ตอนที่ 1011 ประตูสู่ปฐพี
“ดึงโซ่!” ซูหมิงตะโกนเสียงดัง ผลักสวี่ฮุ่ยขึ้นไปพร้อมกับปล่อยมือจากโซ่ ร่างจึงดิ่งลงไปข้างล่างอีกครั้ง พริบตาเดียว วิญญาณร้ายเหล่านั้นต่างพุ่งไปหาซูหมิงพร้อมกัน กลบร่างเขาให้จมหายไปในเหวลึก
โซ่ถูกกระชากขึ้นอย่างรวดเร็ว สวี่ฮุ่ยนิ่งอึ้งปล่อยให้โซ่ถูกดึงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาไม่มีน้ำตาคลอ แต่กลับเหม่อลอยเหมือนไร้วิญญาณ
โซ่ส่งเสียงลากยาว ไม่มีวิญญาณร้ายเหล่านั้นตามมาอีก จึงลากผ่านหมอกน้ำวนหลายชั้นขึ้นมาอย่างราบรื่น ช่วงที่ถูกกระชากออกมาจากเหวลึก สวี่ฮุ่ยเห็นท้องฟ้า เห็นยอดเขา และก็เห็นมือจูโหย่วไฉที่จับอีกด้านหนึ่งของโซ่ไว้
และอีกด้านหนึ่ง ชาวร่างกำยำคิ้วเหลืองมีสีหน้าทะมึนและเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก ในมือเขาพลันปรากฏดาบสั้นสีดำเล่มหนึ่ง ดาบนี้น่าจะอยู่ในตัวเขา ไม่ได้อยู่ในถุงเก็บวัตถุ มิเช่นนั้นแล้วคงไม่มีทางเอาออกมาได้
“เขา…” สวี่ฮุ่ยปล่อยโซ่แล้วคว้าหินภูเขาเอาไว้ นางก้มหน้าอย่างเงียบๆ ตอนที่มองลงไปข้างล่าง จูโหย่วไฉถอนหายใจ กล่าวคำพูดไม่จบ
“เขาจะไม่ตาย” ผ่านไปพักหนึ่ง สวี่ฮุ่ยเอ่ยเสียงเบา เหมือนเอ่ยกับจูโหย่วไฉ แต่ที่มากกว่าคือราวพึมพำกับตัวเอง
บรรพบุรุษหลงไห่ตาขยับประกายเบาบางจนตรวจไม่พบ ก่อนหน้านี้เขาลงมือได้ แต่ไม่ทำ ถึงแม้บุญคุณช่วยชีวิตจะยิ่งใหญ่ ทว่าคำสาบานในตอนแรกของเขาก็ไม่น้อยเช่นกัน หากอีกฝ่ายตายตกไปแบบนี้ สำหรับเขาแล้วก็ถือเป็นเรื่องดี
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ก็มีความสุข ยิ้มเยาะมุมปาก
พวกเสวียนซางสามคนลอบถอนหายใจโล่งอกเช่นกัน แรงกดดันที่ซูหมิงสร้างให้รุนแรงจนถึงขั้นบงการความคิดพวกเขาโดยไม่รู้ตัว
“ไม่ตาย? เหวลึกของยอดเขานี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย และยังมีกลิ่นอายมรณะเข้มข้น อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้ข้าตกลงไปก็ต้องตายเหมือนกัน” ชายร่างกำยำหวงเหมยยิ้มเยาะแล้วกล่าวเรียบๆ
ถึงคนอื่นจะไม่ได้พูด แต่พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของชายร่างกำยำหวงเหมย อย่างมาก แต่ว่า…การหล่นลงไปของเหนียนอิ๋นกับซูหมิงก็ทำให้ในใจพวกเขาหวาดกลัวยอดเขานี้มากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคนต่อไป….จะเป็นใคร
สวี่ฮุ่ยไม่กล่าวอะไร นางมองเหวลึกข้างล่างเงียบๆ ในความคิดยังคงมีประโยคนั้นที่ซูหมิงกล่าวกับนางตอนปล่อยมืออยู่ตลอด
นางคิดดีแล้ว หากซูหมิงไม่กลับมา นางจะลงไปในเหวลึก ต่อให้ต้องกลายเป็นวิญญาณร้ายแบบนั้น ก็จะอยู่ด้วยกันกับซูหมิง ดังนั้นนางจึงไม่โต้ตอบคำพูดคนอื่นแม้แต่น้อย
แต่ไม่นานนัก ชายร่างกำยำหวงเหมยก็หน้าเปลี่ยนสี เขาเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาไกลๆ ไม่ใช่เพียงแค่เขา จื่อหลงเจินเหรินขมวดคิ้วเช่นกัน พอมองยอดเขาแล้วก็เหมือนขบคิดบางอย่าง
จูโหย่วไฉน่าจะเป็นคนแรกที่พบความผิดปกติ เขาเหลือบมองสวี่ฮุ่ย นึกถึงคำพูดแน่วแน่ของนางก่อนหน้านี้
