Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1235

ตอนที่ 1235 ตะวันที่ไม่ลาลับ

แทบเป็นช่วงที่ร่างเงาสามคนนี้หยุดนิ่ง ซูหมิงเดินออกมาจากในมวลอากาศด้วย สีหน้าเฉยชา ขณะเดินเข้ามาใกล้ ร่างเงาสามคนเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที

ประหนึ่งกาลเวลาย้อนกลับ พลังระเบิดตัวเองจากฟางมู่ย้อนกลับไป ร่างถอยกลับมา น้ำตาของเหยียนหลวนที่อยู่ไกลๆ หายไป ร่างก็ถอยกลับมา กลับมายืนอยู่กับฟางมู่อีกครั้ง

ส่วนชายชราโจวซาน เขาลดมือขวาลง ร่างถอยไปหลายสิบจั้งแล้ว พลังการย้อนเวลาที่วนเวียนอยู่รอบตัวเขาถึงหายไป

เมื่ออภินิหารหายไป โจวซานหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง มีความหวาดกลัวและเหลือเชื่อ เขามองซูหมิง สิ่งที่เห็นคือใบหน้าแปลกตา แต่กลับทำให้เขารู้สึกตกใจกลัวและต้องสยบด้วยอานุภาพ

เขาอ่านพลังซูหมิงไม่ออก แต่การย้อนเวลาเมื่อครู่นี้ ความรู้สึกที่ร่างกายรวมถึงวิญญาณเสียการควบคุมทำให้เขารู้ชัดว่าพลังของคนตรงหน้าเหนือกว่าตนมากๆ เป็นดั่งฟ้าดิน

ความรู้สึกนี้เหนือกว่าตอนเจอกับผู้แข็งแกร่งรุ่นอาวุโสเหล่านั้นบนเผ่าหมานตอนนี้ กระทั่งในมุมมองเขา อีกฝ่ายยืนอยู่บนฟ้า ราวกับว่าฟ้าดินดุนเขาให้เด่นขึ้นมา

เขาลมหายใจกระชั้น ก่อนประสานมือคารวะซูหมิงอย่างไม่ลังเล

“ผู้เยาว์โจวซานขอคารวะผู้อาวุโส”

“โจวซาน…..” ซูหมิงมองชายชราตรงหน้า ภาพจำลอยขึ้นมาในความคิด ไปหยุดอยู่เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ตนยังเป็นผู้ฝึกหมานยังไม่ถึงขั้นชำระล้าง ได้เห็นชายชราคนนี้มายังเมืองเขาหานอย่างน่าเกรงขาม ก่อนสังหารบรรพบุรุษเขาหานประหนึ่ง เทพสวรรค์…

ซูหมิงในตอนนั้นเป็นดั่งมดปลวก ทำได้เพียงเงยหน้ามองโจวซานที่ลงมาด้วยความชื่นชมและเฝ้าปรารถนา ตอนนี้ผ่าน

ไปหลายปี ตอนที่เขามองโจวซานอีกครั้ง ภาพในตอนนั้นเหมือนย้อนกลับมาอีกครั้ง

“อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายสำนักเหมันต์สวรรค์…” ซูหมิงกล่าวขึ้นเนิบๆ

โจวซานหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ตัวสั่น เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้อาวุโสที่มีขั้น ไม่อาจจินตนาการตรงหน้าถึงรู้ฐานะสำนักเหมันต์สวรรค์ในอดีตของตน

เขาจำซูหมิงไม่ได้ ถึงขั้นพูดได้ว่าเขาไม่นำเทพหมานซูหมิงที่รู้จักในเวลาต่อมามาประทับรวมกับเด็กหนุ่มกลางฝูงชนตอนเมืองเขาหานเลย

ซูหมิงมองโจวซาน ผ่านไปพักใหญ่ถึงหันหน้าไปมองฟางมู่กับเหยียนหลวน สองคนนี้ดูตึงเครียดมาก ใบหน้าขาวซีดยิ่ง ตอนที่ซูหมิงมองมา สองคนรีบประสานมือคารวะลงลึกๆ

“คารวะผู้อาวุโส ขอบคุณมากที่ผู้อาวุโสช่วยเอาไว้ก่อนหน้านี้” ฟางมู่สูดลมหายใจเข้าลึก ยามที่เอ่ยด้วยความเคารพ เหยียนหลวนข้างกายก็คารวะอย่างตึงเครียดเช่นกัน

