ตอนที่ 28
ลูกแมวน้อยกับกระต่ายน้อย
เซียงหวงกุ้ยเฟยกับหลิงอวิ๋นทำทุกวิธีทางเพื่อบีบหลี่เซียวเหยาและขับไล่เจินเจินให้ออกห่างจากกันโดยใช้ความเป็นมารดาของบุตรชายและความรักจากบุตรชายที่มีต่อมารดา
อีกทั้งกฎระเบียบกฎมณเฑียรบาลของเมืองหลวงเกี่ยวกับการที่จะให้บุรุษผู้ที่เป็นถึงองค์ชายอภิเษกกับสตรีนั้นย่อมต้องเป็นสตรีที่พรั่งพร้อมด้วยชาติด้วยศักดินาสูงส่งเทียบเคียงกัน
นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักที่สตรีต่ำต้อยไร้สกุลอย่างเจินเจินต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ซึ่งมันก็มีผลทำให้เซียงหวงกุ้ยเฟยสามารถทำได้ไม่ยากในการจัดการกับเจินเจินด้วยเหตุผลทั้งปวง
เจินเจินที่อุ้มท้องลูกของหลี่เซียวเหยาอยู่ในยามนั้นได้เก็บข่มอาการน้อยเนื้อต่ำใจและได้หลบเร้นซ่อนกายหนีหายไปจากยุทธภพด้วยจิตใจที่บอบช้าสุดจะพรรณนา
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตามหาหญิงสาวได้พบ
ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถได้พบเจอเจินเจินและลูกของนางได้อีกเลย
แม้แต่หลี่เซียวเหยา…
ปีแล้วปีเล่าจนเวลาล่วงเลย….
แรกเริ่มเดิมทีหลี่เซียวเหยาก็ยังคงตามหาเจินเจินอยู่จนแทบจะพลิกแผ่นดิน แต่เมื่อพยายามแล้วจนสุดความสามารถเขาจึงได้ถอดใจและเลิกตามหาไปโดยปริยาย
สิบกว่าปีต่อมาบุตรสาวของเจินเจินก็เติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวสวยสะพรั่งงดงามกว่าสตรีนางใด ด้วยเพราะว่ามีมารดาที่สวยโดดเด่นสะดุดตาและบิดาที่มีรูปโฉมงดงามปานเทพเซียนอย่างหลี่เซียวเหยา
แต่หาได้มีใครล่วงรู้ไม่ ว่าหญิงสาวผู้ที่เติบโตมาจากในสถานที่อันห่างไกลความเจริญ ห่างไกลผู้คนเยี่ยงนี้ จะเป็นถึงบุตรสาวขององค์ชายที่เป็นถึงพระอนุชาของฮ่องเต้แห่งแคว้นต้า หลี่ที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า
ทุกผู้คนต่างรับรู้แค่เพียงว่านางเป็นบุตรสาวของสตรีไร้ฐานะไร้ฐานันดรใดๆ
มารดาของสตรีผู้สวยสดงดงามไร้ที่ตินางนี้ เป็นเพียงสตรีต่ำต้อยด้อยค่า เป็นเพียงหญิงหม้ายชั้นต่ำไร้ราคาไร้ชายใดเหลียวแล
นางอุ้มท้องและเลี้ยงดูบุตรสาวอยู่เพียงลำพังอย่างยากลำบาก หญิงสาวเติบโตมาท่ามกลางการดูถูกดูแคลนของผู้คนรอบข้างตลอดมา
จนวันหนึ่งนางจึงได้ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อตามหาบิดาที่แท้จริง ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการแก้ไขความด่างพร้อยให้แก่ชีวิตของตนและของสตรีผู้เป็นมารดา
โดยระหว่างการเดินทางนั้นก็ช่างยากลำบากแสนเข็ญ หญิงสาวได้เจอะเจออุปสรรคขวากหนามมากมาย เจอกับภยันต์อันตรายนานัปการทุกชนิด