จากนั้นบรรพบุรุษหลงไห่กับหุ่นเชิดเพลิงก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน สุดท้ายเป็นพวกเสวียนซางสามคนที่มีสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมาทันใด
เพราะว่า…หลังจากเหนียนอิ๋นตกลงเหวไปแล้ว ชายชราบนยอดเขาเคยบอกว่าเหลือสิบเอ็ดคน ตามหลักการแล้ว ตอนนี้เขาน่าจะพูดว่าเหลือสิบคนถึงจะถูก
แต่เขากลับไม่พูด ความหมายแฝงในนี้ทำให้ทุกคนอดสงสัยขึ้นมามิได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ชายชราบนยอดเขาก็ยังคงเงียบงัน การปีนเขายังคงดำเนินต่อไป บางครั้งยอดเขาก็โคลงเคลงรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ในเหวลึกใต้ยอดเขา
ซูหมิงกำลังหลับตา ความทรงจำหยุดอยู่ตอนสุดท้ายที่ตนร่วงลงมา ถูกวิญญาณร้ายกลุ่มหนึ่งโอบล้อม จากนั้นก็หมดสติไปท่ามกลางความเจ็บปวด
ก่อนที่จะหมดสติ เขาเห็นว่าร่างกายตนกำลังถูกฉีกทึ้ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จนเมื่อลืมตาขึ้น เขานอนอยู่กลางน้ำสกปรกขุ่นมัว บางครั้งผิวน้ำก็เกิดระลอกคลื่น กลิ่นเน่าเหม็นอบอวลอยู่รอบทิศ
“ขึ้นฟ้ามีเส้นทาง เข้าสู่ปฐพีมีประตู เส้นทางแห่งฟ้าเหยียบย่างได้ ความไกลของปฐพีมองเห็นได้” เสียงแก่ชราดังก้องไปรอบๆ มีผลให้สติของซูหมิงชัดเจนขึ้นมา
ช่วงที่เขาพยายามยืนขึ้นก็พบว่าขั้นพลังในร่างกายฟื้นกลับมาแล้ว ทว่าพอฟื้นกลับมา สิ่งที่ทำให้ซูหมิงเงียบคือเขาเห็นว่าร่างกายตัวเอง…มีตุ่มพุพองขึ้นเต็มไปหมด!
เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง เขาเข้าใจแล้ว ตนกลายเป็นเหมือนวิญญาณร้ายเหล่านั้นที่เห็นก่อนหน้านี้
แต่ว่าไม่นานนักซูหมิงก็ไม่คิดถึงเรื่องร่างกายอีก เพราะเสียงเมื่อครู่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคย ความคุ้นเคยนี้ก็ไม่ได้ห่างไกลมากนัก พอลองนึกอย่างถี่ถ้วนก็ได้คำตอบ
เสียงนั้น เป็นเสียงของชายชราบนยอดเขาที่เคยได้ยินตอนอยู่ข้างยอดเขา
ซูหมิงยืนขึ้น นัยน์ตาเผยประกายเย็นเยียบ หากอยู่โลกข้างนอก เขาคงไม่มีข้อได้เปรียบใดเลยเมื่อเจอชายชราคนนี้ แต่ที่นี่…คือเตาหลอมลำดับห้า และเขาคือ ชาวเผ่ายมโลก
ซูหมิงแค่นเสียงเย็นชาก่อนทะยานขึ้นไปตามเสียงนั้น พอบินมาอยู่กลางอากาศแล้วก็มองไปแวบหนึ่ง เห็นแท่นหินอยู่ไกลๆ บนแท่นหินมีดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง บนดอกบัวมีชายชราผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
รอบตัวชายชรามีวิญญาณดุร้ายสิบกว่าตัวหมอบคลาน พวกเขาต่างมีสีหน้าเจ็บปวด ในขณะที่คารวะชายชรา คำพูดจากชายชราก็ดังกึกก้อง
“พวกเจ้าไม่มีเส้นทางขึ้นฟ้า แต่การเข้าสู่ปฐพีมีประตู วิชาของข้าแบ่งเป็น สองรูปลักษณ์…หนึ่งหลอมรวมความหมายแห่งจักรวาลและเคลื่อนภูผา สิ่งนี้คือความอ่อนนุ่ม
สองคือ…ยึดครองความคิดฟ้าดินแล้วเคลื่อนภูผา สิ่งนี้คือความดุร้าย….ไปเถอะ ประตูสู่ปฐพีเปิดออกแล้ว พวกเจ้าไปตามหาวิชาเคลื่อนย้ายภูผาแห่งการยึดครองของข้าได้” ชายชรากล่าวเรียบๆ ก่อนยกมือขวาขึ้นสะบัด มวลอากาศข้างหลังพลันมีหมอกหมุนตลบ ฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น ซูหมิงที่อยู่กลางอากาศเห็นกับตาว่าฟ้าดินกลายเป็นขุ่นมัว ทั้งหมดถูกหมอกกระจายปกคลุม
ยอดเขายักษ์ลูกหนึ่งปรากฏอยู่ใต้ดิน!
