Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1079

ตอนที่ 1079 แดนเลื่องลือ 5

ซูหมิงโบกสองนิ้วมือขวาไปข้างหน้า แสงสีทองสายหนึ่งลอยขึ้นตาม อีกทั้งช่วงที่เกิดแสงทอง โดยรอบเกิดระลอกคลื่นเหมือนกฏเปลี่ยนแปลง

ภาพนี้อยู่ในสายตาชายร่างกำยำเกราะทอง ดวงตาเขาสว่างวาบ ยิ้มมุมปาก หลังพยักหน้าให้แล้วจึงหลับตาลง เพียงสองลมหายใจ ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พลังที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้ระเบิดมาจากตัวเขา

เห็นได้ชัดว่าพลังนี้ถูกผนึกเอาไว้ เพราะตอนที่พลังนี้ระเบิดออก ตรงระหว่างคิ้วกับหน้าอกมียันต์กึ่งโปร่งใสขยับวูบวาบอย่างรวดเร็ว คล้ายกับควบคุมการปล่อยพลังเขา

“ไปได้แค่ระดับนี้เองรึ…” ชายร่างกำยำเกราะทองถอนหายใจเบา สิ้นเสียงพึมพำ เขาเงยหน้าขึ้นดวงตาเปลี่ยนเป็นสีทอง กลิ่นอายพลังขั้นชะตาแผ่กระจายมาอย่างรุนแรง

“ช่างเถอะ ต่อให้ได้แค่นี้ ก็ถือว่าเป็นพลังทั้งหมดของข้าตอนนี้แล้ว ใช้เคล็ดวิชาสังหารเทพได้เกือบสมบูรณ์แบบ

เต้าคง รูปแบบกระบี่นี้มีนามว่าสังหารเทพ เจ้าดูให้ดี” สิ้นเสียงชายร่างกำยำเกราะทอง เขาใช้มือขวากำกระบี่ใหญ่สีทอง มือซ้ายก็กำตามไป สองมือกุมกระบี่ ทันทีที่ยกขึ้นเขาพลันตะโกนเสียงต่ำ จากนั้นมีพลังที่เหมือนจะตัดแยกอากาศฟ้าดินพุ่งไปทางซูหมิง

ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในดวงตาซูหมิงเปี่ยมล้น ตอนที่เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง มือขวาเขาเปล่งแสงทองสว่างจ้าแสบตา ส่วนมือซ้ายยกขึ้นกำข้อมือขวาเอาไว้ ก่อนฟันใส่ชายร่างกำยำเกราะทองในท่าทางและการก้าวเดินแบบเดียวกัน

ในสายตาคนนอก นี่คือการตัดสลับกันของแสงทองสองสาย เป็นการปะทะกันของปราณกระบี่สีทองสองสาย และยังมีเสียงดังสะเทือนแก้วหูพวกเขา ส่งผลให้ความคิดขาวโพลน

ท่ามกลางเสียงดังครึกโครม สองนิ้วซูหมิงเป็นกระบี่ฟันแยกมวลอากาศ สามารถตัดกฏชะตาได้ทุกอย่างรวมถึงตัดชะตาชายร่างกำยำเกราะทอง แต่กระบี่ใหญ่สีทองนั้นก็มีพลังตัดชะตาเหมือนกัน มันตัดการเชื่อมต่อของซูหมิงกับโลกนี้

นี่คือการปะทะกันระลอกแรกของสองคนที่โจมตีอย่างสุดกำลัง นี่คือการต่อต้านการตัดชะตา

จากนั้นการเปลี่ยนแปลงกฏสองชนิดเกิดขึ้นข้างหลังซูหมิงกับชายร่างกำยำเกราะทอง กฏถูกรูปแบบกระบี่เหนี่ยวนำ สร้างความวุ่นวายให้กับอากาศ ทำให้กระบี่นี้จะต้อง ฟันโดนอย่างแน่นอน

นี่คือการปะทะกันระลอกที่สอง จากนั้นภายใต้เสียงครึกโครมดังสนั่น ตอนที่สองนิ้วกระบี่ซูหมิงปะทะกับกระบี่ใหญ่สีทอง แรงสะท้อนกลับระลอกที่สามก็ระเบิดขึ้น