อีกทั้งบุรุษทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นชนชั้นธรรมดาสามัญชน ไม่ว่าจะเป็นคุณชาย หรือแม้กระทั่งองค์ชายจากหลายๆแคว้นต่างพากันต้องการครอบครองหญิงสาวที่งดงามปานล่มเมืองผู้นี้
บุรุษทุกคนที่ได้พานพบนางมักจะตกหลุมรักนางและพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อที่จะได้ครอบครองนางโดยไม่สนใจวิธีการ ไม่สนใจถูกผิด ซึ่งมันก็สร้างความลำบากใจให้แก่นางยิ่ง
ในเวลาต่อมาหญิงสาวก็ได้เจอกับบิดาของนางในที่สุด
แต่ทว่า…
หลี่เซียวเหยาบิดาของหญิงสาวนั้นได้มีบุตรชายบุตรสาวอยู่แล้วจนเต็มบ้านเต็มเมือง จนไม่มีที่ว่างอันใดเหลือไว้ให้บุตรสาวหนึ่งเดียวของเจินเจินอีกเลย
คงเหลือไว้เพียงตำแหน่งบุตรสาวนอกสายตา
อีกทั้งยังต้องเจอสายตาดูถูกดูแคลนจากบรรดาภรรยาของบิดาและบุตรของบิดา
และที่หนักหนาที่สุดก็คือสายตาคลางแคลงใจของผู้เป็นบิดาที่แฝงความเคลือบแคลงใจอย่างเด่นชัดว่านางนั้นเป็นบุตรสาวของเขาจริงหรือไม่
อา…
ชีวิตน้อยๆของสาวน้อยอันเป็นบุตรสาวสุดที่รักหนึ่งเดียวของเจินเจินจะต้องอยู่ในสภาพเยี่ยงนั้น
ฮือ…
ไม่ดีแน่…
ไม่ดีแน่ๆ
ฮือ…ฮือ…
เจินเจินหลุดออกจากความฝันของตนจนตื่นขึ้นมากลางดึก วันนี้ทั้งวันนางกินลูกพลับเข้าไปมากเสียจนเก็บเอามาฝันเป็นตุเป็นตะเป็นเรื่องเป็นราว
นางฝันว่านางท้อง และ…
นางฝันว่านางถูกมารดาของหลี่เซียวเหยาเล่นงานด้วยเหตุผลของเมืองหลวงบ้าบอ
มิหนำซ้ำหลี่เซียวเหยาและนางยังต้องแยกจากพลัดพรากกันไป จนความรู้สึกรักใคร่เสื่อมถอยตามกาลเวลาที่ล่วงเลยผสมผสานกับการที่ต้องห่างกายกัน
ซ้ำร้ายบุตรสาวของนางยังต้องตกระกาลำบากแบกความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเอาไว้ภายในจิตใจอย่างบอบช้าสุดจะบรรยาย
ฮือ…
ไม่นะ
ฮือ….
ไม่….
เจินเจินนอนทบทวนความฝันของตนพลันน้ำตาก็ร่วงไหลรินเป็นสายอย่างไม่อาจห้ามใจ มิรู้ได้ว่าเหตุใดช่วงนี้นางถึงได้จิตใจเปราะบางยิ่งนัก
หลี่เซียวเหยาที่นอนกอดเจินเจินอยู่รับรู้ได้ว่าร่างบางในอ้อมแขนกำลังตัวสั่นเทาคล้ายกับว่ากำลังร่ำไห้จึงสะลึมสะลือตื่นขึ้นมากลางดึกเช่นเดียวกัน เขาเพียงจับกระชับร่างบางที่กำลังสั่นเทิ้มของเจินเจินให้หันหน้ากลับมาหาแผงอกของเขาเพื่อจะได้พิศดูนางว่านางเป็นอะไรหรือไม่
เจินเจินถึงกับสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกฝ่ามือหนาของใครบางคนจับกระชับร่างให้หันหลังกลับไป เมื่อหญิงสาวหันหน้ากลับไปเจอเข้ากับหลี่เซียวเหยา นางถึงกับผวาโผเข้าสวมกอดหลี่เซียวเหยาในทันที
หลี่เซียวเหยาถึงกับงุนงง ทั้งยังรับรู้ได้ว่าสตรีในอ้อมกอดกำลังร่ำไห้
นางเป็นอะไร???