นั่นคือยอดเขากลับด้าน ตั้งกลับหัวอยู่ใต้ดิน ตอนที่มองไปจะเหมือนว่าแผ่นดินไม่ใช่แผ่นดิน มันสร้างขึ้นจากหมอกทั้งหมด หากคนมองลงไปก็จะเห็นยอดเขาสูงตระหง่านกลางหมอก
“กระจก…” ซูหมิงใจสั่น นี่เป็นอีกครั้งแล้วที่ได้สัมผัสโดยตรงกับทฤษฎีกระจกเหมือนตอนอยู่บนแดนหมาน
หากเปรียบหมอกเป็นกระจกบานหนึ่ง เช่นนั้นยอดเขาที่ซูหมิงอยู่ก่อนหน้านี้คือนอกกระจก แต่ยอดเขากลับด้านใต้หมอกตอนนี้คือในกระจก
หรือบางทีอาจจะกลับกันพอดี ข้างนอกคือในกระจก ตอนนี้ที่ซูหมิงมองเห็นอยู่ต่างหากคือภูเขาแท้จริงนอกกระจก
มองไม่ออก แยกให้ชัดเจนไม่ได้ บางทีระหว่างหนึ่งความคิดอาจเปลี่ยนแปลงได้ไม่มีจบสิ้น
ซูหมิงมองชายชรากลางอากาศ มิได้ขมวดคิ้ว แต่จ้องยอดเขาใต้หมอกพลางตรึกตรอง
ในเวลาเดียวกัน วิญญาณร้ายเหล่านั้นที่หมอบอยู่รอบตัวชายชราต่างยืนขึ้น แต่ละตัวร้องคำรามพร้อมกับพุ่งไปยังยอดเขากลับด้านข้างล่าง ขั้นพลังพวกมันไม่ได้หายไป แต่ขณะต่างฝ่ายต่างห้อทะยานอยู่นี้ ยอดเขานั้นพลันสั่นไหว ภูเขารอบๆ วิญญาณร้ายเหล่านั้นเกิดพื้นที่วงแสงสิบวงขึ้น วิญญาณร้ายเหล่านั้นตรงไปใกล้วงแสงพร้อมกัน แต่จำนวนของพวกมันคือสิบกว่า แต่วงแสงมีเพียงสิบ
การเข่นฆ่าแย่งชิงกันเกิดขึ้นโดยพลัน เพียงชั่วขณะเดียว วิญญาณร้ายที่เหลืออยู่นอกวงแสงพลันร้องโหยหวนเสียงแหลม เมื่อร่างหายไปแล้วก็มาโผล่อยู่รอบแท่นหินที่ชายชราอยู่ พวกมันต่างเอามือกอดหัวตัวเองพลางร้องโหยหวนไม่หยุด ราวกับว่าสิ่งล้ำค่าบางอย่างในตัวกำลังถูกสูบเอาไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเส้นหลากสีหลายเส้นหลอมรวมเข้าสู่ร่างชายชรา
วิญญาณร้ายที่เหลืออยู่บนหินภูเขาต่างร้องคำรามและพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
“การเข้าสู่ปฐพีมีประตู แต่ทุกครั้งที่เจ้าล้มเหลวในการเข้าประตูนี้ จะถูกสูบความทรงจำหนึ่งร้อยปีไป จนกระทั่งเมื่อไม่มีความทรงจำแล้ว จะถูกสูบเจ็ดอารมณ์หกความปรารถนา เมื่อไร้เจ็ดอารมณ์หกความปรารถนา สุดท้ายก็จะเป็นชีวิตของพวกเจ้า” ชายชรากล่าวเรียบๆ เขาไม่มองวิญญาณร้ายที่ร้องโหยหวนเหล่านั้น แต่เงยหน้าขึ้นมองซูหมิงที่อยู่กลางอากาศ
“ยินดีต้อนรับเจ้า เจ้าของรุ่นนี้ของเตาหลอมลำดับห้า ข้ามู่หยา” ชายชรายิ้มน้อยๆ
ซูหมิงมองชายชรา ไม่กล่าวใดๆ
