ตอนที่ 1065 มองข้าม
แสงกระบี่เป็นแสงสีเขียว ลากยาวเข้ามาใกล้แผ่นดินในพริบตา ตรงเข้ามาหา ซูหมิงโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย ด้วยความเร็วของมัน ชั่ววูบเดียวก็แหวกอากาศมาปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหมิง
นั่นคือกระบี่สีเขียวเล่มหนึ่ง บนกระบี่ไม่มีคน ทว่ากระบี่กลับเหมือนถูกคนกุมอยู่ในมือ มันแทงเข้าไปยังระหว่างคิ้วของซูหมิงด้วยความปราดเปรียว
จิตสังหารปะทุมาจากกระบี่อย่างรุนแรง กลายเป็นความหนาวเยือกไม่มีสิ้นสุดรอบๆ ซ้ำยังมีกลิ่นอายพลังสีเขียวแผ่มาจากกระบี่ มีกลิ่มหอมยามดอมดม แต่หากสูดเข้าร่างกายไปแล้วจะกลายเป็นความขมประหลาดตรงปลายลิ้น
“เต้าเฟยเซียน!”
“นั่นคือวิชากระบี่ของเต้าเฟยเซียน!”
โดยรอบเกิดเสียงร้องตกใจ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง สายตามองกระบี่สั้นสีเขียวตรงเข้ามา เขาไม่หลบ แต่หันหน้าไปมองเด็กสาวผอมแห้ง แล้วพูดสิ่งที่จะเอ่ยต่อ
“เช่นนั้นในช่วงนี้ก็คงต้องให้แม่นางหม่าเฟยแนะนำสำนักดาราสัจธรรมให้กับ แซ่เต้าอย่างละเอียดแล้ว” แทบเป็นขณะเดียวกับที่ซูหมิงเอ่ยออกไป ชายชราไถซานข้างๆ นัยน์ตาขยับประกายเย็นชา แค่นเสียงหึพลางยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นเกิดพายุไร้รูปขึ้นม้วนไปทางกระบี่ที่ตรงเข้ามา ส่งผลให้กระบี่สั่นไหวและถอยไป
“ข้ากำลังพบปะกับสหายเก่า ใครกล้ารบกวน!”
ไถซานยังไม่ลงมือเหี้ยมโหด มิเช่นนั้นแล้วการจะหักกระบี่และจู่โจมวิญญาณเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขา
ถึงซูหมิงจะไม่สนใจกระบี่บิน แต่ก็เห็นภาพบรรพบุรุษไถซานสะบัดแขนเสื้อ
‘เกือบบรรลุถึงขั้นชะตา กระทั่งควบคุมชะตาส่วนนอกได้เล็กน้อยแล้ว ไถซานคนนี้ ขั้นพลังไม่ธรรมดา…ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสจากการสู้กับคนเสื้อคลุมดำ เช่นนั้นก็คาดเดาคนเสื้อคลุมดำจากคำพูดของโอวหยางตอนได้แล้วว่าตอนสงครามครั้งนั้น ขั้นพลังเขา…น่าจะอ่อนกว่าเล็กน้อย
คนเสื้อคลุมดำ……’ ซูหมิงนึกไปถึงคนเสื้อคลุมดำที่ปรากฏตัวกลางสนามรบที่โอวหยางพูดถึง เขาคิดเชื่อมโยงไปเล็กน้อยว่าในจักรวาลมีไม่น้อยคนที่ชอบสวมเสื้อคลุมดำ แต่ในความทรงจำซูหมิง คนที่จำได้แม่นที่สุดคือคนเสื้อคลุมดำคนนั้นตอนร่วมสู้กับท่านปู่ ณ ภูเขาทมิฬ!
