเสียงของหลี่เซียวเหยาก็ดังขึ้นมา เขาอยู่ไม่ไกลจากมุมกำแพงของตำหนักตรงทางเดิน
ชายหนุ่มกำลังเดินพ้นมุมกำแพงเข้ามาพอดีในจังหวะที่เซียงหวงกุ้ยเฟยล้มตัวลงตรงด้านหน้าของเจินเจิน
“เสด็จแม่” หลี่เซียวเหยาเอ่ยออกมาอย่างร้อนรนพลางรีบเดินเข้ามาช้อนร่างของสตรีผู้เป็นมารดาขึ้นอุ้มเอาไว้แนบอก
ยามนี้เซียงหวงกุ้ยเฟยสลบไสลไม่ได้สติมีโลหิตไหลซึมอยู่บริเวณริมฝีปาก
“เกิดอะไรขึ้น เจินเจิน” ชายหนุ่มหันมาถามเจินเจินอย่างร้อนรน
เจินเจินเพียงยืนมองนิ่งๆไม่ได้กล่าวสิ่งใด
“เจินเจิน ทำไมเจ้าถึงร้ายกาจเยี่ยงนี้ ฮือ องค์ชาย… ท่านต้องจัดการนะเพคะ” หลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำตานองหน้าแววตาตระหนกตกใจ
หลี่เซียวเหยาถึงกับชะงักงันด้วยคาดไม่ถึงว่าเจินเจินจะทำอะไรโง่งมอย่างนี้ เขาไม่ควรปล่อยให้เหล่าสตรีอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาควรจะอยู่กับเจินเจินตลอดเวลา
เหล่าอนุชายาพากันตกตะลึง เจินเจินของพวกนางฝีมือร้ายกาจยิ่ง สมแล้วที่พวกนางยกให้เป็นผู้นำ ลงมืออย่างรวดเร็วแทบไม่ทันกระพริบตา
“รีบพาพระองค์เข้าไปด้านในเถิดเพคะ พวกเจ้าตามหมอหลวงเร็ว” หลิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนมาทางหลี่เซียวเหยาพร้อมทั้งสั่งการไปทางบ่าวไพร่ในทันทีอย่างถือสิทธิ์
หลี่เซียวเหยาก้มมองมารดาของตนก็ให้ร้อนใจจึงรีบอุ้มเซียงหวงกุ้ยเฟยเดินเข้าไปยังตำหนักอย่างไม่รีรอ
“….”
“….”
เงียบ
ทุกคนพากันเงียบงัน
ไม่มีเสียงหรือใครเปล่งวาจาใดๆออกมา
แม้แต่เจินเจิน….
ณ ศาลากลางสวนสวยภายในตำหนักของเจินเจิน
หญิงสาวกำลังนั่งอยู่คนเดียวโดยสั่งไม่ให้ใครเข้ามาวุ่นวาย นางกำลังครุ่นคิดถึงความผิดปกติของตนเองอยู่
นางรู้สึกว่าร่างกายของนางกำลังตอบสนองต่อสิ่งเร้ารอบตัวรอบด้านได้อย่างเชื่องช้า
นางยังรู้สึกอีกด้วยว่านางมักจะหน้ามืดอยู่บ่อยครั้งและไร้เรี่ยวแรงอยู่ตลอดเวลา ระดูที่มาก็มาเพียงน้อยนิดผิดจากปกติที่เคยมีมา
ดูอย่างวันนี้ นางถูกเหล่าอนุชายาหิ้วไปหิ้วมาโดยที่นางไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืน
นางรู้สึกอีกว่าไม่อยากจะพูดคุยหรือเสวนากับใคร แม้แต่หลี่เซียวเหยาของนาง
อีกทั้งนางยังอยากจะหลับอยู่ตลอดเวลา
อา…
เป็นอย่างนี้ไม่ดีแน่
นางต้องไปหาหมอเสียแล้ว…
เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่รอช้า นางรีบประคองตัวเองให้เดินออกไปยังตำหนักของหมอหลวงในทันที…
หลี่เซียวเหยาที่กำลังออกเดินตามหาเจินเจินอยู่ในเวลานั้น จึงคลาดกันกับเจินเจิน
เขาได้ฟังคาพูดจากปากของหลิงอวิ๋นกับมารดาของเขาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเจินเจิน
จะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าเจินเจินของเขาจะลงมือกระทำการอย่างนั้น แต่บ่าวไพร่ที่อยู่ตรงบริเวณนั้นกลับตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเจินเจินเป็นคนลงมือกับมารดาของเขา
มันจะเป็นไปได้อย่างไร
เจินเจินไม่มีทางทำอะไรเยี่ยงนั้นอย่างแน่นอน
แล้วอย่างนี้ นางกับเสด็จแม่ของเขาจะเข้าใจกันได้อย่างไร
เขาจะช่วยเจินเจินของเขาได้อย่างไรดี…