ในตัวนางไม่มีบุคลิกห้าวหาญยามเป็นจ้าวเผ่าเหยียนฉืออีก นางในตอนนี้มีเพียงแค่ความงามเล็กน้อย แต่หญิงที่แก่ชราลงเล็กน้อยธรรมดาๆ คนนี้เป็นเพียงมารดา คนหนึ่งเท่านั้น

ซูหมิงมองเหยียนหลวน จนกระทั่งเหยียนหลวนใจสั่น นางไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดอย่างไรกันแน่ เรื่องในวันนี้จะมีผู้สูงศักดิ์ช่วยเหลือหรือจะอนาถายิ่งกว่าเดิมกันแน่

“เจ้าเปลี่ยนไปแล้ว จ้าวเผ่าเหยียนฉือในตอนนั้น เจ้า…เปลี่ยนไปมาก” ซูหมิงมี สีหน้าปลงอนิจจัง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยการผ่านโลกมาเนิ่นนาน ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นหน้ำตาเหยียนหลวนพลางถอนหายใจและพูดขึ้น

ตอนที่เสียงซูหมิงดังแว่วออกไป เหยียนหลวนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น นางเงยหน้าเหม่อมองซูหมิง ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็หาหน้ำตาซูหมิงจากในความทรงจำไม่พบ

นางสับสนอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี นางนึกไม่ออกเลยว่าเขาคือซูหมิงคนที่ตอนนั้นนางเคยกลั่นแกล้ง…

“แล้วก็เจ้า…” ซูหมิงมองฟางมู่เป็นคนสุดท้าย นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววเมตตาราวกับผู้อาวุโสมองผู้เยาว์ ถึงอย่างไรในมุมมองซูหมิง ฟางมู่ในตอนนั้นเป็นเพียงเด็ก คนหนึ่ง เป็นเด็กไร้เดียงสาที่ช่วยเขาไม่น้อย

ตอนนี้เด็กคนนั้นเติบใหญ่แล้ว จากหน้ำตาจะเห็นถึงความคุ้นเคยในอดีตรางๆ รอยยิ้มซูหมิงมีความสุขมาก เขายกมือขวาลูบหัวฟางมู่

“เจ้าเติบใหญ่แล้ว” ซูหมิงพูดเสียงเบา

ฟางมู่ใจสั่นสะท้าน เขาเหม่อมองซูหมิงเหมือนกับเหยียนหลวน เขานึกร่างเงา ซูหมิงในความทรงจำไม่ออก สีหน้าเขาดูสับสน แต่ความเมตตาในแววตาซูหมิงมีความจริงใจและปลงอนิจจัง อีกทั้งแววตานี้…ยังทำให้ฟางมู่ใจสั่นไหว เหมือนจะหาความคุ้นเคยเจอ

“พวกเขาสองคนคือสหายเก่าของข้า” ซูหมิงหันหน้าไปมองโจวซานแล้วพูดขึ้นเรียบๆ น้ำเสียงไม่สูง และก็ไม่เผยกลิ่นอายพลังใดๆ ทว่าด้วยพลังเขา โดยเฉพาะหลังยึดครองโลกดาราสัจธรรมแล้ว ตอนนี้ต่อให้แค่ยืนอยู่ที่นี่ก็ยังปกครองฟ้าได้ โจวซาน ผู้ฝึกฌานขั้นวิญญาณหมานเล็กจ้อยคนนี้ ยามนี้ความรู้สึกต่อซูหมิงในใจเขาเหมือนกับเผชิญหน้าสวรรค์

ในใจเขาตึงเครียดอย่างยิ่ง ร่างสั่นเทำอย่างไร้การควบคุม โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าซูหมิง เขาเหมือนใช้พลังไม่ได้แม้แต่น้อย ความยำเกรงยากจะเอ่ยลอยขึ้นมาในใจอย่างรุนแรง

ตอนนี้พอได้ยินคำพูดซูหมิงแล้ว เขาก็รีบหยิบดอกต้นกำเนิดจำนวนมากออกมาจากในถุงเก็บวัตถุ แล้วมอบให้ซูหมิงอย่างนอบน้อม

“ผู้เยาว์ไม่รู้ว่าสหายสองท่านนี้เป็นสหายเก่าของผู้อาวุโส ได้โปรดอย่าโทษผู้เยาว์เลย ขะ…ข้า…”

ซูหมิงรับดอกต้นกำเนิดมาแล้วก็มอบให้ฟางมู่ ก่อนมองเหยียนหลวน

“เท่านี้พอหรือไม่? บุตรเจ้าเป็นอะไร?”