“เจินเจิน…” ชายหนุ่มพยายามเรียกสติของเจินเจิน
“เจ้าเป็นอะไร” เขาถามเสียงเบาฟังนุ่มหู เมื่อรับรู้ได้ถึงน้ำตาของนางที่กำลังเปียกชื้นอยู่บริเวณสาบเสื้อตรงหน้าอกของเขา
นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้เจอะเจอกันกับนาง เขาไม่เคยได้เห็นเจินเจินร้องไห้เลยซักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก
“เจ้าเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม หืม…” หลี่เซียวเหยายังคงใช้น้ำเสียงนุ่มนวลย้ำถามเจินเจินพลางเอื้อมมือขึ้นจับใบหน้างามเพื่อเชยคางของนางขึ้นพิศมองแบบเต็มตา
“เซียวเหยา…” เจินเจินสะอื้นไห้น้ำตานองหน้าขณะเอ่ยชื่อของหลี่เซียวเหยาเบาๆ นางดีใจเหลือเกินที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอเขา นางดีใจเสียจนร่ำให้ออกมา ความฝันนั่นทำเอานางรู้สึกกลัวยิ่งนัก
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะร้องไห้ทำไมกันนักกันหนา ช่วงนี้นางร้องไห้ได้ง่ายดายยิ่ง
หลี่เซียวเหยาก้มมองหน้านางด้วยสายตานึกเอ็นดู เจินเจินของเขาแม้ยามร้องไห้น้ำตาเปื้อนเปรอะก็ยังคงงดงามทั้งยังน่าสงสารจับใจ
“เซียวเหยา…” เจินเจินยังคงคร่ำครวญสะอื้นไห้ตัวสั่นเทาขณะพยายามเรียกชื่อของหลี่เซียวเหยา
“ว่าอย่างไร หืม… ไม่เอา ไม่ร้องไห้ คนดี” เสียงทุ้มเบาของหลี่เซียวเหยาทั้งไพเราะทั้งปลอบประโลม น้ำตาของนางทำเขาใจกระตุกสั่นไหวอยู่ไม่น้อย
“ข้า…ข้า..” เจินเจินสะอึกสะอื้นพยายามเอ่ยออกมา
“ข้าไม่อยากแยกจากท่าน ข้าอยากอยู่กับท่าน ข้าอยากอยู่กับท่านตลอดไป เซียวเหยา…” หญิงสาวกล่าวรัวเร็วอย่างไม่อาจห้ามใจ
นางต้องรีบพูดก่อนที่อาจจะไม่มีโอกาสจะได้พูด นางคิดเช่นนั้นในยามนี้ นางจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มันเป็นเหมือนดั่งในความฝันบ้าบอนั่น
หลี่เซียวเหยาก้มมองหน้าของเจินเจินด้วยแววตาอบอุ่นที่สุดในชีวิต พลางคิดในใจ นางคงจะกำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเขาเพราะมารดาของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นางกำลังตั้งครรภ์ เช่นนั้นแล้วสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของนางย่อมเป็นเช่นนี้
แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษแต่ด้วยเขานั้นค่อนข้างจะสนิทสนมแน่นแฟ้นกับน้องห้าของเขาเป็นอย่างดี ยามที่เหล่าชายาขององค์ชายห้าหลี่จื้อเฉิงได้ตั้งครรภ์ แต่ละนางล้วนแล้วมีอาการเช่นนี้
เขาได้เห็นเหล่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์บุตรให้องค์ชายห้าเมื่อยามที่ไปเยี่ยมเยือนน้องห้าที่ตำหนักของหลี่จื้อเฉิงอยู่บ่อยไป
“ข้าย่อมอยู่กับเจ้า เราจะแต่งงานกันโดยเร็ว และอยู่ด้วยกันตลอดไป เจินเจิน…” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นแม้เพียงเบาๆแต่ทว่าช่างหนักแน่น
มันมิใช่แค่เพียงคาพูดแต่มันเป็นคำสัตย์
คำสัตย์ที่เขามีต่อนาง
อา…
เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง
เพื่อเมียและลูกของเขาที่กำลังจะเกิดมา…
หลี่เซียวเหยาเริ่มครุ่นคิดอย่างหมกมุ่นอยู่ภายในใจขณะประคองกอดเจินเจินเอาไว้แนบอกอุ่น
เขาเพียงตบหลังหญิงสาวเบาๆเพื่อเป็นการปลอบประโลมและกล่อมนางให้หลับใหล
ยามนี้เขาเริ่มรับรู้ได้ว่าเจินเจินของเขาช่างดูบอบบางทั้งยังดูอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก เขาผิดเองที่มิได้นึกเอะใจแต่อย่างใด