“เจ้าอยากเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยหรือไม่? หากไม่อยากทิ้งความทรงจำพันปีเอาไว้ ในเจ็ดอารมณ์หกความปรารถนาข้าจะสูบเอาไปสามชนิด เห็นแก่บิดาเจ้า จากนั้นข้าจะให้เจ้าไสหัวออกไปจากที่นี่ได้” ชายชรายิ้มบางๆ เพียงแต่รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยความชั่วช้าในมุมมองของซูหมิง ความเย็นชาในแววตานั้นคือการเมินเฉยต่อทุกสิ่งมีชีวิต
“เหตุใดจะไม่อยากเล่า” ซูหมิงจ้องชายชรา ผ่านไปพักหนึ่งใบหน้าพลันเผยรอยยิ้ม รอยยิ้มก็ชั่วช้าเช่นเดียวกัน หนำซ้ำบนกายยังมีเส้นเลือดเล็กๆ นูนขึ้นมาด้วย เส้นเลือดเหล่านี้ดูเหมือนปกติ แต่ความจริงแล้วคือเส้นชีพจรของเอ้อชาง!
เมื่อเอ้อชางออกมา ความชั่วช้าในตัวซูหมิงกลายเป็นชั่วร้ายทันใด กลิ่นอาย ชั่วร้ายแผ่กระจายไปรอบๆ ม้วนหมอกบนพื้นดินขึ้นเป็นน้ำวนรอบตัวเขา
เดิมทีชายชรายิ้มบางๆ อยู่ มีสีหน้าปกติ แต่พริบตาที่เห็นรอยยิ้มซูหมิงรวมถึงกลิ่นอายชั่วร้าย ดวงตาเขากลับเป็นประกาย ซ้ำยังยืนขึ้นมองซูหมิง สายตาขยับ วิบวับอย่างว่องไวหลายครั้ง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง
“ดี ชีวิตนี้ข้านับถืออยู่เพียงคนเดียว ทว่าข้าก็ไม่ชอบความโง่เขลาอันน่าหัวร่อและน่าเศร้าของเขาอย่างยิ่งเช่นกัน เขาก็คือปู่ของเจ้า มีชื่อเสียงเท่ากับข้าและลู่ยา หรือก็คือบรรพบุรุษของเผ่ายมโลก หนึ่งในสามยอดผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกแท้จริงที่ห้า
ไม่นึกเลยว่าในบรรดาทายาทของเขาจะมีคนแบบเจ้าโผล่มา กล้ายึดร่างสิ่งชั่วร้ายในฟ้าดินอย่างเอ้อชางและถือกำเนิดขึ้น หากก้าวไปอีกขั้น…ก็จะเป็นสิ่งหายากที่น่าสะพรึงกลัวได้!
บิดาเจ้าไม่เคยบอกหรือว่าเก้าสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ในเพลงกลอนของผู้เฒ่าเมี่ยเซิงคือสิ่งมีชีวิตที่เผ่ายมโลกไม่มีทางยึดร่างได้!” ขณะชายชราหัวเราะเสียงดัง ท่าทาง เบิกบานใจดูไม่เหมือนเสแสร้ง เขาสะบัดแขนเสื้อ หมอกด้านล่างตรงซูหมิงพลันม้วนตลบถอยไป เผยเป็นเส้นทางเข้าสายหนึ่ง
“เส้นทางสู่ปฐพีเปิดแล้ว ข้าหวังว่าเจ้า….จะได้เป็นผู้สืบทอดของข้ามู่หยา หากทำสำเร็จ ข้าไม่เพียงถ่ายทอดวิชาเคลื่อนย้ายภูผาให้เท่านั้น แต่ยังจะมอบ…โชควาสนาครั้งใหญ่ให้ด้วย!”