ซูหมิงตัวสั่นอย่างรุนแรง เขาถอยไปท่ามกลางเสียงระเบิดจนกระเด็นออกจากแท่นราบไปตกบนฟ้าโลกข้างนอก ชั่วขณะที่กระอักเลือด ชายร่างกำยำเกราะทองบนแท่นราบก็โซเซถอยไปเช่นกัน ถอยไปจนสุดขอบแท่นราบ ทว่าบนแท่นราบมีม่านแสงไร้รูปอยู่หนึ่งชั้น มันเปลี่ยนแรงสะท้อนของร่างกายให้เป็นการกระอักเลือดหนึ่งคำ

“เจ้าชนะแล้ว! จำนามของมันเอาไว้ เคล็ดวิชาสังหารเทพ!” ชายร่างกำยำเกราะทองยิ้มมองซูหมิง ขณะเอ่ยยังยกกระบี่ใหญ่ในมือโบกไป ด้านบนสุดของลำแสงที่มีสัตว์ลักษณะมังกรจำนวนมากวนเวียนอยู่รอบๆ บนแท่นราบปรากฏนามสง่างามประหนึ่งถูกกระบี่แกะสลักขึ้น

เต้าคง!

ทันทีที่ปรากฏนาม แสงจากลำแสงพลันสว่างไปหมื่นจั้ง สัตว์ลักษณะมังกรรอบๆ ต่างร้องคำราม ชายร่างกำยำเกราะทองอมยิ้ม ร่างค่อยๆ โปร่งใสจนหายไปบนแท่นราบ

ซูหมิงยืนเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากอยู่กลางอากาศก่อนก้มหน้ามองมือขวาตัวเอง ในดวงตาฉายประกายตื่นเต้นและฮึกเหิมทีละน้อย เขาไม่นึกเลยว่าการบุกแดนเลื่องลือจะได้รับโชควาสนาแบบนี้

ถึงเคล็ดวิชาสังหารเทพจะมีเพียงรูปแบบเดียว แต่รูปแบบนี้ก็มากพอจะสร้างความ ตกตะลึง นั่นคืออภินิหารเลิศล้ำที่ระเบิดพลังสังหารสูงยิ่ง ถึงขนาดในความรู้สึกเขา มีเพียงวิชาเคลื่อนย้ายภูผาที่พอจะเทียบได้

มีวิชานี้รวมกับเคลื่อนย้ายภูผา ซูหมิงมีความมั่นใจในการเอาชนะคู่ต่อสู้มากขึ้นอีก

เขาอยู่กลางอากาศ ระหว่างที่มองแท่นราบที่ชายร่างกำยำเกราะทองหายไป ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนรอบๆ ต่างมาถึงขั้นเบิกตาค้างอ้าปากกว้างแล้ว จากเงียบในพริบตาก็ระเบิดออกเป็นเสียงดังสนั่นฟ้า

เสียงอื้ออึงดังกังวานออกไป นำพาความหวาดกลัวของผู้คน นำพาความอิจฉาของพวกเขาให้เดือดพล่านขึ้นเรื่อยๆ

“นี่เพิ่งจะผ่านไปนานเท่าไร เพิ่งผ่านไปเกือบครึ่งของหนึ่งชั่วยามเอง ไม่คิดเลยว่าเขาจะผ่านแดนเลื่องลือสามด่านติดกัน!”

“แม้แต่เต้าหลินกับเต้าฝ่ายังทำแบบนี้ไม่ได้ องค์ชายเต้าคงท่านนี้ มิน่าก่อนหน้านี้ถึงสังหารผู้ท้าประลองพันคนได้ ตอนนี้มาดูแล้วคนพวกนั้นก็ช่างไม่ดูตาม้าตาเรือเลยจริงๆ!”

“พวกเจ้าว่าเขาจะไปแดนเลื่องลือด่านสี่หรือไม่?” ขณะทุกคนสนทนากัน องค์ชายหลายคนต่างเงียบ ต่อให้เป็นเต้าหลินกับเต้าฝ่ายังหรี่ตาลง สายตาจ้องซูหมิง กลางอากาศเขม็ง แรงกดดันที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนลอยขึ้นมาในใจอย่างชัดเจนเมื่อซูหมิงผ่านแดนเลื่องลือด่านสาม

ภายในมวลอากาศกลางเก้าแผ่นดินโลกข้างบน ชายชราขั้นเกิดบนแท่นดอกบัวก็แสดงอารมณ์ทางสีหน้าเช่นกัน ดวงตาแวววาวระหว่างอยู่ในห้วงความคิด