เมื่อครั้งที่นางถูกพวกของเสี่ยวเหมยตามประกบประคบประหงมอย่างเอาเป็นเอาตาย นับตั้งแต่วันที่เขาไปจัดการดูแลภารกิจให้นางจนกระทั่งเดินทางและจนถึงเมื่อวาน นั่นก็เป็นเวลามากพอที่นางจะมีความเปลี่ยนแปลงไปจนเขาสังเกตได้
ความเป็นนางพญาจิ้งจอกเจินเจินคงสิ้นฤทธิ์เสียแล้วในยามนี้
คงเหลือไว้เพียงสตรีบอบบางที่เขาจะต้องคอยดูแลและทะนุถนอมเอาไว้เป็นอย่างดี
ชายหนุ่มก้มหน้าพิศมองสตรีในอ้อมกอดอีกครั้งหนึ่งเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นแผ่วที่บัดนี้กำลังเป่ารดหน้าอกของเขาด้วยจังหวะสม่ำเสมอ
เขาเพียงยกมือขึ้นมาเพื่อใช้ปลายนิ้วของเขาปาดน้ำตาออกจากพวงแก้มนวลเนียนของนาง ก่อนจะก้มลงจุมพิตเบาๆที่หน้าผากกลมมนอย่างรักใคร่ มิรู้ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกรักนางและหลงใหลในตัวนางมากมายอย่างนี้
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน สตรีนางนี้ปรากฏกายให้เขาได้เห็นด้วยท่าทางของสตรีที่แตกต่างจากสตรีของเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง
พวกสตรีของเมืองหลวงนั้น แต่ละนางแสดงออกถึงความสนใจในตัวเขาในแบบที่คล้ายคลึงกัน
พวกนางแสดงออกว่าชมชอบเขาต้องการเขาก็จริง
แต่เขาก็พอสังเกตได้ว่าพวกนางเพียงต้องการตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์จากเขา จนต้องฟาดฟันกันเองในหมู่สตรี
พวกนางพร้อมลงสนามต่อสู้ฟาดฟันกันโดยมิได้สนใจความรู้สึกของเขา
แม้พวกนางจะพยายามยั่วยวนเขาแต่ยังคงไว้ซึ่งท่าทางไม่ยอมเสียเปรียบใดๆ
พวกนางมักจะดีดลูกคิดเอาไว้ในใจเป็นอย่างดีเมื่อต้องมาอยู่ต่อหน้าเขา เมื่อได้พบเจอเขาหรือได้ใกล้ชิดกับเขาพวกนางมักจะวางตัวสูงศักดิ์สูงส่งดั่งนางพญา แตกต่างจากเจินเจิน
เมื่อครั้งที่เขาได้แอบติดตามนางไป นางมักจะคงไว้ซึ่งมาดของผู้นำอย่างสง่างามที่แท้จริง
นางมีมาดของนางพญาอย่างไม่ต้องพยายาม
แต่เมื่อยามใดที่นางได้อยู่กับเขา นางจะเป็นเพียงสตรีธรรมดาไม่มีมาดยิ่งใหญ่แต่อย่างใด
นางจะกลายร่างเป็นเพียงลูกแมวน้อยเจินเจินของเขา
และไม่ว่าเขาจะดุร้ายกับนางอย่างไร แต่นางก็ยังคงทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูกับเขา
เมื่อนึกย้อนกลับไป
ครั้งนั้นเขาเอาดาบวิ่งไล่ฟันนาง พยายามจับนางโยนบึงสระบัว ข่มขู่นางสารพัด คิดๆดูแล้ว เขาช่างผิดต่อนางยิ่งนัก
หลี่เซียวเหยายังคงจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองขณะก้มพิศมองใบหน้างามยามหลับใหลของเจินเจิน
เขายังคงก้มลงจุมพิตนางเพียงเบาๆอยู่อย่างนั้นก่อนจะกอดนางเอาไว้แนบอกอย่างแนบแน่น
ยามนี้นางกำลังตั้งครรภ์ให้เขาอย่างที่เขาได้ตั้งใจเอาไว้ เขามิได้สนใจสตรีนางใดนอกจากเจินเจิน แต่…
จะติดปัญหาก็เพียงแค่มารดาของเขา
เขาจะทำอย่างไรดี…
แสงแดดยามเช้าทอประกายลอดเข้ามาทางช่องแคบๆของหน้าต่างที่ยังคงปิดเอาไว้ภายในห้องนอนของเจินเจิน
หญิงสาวงัวเงียตื่นขึ้นมาพร้อมกวาดมือปัดป่ายไปทั่วๆบนบริเวณเตียงนอน
นางพบเพียงความว่างเปล่าของเตียงนอนข้างกายของนาง พลันใจของนางก็เกิดกระตุกสั่นไหววูบวาบขึ้นมา
เจินเจินนึกถึงความฝันเมื่อคืน
ความฝันที่ทำให้นางถึงกับร่าไห้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถ้าหากว่าเรื่องราวระหว่างนางกับหลี่เซียวเหยามันเกิดเป็นเหมือนดั่งในความฝันเล่า
ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น
นางจะทำอย่างไร?
ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น
ไม่!
นางไม่ยอม
นางจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น
กฎระเบียบของเมืองหลวงรึ นางหาได้ใส่ใจ
กฎมณเฑียรบาลบ้าบออันใด ใครสนใจกัน
นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
เจินเจินตื่นขึ้นมาด้วยภาวะอารมณ์ร้อนกรุ่น ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอนด้วยจิตใจอันแสนจะพลุ่งพล่าน
เดิมทีหญิงสาวคิดจะไปหาหมอให้ตรวจจับชีพจรดูความผิดปกติของร่างกาย
แต่เวลานี้ นางรู้สึกว่าเลือดในกายกำลังพุ่งฉีดกระจัดกระจายรุนแรงไปทั่วทุกอณูอยู่ตามร่างกาย ความรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงได้หดหายไปเพราะความฝันอันเลวร้ายเมื่อคืน
ก่อนจะไปหาหมอ
นางขอไปหาฮองเฮาหงเหม่ยหลงก่อนเป็นไร
คิดได้ดังนั้นแล้วก็ลุกขึ้นอย่างหมายมาดไปทางตำหนักของหงฮองเฮาในทันที…
ณ ตำหนักทรงอักษรภายในห้องรับรองของตำหนักกลางในฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินเสด็จพี่ของหลี่เซียวเหยา ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินของแคว้นต้าหลี่ ปรากฏภาพของสองบุรุษหนุ่มกำลังนั่งดื่มชากันอยู่อย่างสบายอารมณ์
“ฮองเฮาของข้าก็เช่นเดียวกัน” หลี่ซื่อหมินเอ่ยถึงหงเหม่ยหลงอย่างนึกเอ็นดูไม่สร่างซา
“กับผู้อื่นแล้วนางกลับได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมไร้เมตตาปราณีได้ชื่อว่าเป็นราชสีห์เพศเมีย แต่นางมักจะน่าเอ็นดูเฉพาะกับข้า เวลาอยู่กับข้านางกลับกลายเป็นแม่กระต่ายน้อย” จบคำก็หัวเราะชอบใจอย่างรื่นเริงที่ได้นินทาเมียรักให้น้องชายฟัง
“เช่นนั้นเจินเจินของกระหม่อมก็คงเช่นเดียวกัน นางเป็นเพียงลูกแมวน้อยของกระหม่อม” หลี่เซียวเหยาวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะพลางเอ่ยกระเซ้าถึงสตรีของตน
ทั้งสองพากันสรวลเสเฮฮาอย่างรื่นเริงบันเทิงใจจนใครบางคนที่แอบฟังอยู่ด้านหน้าของประตูห้องถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
ฮองเฮาหงเหม่ยหลงกับเจินเจินที่พากันเดินมาจนถึงตำหนักทรงพระอักษรและหน้าห้องรับรองแห่งนี้เพื่อหมายจะปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของเจินเจิน จึงได้แต่มองสบตา
กันและกันพลางทำหน้างุนงงว่าเหตุใดทำไมถึงมีแต่ฝ่ายสตรีเท่านั้นที่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่ฝ่ายบุรุษกลับกำลังนั่งเสวนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติปานนั้น
ที่สำคัญ…
กำลังพากันนินทาพวกนาง!