“พอแล้วๆ บุตรข้าร่างกายอ่อนแอ และยังถูกพิษงูจากทะเลมรณะ ดอกต้นกำเนิดนี้เป็นสมุนไพรหลักในการขจัดพิษ ขอบคุณผู้อาวุโสมาก!” ฟางมู่มีสีหน้าซาบซึ้งใจ เขาคารวะซูหมิงอีกครั้ง เหยียนหลวนข้างๆ ก็คารวะซูหมิงด้วยความสับสนและซาบซึ้งเช่นกัน

ซูหมิงยิ้ม เขามองฟางมู่อีกครั้ง ร่างเงาเด็กตอนนั้นในความคิดซ้อนทับกับฟางมู่ในตอนนี้ทีละน้อย เขาส่ายศีรษะ ก่อนหมุนตัวกลับค่อยๆ เดินหายไปในสายตา สามคน

แม้ซูหมิงจะไปแล้ว แต่ต่อให้โจวซานกินยากล้าหาญเป็นหมื่นขวดก็ยังไม่กล้า ลงมือกับพวกฟางมู่ต่อ ตอนนี้ประสานมือคารวะสองคนด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย แล้วหมุนตัวจากไปทันที

บนฟ้ากลางทะเลมรณะ ตอนนี้เหลือเพียงฟางมู่กับเหยียนหลวนสองคน สองคนนี้มองดอกต้นกำเนิดเหล่านั้น มองโจวซานบินจากไปด้วยสภาพจนตรอก ความรู้สึก ราวกับฝันอบอวลอยู่ในใจสองคนนี้ พอพวกเขามองกันและกันแล้วจึงต่างเห็น ความสับสนในแววตากันและกัน

“ผู้อาวุโสท่านนั้น…เขา…เป็นใคร?” เหยียนหลวนลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วถามขึ้นเสียงเบา

“ข้าเองก็จำไม่ได้เหมือนกัน…” ฟางมู่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจเบา เขานึกไม่ออกว่าความคุ้นเคยเมื่อครู่มาจากที่ใด

“แต่สุดท้ายก็เป็นเรื่องดี มีดอกต้นกำเนิดเหล่านี้แล้ว หลินเอ๋อร์ต้องดีขึ้นแน่” เหยียนหลวนมีสีหน้ำรักและเอ็นดูของมารดา ขณะพึมพำยังกลายเป็นสายรุ้งยาวกับฟางมู่ตรงไปยังเกาะที่พวกเขาอาศัย

หลังพวกเขาสองคนบินจากไปราวหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้นฟางมู่ที่ห้อเหยียดอยู่ ใจสั่นสะท้าน ในหนึ่งก้านธูปนี้เขาคิดอยู่ตลอดว่าซูหมิงเป็นใคร

ตอนนี้…เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก แต่คำตอบนี้ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ ถึงขั้นที่ว่าหันหน้าไปมอง หน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ลมหายใจกระชั้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขะ…ข้าน่าจะนึกออกแล้ว แต่มันเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นเขา ขะ…เขากลับมาแล้วหรือ? อีกอย่างหน้ำตาก็ไม่ใช่…แต่ว่า…นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอีก!”

เหยียนหลวนหยุดชะงักตาม สายตามองฟางมู่

“เขาคือใครรึ?”

“ตอนที่ข้ายังเยาว์วัย ข้าเคยพบผู้อาวุโสคนหนึ่งนอกภูเขาหาน เขา…เจ้าจะต้องจำเขาได้แน่ เดินบนโซ่เขาหาน เอาระฆังเขาหานไป…”

“ซูหมิง!” เหยียนหลวนตัวสั่น ไม่รอให้ฟางมู่พูดจบก็หลุดปากพูดมาทันที

“เทพหมานรุ่นสี่…ซูหมิง!” ฟางมู่มีสีหน้าตื่นเต้น เขาพูดพึมพำไม่หยุดพลางนึกถึงอาสาวของตน

…………..