และยังมีคำพูดเกี่ยวกับกลุ่มลึกลับบางอย่างจากปากของคนเสื้อคลุมดำในตอนแรก ในคำพูดสื่อความหมายว่าท่านปู่ในอดีตเคยเป็นสมาชิกกลุ่มนี้
ตอนนี้เวลาผ่านไปนานปี ซูหมิงกลับนึกถึงคนเสื้อคลุมดำในตอนนั้นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากกระบี่บินสีเขียวถูกบรรพบุรุษไถซานสะบัดแขนเสื้อม้วนถอยไป ขณะนั้นเอง มวลอากาศข้างกระบี่สีเขียวที่กำลังถอยไปอยู่บนฟ้าไม่ไกลนักเกิดการ บิดเบี้ยว ก่อนปรากฏชายหนุ่มชุดคลุมเขียวคนหนึ่ง บนใบหน้าเขามีเม็ดตุ่มขึ้นเต็ม ไปหมด ดูแล้วน่าสยดสยองมาก พอเขาโผล่มาแล้วก็คว้ากระบี่บินเอาไว้ สายตาจ้อง ซูหมิงเขม็ง
“ผู้อาวุโสไถซาน ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าผู้อาวุโสเคยเจอคนเสื้อคลุมดำในสนามรบมาก่อนรึ?” ซูหมิงพลันกล่าวขึ้น สายตามองบรรพบุรุษไถซาน
บรรพบุรุษไถซานได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที ก่อนพยักหน้า
“คนเสื้อคลุมดำคนนั้นสิ้นชีพรึยัง?” ซูหมิงมองบรรพบุรุษไถซานพลางพูดเนิบๆ
“ในเมื่อข้ายังอยู่ คนเสื้อคลุมดำคนนั้นย่อมไม่ตายง่ายๆ ขั้นพลังเขาแปลกมาก เห็นๆ อยูว่าเป็นเพียงภัยพิบัติจันทรา แต่กลับใช้พลังของ…กฎชะตา!
ข้ายังจำไม่เคยลืมอภินหารของเขา เปลี่ยนฟ้ากลายเป็นแผ่นดิน เปลี่ยนความว่างเปล่าเป็นก้นบ่อน้ำ ทำให้ฟ้าเป็นวงกลมดังบ่อน้ำใหญ่ รวมผู้ฝึกฌานนับไม่ถ้วนเป็น ดวงจันทร์ แล้วดึงดวงจันทร์ออกจากบ่อประหนึ่งดึงวิญญาณของผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคน แต่ข้าก็รู้สึกว่าคนที่ใช้วิชานี้ยังใช้ได้ไม่สมบูรณ์แบบ เหมือนว่าด้วยขั้นพลังเขายังใช้พลานุภาพของมันทั้งหมดไม่ได้” บรรพบุรุษไถซานเงียบไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาหวนรำลึกความทรงจำ
สองคนสนทนากันตรงนี้ เป็นการมองข้ามชายชุดคลุมเขียวกลางอากาศคนนั้นไปเลย ความเคียดแค้นในแววตาเขาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำยังรู้สึกว่าซูหมิงไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย การมองข้ามแบบนี้ทำให้จิตสังหารในดวงตาเข้มข้นขึ้น
“เต้าคง หรือเจ้ามีดีแค่คนข้างกายคอยปกป้อง ไม่ยอมสู้กับข้าเหมือนบุรุษ!” ชายหนุ่มคนนั้นพูดเสียงแหลมเล็กดังก้องไปโดยรอบ
“เจ้ากล้าสู้หรือไม่!” แววตาชายหนุ่มชุดคลุมเขียวเคียดแค้นยิ่งกว่าเดิม เสียงตะโกนดังกังวานไปโดยรอบ
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ในความคิดกำลังตรึกตรองคำพูดของไถซานก่อนหน้านี้ ผ่านไปพักหนึ่งถึงพยักหน้า
“องค์ชายเต้าคง ให้ศิษย์ดื้อคนนี้พาเจ้าไปโถงผู้อาวุโสก่อน ไปคารวะท่านผู้อาวุโสสำนักสามท่าน ตอนนี้องค์ชายสิบคนไปถึงแล้ว ดูท่าอีกสองสามวันก็คงจะเริ่ม พิธีใหญ่” ไถซายยิ้มเล็กน้อย ตอนที่กล่าวกับซูหมิงก็ยังมองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง
“ส่วนเจ้าหุ่นเชิดเพลิงก็ต้องรบกวนองค์ชายอย่าถือสามันมาก ตาแก่คนนี้มีนิสัยขี้โมโห ทำงานแบบไม่มีการผูกมัดใดๆ นิสัยแบบนี้อยู่ทะเลดาราต้นกำเนิดจิตก็ยังดี ทว่าใน สี่มหาโลกแท้จริงไม่ค่อยเหมาะสม”
บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงถลึงตามองแวบหนึ่ง ก่อนแค่นเสียงหึและก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร หลายวันมานี้เขาก็มองเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในสี่มหาโลกแท้จริงเหมือนกัน แต่ในสายตาเขา ขอเพียงติดตามซูหมิง ทุกอย่างจะไม่มีปัญหา
“ก็ดี หุ่นเชิดเพลิง ในเมื่อเจอสหายเก่า เจ้าก็ไม่ต้องตามมาแล้ว” ซูหมิงพยักหน้า สายตามองบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงแวบหนึ่ง บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงก็แสยะปากยิ้ม
“ตาแก่ไถซาน ตอนนั้นในกระเป๋าเจ้ามีสุราร้อนอยู่หลายเหยือก เจ้าบอกว่าใน ถ้ำเจ้ายังมีอีกไม่น้อยไม่ใช่รึ ไปไปไป พาข้าไปดูหน่อย”
ไถซานหน้ามืดทะมึน ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไปพลางส่ายศีรษะ บรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงก็หัวเราะพลางตามไป แล้วหายลับไปตรงขอบฟ้าไกลๆ
“เฟยเอ๋อร์ อยู่กับองค์ชายก็อย่าดื้ออีก อาจารย์มอบเจ้าให้องค์ชายช่วยอบรมแล้ว” เสียงบรรพบุรุษไถซานดังก้องข้างหูเด็กสาวผอมแห้ง ทำให้นางมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย นางยืนอยู่บนเรือรบซูหมิง สายตาชำเลืองมองเขา ในใจยังเกิดความรู้สึก ไม่แยแสเล็กน้อย ทว่าไม่เผยมาภายนอกมากนัก เพียงมีสีหน้าไร้อารมณ์
“โถงผู้อาวุโสสำนักไม่ใช่เศษเสี้ยวของเส้นทางโลกนี้อีก แต่ตั้งอยู่บนแผ่นดินแรกของโลกข้างบน ที่นั่นเรือรบไปไม่ได้ องค์ชายจัดที่พักให้ผู้ติดตามก่อน แล้วข้าจะพาไป
อีกอย่าง ถึงองค์ชายจะไม่ได้กลับมาหลายปี แต่ก็คงไม่ลืมโถงผู้อาวุโสสำนักกับที่พักขององค์ชายใช่หรือไม่” เด็กสาวผอมแห้งพูดขึ้นเรียบๆ
ซูหมิงไม่ตอบ แต่เรือรบใต้ร่างขยับเดินหน้าไป ลากยาวเป็นสายรุ้งบินขึ้นฟ้าไปไกล เรือรบหลายร้อยลำติดตามไปด้วยพลังอำนาจมหาศาล
“เด็กคนนี้พูดเก่งจริง ตอนนั้นข้ามีหญิงรับใช้แบบนี้อยู่หลายคน แต่พูดมากเกินเลยถูกข้าผนึกปากเสีย ชั่วชีวิตนี้พูดไม่ได้อีกเลย” สวี่ฮุ่ยอยู่ข้างซูหมิง นางยิ้มหยีตามองหม่าเฟยพลางพูดเบาๆ
“ที่ผู้อาวุโสอายุมากท่านนี้พูดมาก็ถูก ผู้เยาว์รู้แล้ว” เด็กสาวผอมแห้องมองสวี่ฮุ่ย
“อุปมาเสียดสีแบบนี้ยิ่งไม่ดีใหญ่ มีตำนานหนึ่งไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ในตำนานเล่าว่ามีเด็กน้อยคนหนึ่งนางไม่เชื่อฟัง วันที่สองนางจึงกลายเป็นชาย จากนั้นเขาก็ไม่เชื่อฟังอีก จึงกลายเป็นหญิง เพียงแต่ตอนที่เปลี่ยนไปมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บางทีอาจเป็นจุดที่มองข้ามไปเลยกลายเป็นไม่ใช่หญิงและไม่ใช่ชาย” สวี่ฮุ่ยยิ้มหยีตาพลางพูดต่อ
ซูหมิงได้ยินถึงตรงนี้ก็รีบทำทีเป็นขบคิด เหมือนไม่ได้ยิน
“เจ้าคือหญิงแมงป่องสวี่ฮุ่ย” หม่าเฟยจ้องสวี่ฮุ่ยอยู่พักใหญ่แล้วถึงกล่าวขึ้น
“อืม? เจ้าก็เคยได้ยินนามของพี่สาวเหมือนกันรึ แต่เจ้าเรียกข้าแบบนี้ไร้มารยาทเอามาก และยังมีตำนานเกี่ยวกับเด็กน้อยที่ไม่มีมารยาทอีก ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินหรือไม่…”
ซูหมิงถอยหลังไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ไม่สนใจคำพูดนุ่มนวนของสวี่ฮุ่ยข้างหลัง
“เต้าคง เจ้ารังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว!” ซูหมิงเดินออกไปหลายก้าว ตอนเรือรบ ลากยาวไปข้างหน้ายังมีเสียงตะโกนด้วยความโกรธดังมาจากข้างหลัง ซ้ำยังมีสายรุ้งยาวสีเขียวพุ่งไปหาเรือรบด้วยความเร็วสูงยิ่ง
ในสายรุ้งเป็นชายหนุ่มชุดคลุมเขียวก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าซูหมิงกำลังดูถูกเขา ภาพก่อนหน้านี้เหมือนว่าทุกคนมองเขาเป็นอากาศธาตุ เหมือนไม่มีอยู่ คำพูดทั้งหมดของเขายังเหมือนคุยกับตัวเอง เขารับการมองข้างแบบนี้ไม่ได้
แม้เขาจะไม่ใช่องค์ชาย แต่ก็มีชื่อเสียงในคนสายตรง นั่นคือการลงมือและสังหารอย่างเหี้ยมโหด กระทั่งขั้นพลังยังเหนือกว่าเต้าเฟยเฟิงเล็กน้อย
เพียงแต่ว่าเสียงตะโกนด้วยความโกรธของเขาก็ยังไม่ดึงดูดความสนใจซูหมิงแม้แต่น้อย เรือรบยังคงเดินหน้า ด้วยความเร็วกระบี่บินของชายหนุ่มก็ยากจะตามเรือรบทัน หลังถูกทิ้งห่างไปทีละน้อยแล้ว ชายหนุ่มชุดคลุมเขียวก็เงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้า
“เต้าคง เจ้า…” ชายหนุ่มชุดคลุมเขียวกัดฟันยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นในมือปรากฏ เม็ดยาหนึ่งเม็ด พอกินเข้าไปแล้วก็ใช้มือขวาตบตรงระหว่างคิ้ว ทันใดนั้นทั่วร่างเขากลายเป็นสีแดงฉาย นัยน์ตาขยับประกายจิตสังหาร ก่อนขยับวูบไหวตัวไปข้างหน้า ในด้านความเร็วเพิ่มขึ้นหลายเท่า พริบตาเดียวก็ตามเรือรบซูหมิงทัน กระบี่ในมือยังขยับแสงวูบวาบก่อนฟันไปทางซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แทบเป็นทันทีที่ชายหนุ่มชุดคลุมเขียวมาถึง เขาหมุนตัวกลับมองไปอย่างเย็นชาแล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว ร่างเงาหายวับไป มาปรากฏอีกทีก็ปะทะกับกระบี่บินของชายหนุ่มชุดคลุมเขียว มือขวาทำเป็นลักษณะสองนิ้วคีบไป เกิดเสียงโครมดังขึ้น กระบี่บินถูกหนีบอยู่ระหว่างสองนิ้ว ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็บินออกจากมือ ซูหมิงไม่ได้
ชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีรุนแรง เสื้อคลุมดาราของเขาขยายออกไปข้างนอก ทั่วร่างเกิดเสียงดังปุงปัง พร้อมกันนั้นมีหยกแตกออกหลายชิ้นกลายเป็นม่านแสงข้างนอก แต่พอม่านแสงปะทะกับมือซ้ายซูหมิงมันก็พังทลายลงทั้งหมด สิ่งที่พังไปพร้อมกันยังมีเสื้อคลุมดาราของชายหนุ่ม
เกิดเสียงโครมดังขึ้น มือซ้ายซูหมิงราวกับไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ เขาบีบคอชายหนุ่มเอาไว้ หลังยกขึ้นทั้งตัวแล้วก็บีบมือซ้ายจนแน่น พลังทำลายล้างไหลเข้าสู่ร่างชายหนุ่มเข้าไปทำลายทางเดินเลือดลมทั่วร่าง
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ ยังไม่ทันที่ผู้ฝึกฌานเกือบหมื่นจะรู้ตัว ทุกอย่างก็จบลงแล้ว เร็วจนเด็กสาวผอมแห้งสูดลมหายใจเข้า เบิกตากว้าง
“ให้เวลาเจ้าสามลมหายใจบอกข้ามาว่าใครส่งเจ้ามา” ซูหมิงมองดวงตาชายหนุ่มชุดคลุมเขียวที่ตอนนี้ตื่นกลัวและเหลือเชื่อพลางถามขึ้นเรียบๆ