“พวกเราก็ไปดูกันเถอะ ก่อนหน้านี้ดูถูกองค์ชายเต้าคงจริงๆ แต่ข้าอยากรู้มากว่าในพันปีนี้ อะไรทำให้ขั้นพลังเขาสูงขึ้นขนาดนี้…”

“หากผู้อาวุโสสำนักเป้ยปังอยากรู้ อีกสองสามวันนี้ข้าจะให้คำตอบแก่ท่าน” ชายชราหน้าดำข้างหลังยิ้มพลางพูดขึ้น แต่ในใจตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขารู้ลึกถึงความแกร่งของจินซิวในแดนเลื่องลือด่านสาม แต่ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งตื่นตะลึงกับการกระทำของซูหมิง

ตอนนี้ในใจผู้อาวุโสสำนักอีกสองคนข้างๆ ก็เป็นแบบเดียวกัน แต่ไม่เผยทาง สีหน้าแม้แต่น้อย พอได้ยินคำพูดเป้ยปังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย

สี่คนขยับวูบไหวกลายเป็นสายรุ้งยาวเข้าไปในมวลอากาศ มุ่งหน้าไปยังแดนเลื่องลือด่านสี่ เห็นได้ชัดว่าในมุมมองพวกเขา ซูหมิงจะต้องไปที่นั่นแน่

ณ แดนเลื่องลือบนแผ่นดินที่สาม ซูหมิงเงยหน้าขึ้นกลางอากาศ ดวงตาขยับวาววับ สายตามองคนรอบๆ แวบหนึ่ง ก่อนขยับวูบไหวไม่พุ่งไปแดนเลื่องลือด่านสี่ แต่พุ่งไปยังด่านหินตกซึ่งเป็นด่านหนึ่งที่เขาผ่านมาแล้ว

ระหว่างที่คนรอบๆ ต่างงุนงง ซูหมิงทะลวงอากาศเข้าไปใกล้แดนเลื่องลือด่านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่น ตอนที่เขาเดินออกมา เขามี สีหน้าตกใจระคนดีใจ

จากนั้นก็ขยับวูบไหวตัวอีกครั้ง ครั้งนี้บินไปแดนเลื่องลือด่านสองซึ่งเป็นแดนมายาที่เขาเปลี่ยนความทรงจำไป เพียงไม่กี่สิบลมหายใจเขาก็บินขึ้น ซ้ำยังเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง

‘เยี่ยมมากแดนเลื่องลือ เคล็ดวิชาหินตก เคล็ดวิชาดาวมายาและยังมีเคล็ดวิชาสังหารเทพ แดนเลื่องลือทุกแห่งล้วนซ่อนอภินิหารรูปแบบหนึ่งเอาไว้’ ดวงตาซูหมิงวาววับ ก่อนพุ่งทะลวงมวลอากาศไปยังแดนเลื่องลือด่านสี่

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงเข้าไปใกล้แดนเลื่องลือด่านสี่ บนแผ่นดินใหญ่เก้าร้อยเก้าสิบเก้าแห่งโลกข้างล่างและแผ่นดินเก้าสิบเก้าแห่งโลกข้างบนในสำนักดาราสัจธรรม มีคน สิบกว่าคนพากันลืมตาออกฌานพร้อมกัน พวกเขามีสีหน้าเย็นชา ตอนที่ลืมตาขึ้นยังมีประกายขยับแวววาว

คนเหล่านี้มีแปดคนที่ผ่านด่านสาม และก็มีหลายคนที่เป็นผู้แข็งแกร่งสำนักดาราสัจธรรมที่มีคุณวุฒิผู้อาวุโสสูงสุด ทว่าไม่ได้เข้าห้องโถงผู้อาวุโส แต่ต้องกระจายกันฝึกฝนคนเดียว

เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้น จิตสัมผัสแต่ละสายขยายออกไปยังเก้าแผ่นดินข้างบน เห็นได้ชัดว่ามีคนไปบอกเลยเกิดความสนใจต่อซูหมิง จึงอยากจะดูสักเล็กน้อย

แดนเลื่องลือด่านสี่ ไม่พูดถึงหมื่นปีก่อน ตอนนี้หมื่นปีมาแล้วคนที่ผ่านด่านมีคนเดียว และในขั้นอื่นๆ มีเพียงเจ็ดคน