อืม…
สามีที่เคารพรัก ช่างน่าจับมาขย้ำกัดคอยิ่งนัก
“ข้าว่าเรากลับไปตั้งหลักกันก่อนดีกว่าเจินเจิน” หงเหม่ยหลงกระซิบกระซาบเอ่ยกับเจินเจิน
“เพคะ” เจินเจินรีบรับคาแต่โดยดีขณะเดินตามหลังหงเหม่ยหลงออกไปจากห้องทรงพระอักษรอย่างเงียบเชียบ
ภายในตำหนักของฮองเฮาหงเหม่ยหลง…
หญิงสาวทั้งสองเดินเข้ามาภายในห้องรับรองพร้อมกับ หลี่หงจินหยางโอรสคนสำคัญเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับปัญหาชีวิตของเจินเจินโดยหงฮองเฮาเปลี่ยนใจไม่คิดจะปรึกษาอันใดกับฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินอีกแล้ว เนื่องจากนึกนางเข่นเขี้ยวที่พวกเขาพากันเสวนากันอย่างรื่นเริงในขณะที่เจินเจินต้องกระสับกระส่ายอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“กระหม่อมเห็นควรว่าดินแดนฝั่งตะวันตกที่มีอาณาเขตติดกับฝั่งของอาณาเขตของสำนักหมื่นโลกันตร์แห่งนี้เหมาะสมที่สุด” หลี่หงจินหยางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจท่วงท่าทรงพลังเกินอายุ ขณะกางแผนผังของแคว้นต่างๆลงบนโต๊ะ
“มันมีเขตแดนเชื่อมต่อกับแคว้นต้าไห่ที่ท่านอาเจินเจินได้ช่วยกันถล่มเมื่อคราวที่แล้ว”
“ดี…เอาแคว้นนี้ล่ะ” หงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าพาสมุนไปทำการรวบรวมให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วถือครองที่นั่นเสีย เจินเจิน”
“ไม่ยาก…” เจินเจินเอ่ยขึ้นเนิบนาบอย่างมั่นใจ
“หม่อมฉันจะจัดการให้เหี้ยนเตียน รอดูได้เลยเพคะ”
“ดี…เท่านี้ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่ามารดาขององค์ชายสี่จะว่ากระไร” หงเหม่ยหลงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยแววตาดุดันยกยิ้มแสยะมุมปาก
“เพคะ…” เจินเจินรับคาด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกัน
สองหญิงสาวต่างมองหน้ากันและกันด้วยแววตากระเหี้ยนกระหือรือพลางกระตุกยิ้มมุมปากหัวเราะ หึหึ อยู่ในลำคอ
เจินเจินนั้นหากจะต้องให้นางรอ นางไม่อาจรอให้นานไปมากกว่านี้ เนื่องจากความฝันที่นางได้ฝันไปเมื่อคืนนั้น เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ดีที่ชี้ทางให้นางเลยก็ว่าได้
นางจึงตัดสินใจเข้าหาฮองเฮาหงเหม่ยหลงเพื่อรวบรัดตัดตอนหนทางการสร้างอาณาจักรโดยการตั้งตนเสนอตัวเข้ายึดแคว้นเพื่อนำมาปกครองเองเสียเลย
แค่นี้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
หึหึหึ!
สองสาวต่างหัวเราะอยู่ในลำคอพลางยกยิ้มแสยะอยู่ตรงมุมปากใส่หน้ากันและกันอย่างอารมณ์ดีร้ายกาจ
หลี่หงจินหยางเพียงแต่นั่งมองสองสาวนิ่งๆด้วยดวงตาสั่นไหวบางเบาอย่างบ่งบอกอารมณ์ไม่ถูก
มารดาของเขาเป็นสตรีที่น่ากลัวคนหนึ่งก็ว่าได้ นางเป็นราชสีห์ที่อยู่ในคราบของหงส์แห่งวังหลวง
ส่วนท่านอาเจินเจินก็เป็นสตรีที่น่ากลัวไม่แพ้กัน นางเป็นนางพญาจิ้งจอกเจินเจินไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เพราะอย่างนี้ล่ะ เขาถึงไม่นิยมสตรี
เขาขออยู่บนสนามรบอย่างเดียวยังจะดีเสียกว่าหากต้องมาอยู่บนสนามรักแล้วต้องมาทนปวดเศียรเวียนเกล้าเช่นนี้…