ทั้งหมดแปดคน แปดคนนี้ก็คือผู้ผ่านแดนเลื่องลือด่านสามก่อนหน้านี้

อุโมงค์แก่นยมโลก นี่คือนามของแดนเลื่องลือด่านสี่ที่ศิษย์สำนักดาราสัจธรรมจดจำอย่างแม่นยำ แก่นยมโลกเป็นแสงชนิดหนึ่ง เมื่อไม่รู้กี่ปีก่อนมีตำนานว่ามันเป็นแสงที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุทางเหนือของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม

แต่จากนั้นสำนักดาราสัจธรรมก็นำแสงนี้มา และสร้างขึ้นเป็นแดนเลื่องลือด่านสี่

สำนักดาราสัจธรรมมีคำอธิบายดังนี้อยู่ แดนเลื่องลือด่านสี่จำเป็นต้องมีขั้น พลังกุมถึงจะมีคุณสมบัติผ่านด่าน มิเช่นนั้นแล้วหากไปทดสอบสุ่มสี่สุ่มห้า จะถูก แสงแห่งแก่นยมโลกทำอันตรายจิตวิญญาณ

ดังนั้นแล้วหากไม่มีความมั่นใจจริงๆ จะไม่มีใครมาที่นี่ ตอนนี้ผู้ฝึกฌานสิบล้านคนเห็นร่างเงาซูหมิงพุ่งเข้าไปยังแดนเลื่องลือด่านสี่ก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยามตามไปพร้อมกัน

ตอนนี้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน ตรงหน้าสุดของซูหมิงเห็นอยู่ไกลๆ ว่ามีลำแสงยักษ์บนแดนเลื่องลืออยู่ตรงใจกลางแผ่นดินที่สี่ สัตว์ลักษณะมังกรนอกลำแสงนั้นกำลังขดตัวพ่นลมหนาว เพียงมองไปก็เกิดความรู้สึกหนาวเยือกในก้นบึ้งหัวใจแล้ว

แต่ในเมื่อคิดจะสร้างความตื่นตะลึงด้วยเรื่องนี้ในสำนักดาราสัจธรรมแล้ว เขาก็จะไม่ทำอะไรแบบเงียบๆ อีก เมื่อเข้าไปใกล้แผ่นดินที่สี่ด้วยความเร็วแล้ว ตัวเขาหยุดชะงักครู่หนึ่งนอกแดนเลื่องลือ สายตามองไปอย่างเย็นชา

แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะบุกที่นี่ ทว่าด้วยนิสัยเขาที่เมื่อคิดจะสร้างเรื่องใหญ่โตก็จะต้องมีความมั่นใจด้วย ดังนั้นแล้วตอนที่มองไป สายตาจึงจับจ้องไปยังนามแปดคนบนลำแสง

ผ่านไปครู่หนึ่ง มีผู้ฝึกฌานทยอยกันห้อเหยียดเข้ามาอยู่ข้างกายเขา โดยเฉพาะพวกเป้ยปังสี่คน พวกเขามาถึงก่อนแล้ว ตอนนี้เงียบ เพียงมองอยู่ข้างๆ

มีเพียงจิตสัมผัสสิบกว่าสายจากโลกกลางและโลกข้างล่างที่มาถึงแล้วก็เห็นเป้ยปังเอียงศีรษะมองด้วยสีหน้าปกติ ส่วนชายชราหน้าดำข้างหลังยิ้มเยาะมุมปาก

ไม่นานคนก็มากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ เสียงสนทนาดังกังวานไปทีละน้อย

“องค์ชายเต้าคงจะบุกต่อหรือไม่?”

“ข้าว่าคงกลัวแล้ว รู้สึกไม่มีความมั่นใจ ดังนั้นเลยลังเล นี่คงจะกังวลว่าจะไปไม่รอด”

“ก็ไม่แน่ ดูจากที่องค์ชายเต้าคงผ่านแดนเลื่องลือสามด่านติดกัน อีกทั้งยังอยู่อันดับหนึ่ง นี่มากพอจะยืนยันความแกร่งของเขา มิหนำซ้ำสหายท่านนี้อาจจะยังไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เต้าเฟยเซียนถูกองค์ชายเต้าคงสังหารไปแล้ว”

ระหว่างที่ทุกคนพูดคุยกันเสียงเบา เวลาก็ผ่านไปช้าๆ หนึ่งเค่อต่อมา นัยน์ตา ซูหมิงพลันเป็นสมาธิ เขาเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ชั่วขณะที่รอบๆ เงียบลง เขาก็เข้าไปในแดนเลื่องลือด่านสี่แล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!