ซูหมิงไม่รู้ทุกอย่างที่ฟางชางหลันทำที่เผ่าหมานตลอดหลายปีมานี้ เขาเดินอยู่กลางฟ้า มุ่งหน้าไปยังเกาะบึงใต้ในอดีตบนทะเลมรณะตามความทรงจำ

เขาจำได้ว่าบนเกาะบึงใต้มีสหายเก่าไม่น้อย ที่นั่นมีจื่อเยียนที่เป็นภรรยาของ หยามู่ มีจื่อเชอที่ตอนนั้นอยากจะติดตามเขา แต่เขากลับห้ามเอาไว้ และยังมี สตรีศักดิ์สิทธิ์ในอดีตของเผ่าทะเลใบไม้ร่วง

และยังมี…ฟางชางหลันที่เคยยืนอยู่บนยอดเขา อาภรณ์ปลิวไสวกลางสายลม มองตนเงียบๆ ราวกับรอได้ชั่วชีวิต

ซูหมิงเดินหน้าไปเงียบๆ เดินผ่านหมู่เกาะทีละแห่ง จนกระทั่งไปหยุดอยู่บน หมู่เกาะแห่งหนึ่ง ตามความทรงจำเขา เหมือนจะห่างจากเกาะบึงใต้ไม่ไกลแล้ว เขามองรูปปั้นยักษ์รูปหนึ่งบนเกาะเล็กนั้น

มองรูปปั้นพลางนึกถึงเผ่าชะตาชีวิต นึกถึงชาวเผ่าในนั้น นั่นคือ…ผู้ฝึกชะตาชีวิต!

นี่ไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าชะตาชีวิต ที่นี่เป็นเพียงหมู่เกาะแห่งหนึ่งที่เผ่าชะตาชีวิตประจำการตามเขตทะเลข้างนอก ชาวเผ่าชะตาชีวิตบนเกาะมีราวแปดพันคน ตอนนี้คนเหล่านี้ล้อมรอบรูปปั้นและคารวะอยู่กลางแสงตะวันยามอัศดง

พวกเขาต่างมีความฮึกเหิมและเคารพ เพราะรูปปั้นนี้คือบรรพบุรุษของพวกเขา เป็นเทพเจ้า เป็นดวงจิตสูงสุดที่เคยชี้นำเผ่าชะตาชีวิตในตอนแรกสุด

“ผู้ฝึกชะตาชีวิต…” ซูหมิงมองรูปปั้น หน้ำตารูปปั้นคือตัวเขาตอนอยู่แผ่นดินหมาน ดวงตารูปปั้นยามมองไกลๆ แฝงไว้ด้วยประกายสติปัญญา และยังมีความรวดเร็วและดุดัน เหมือนกำลังมองฟ้า ทำให้ซูหมิงเหมือนกลับมายังตอนที่พาชาวเผ่าชะตาชีวิตเหล่านั้นออกจากโลกเก้าหยิน

ขณะเงียบอยู่นี้ ซูหมิงมองผู้ฝึกชะตาชีวิตเหล่านั้น ใบหน้าเผยรอยยิ้มทีละน้อย รอยยิ้มกลางแสงตะวันยามอัศดงมาพร้อมกับการผ่านโลกมานาน มีการหวนรำลึก และยังมีความหวังที่เขามีต่อเผ่าหมาน รวมถึง…การตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า การกลับมาครั้งนี้จะให้เผ่าหมานผงาดขึ้น

“เผ่าหมานจะไม่ใช่ยามโพล้เพล้ตะวันตกดินอีก มันจะเป็น…ดวงตะวันที่จะผงาดขึ้นมาใหม่ของวันพรุ่งนี้!” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบา นี่คือคำสัญญา เป็นคำสัญญาที่มีพลังอำนาจของเขาต่อวิญญาณเผ่าหมานร้อยล้านดวงในร่างกายตอนที่เขากลายเป็น บรรพชนวิญญาณ

ทันทีที่เขาพูดพึมพำออกไป ทันใดนั้นฟ้าดินทั้งเผ่าหมานเกิดเสียงดังสนั่น อย่างรุนแรง เสียงครึกโครมดังกึกก้อง ไม่ว่าเป็นที่ใดของแผ่นดินหมาน ชาวเผ่าหมานทุกคนล้วนรู้สึกอย่างชัดเจนว่าสายเลือดในร่างกายกำลังเดือดพล่าน

ขณะเดียวกันตะวันบนฟ้าที่กำลังตกดินพลันหยุดนิ่ง…แล้วย้อนกลับ ลอยขึ้นจากแนวโน้มตกลง สูงขึ้นทีละนิด เปลี่ยนจากยามค่ำคืนที่จะมาถึง ส่งผลให้ดวงตะวันนั้น…คล้ายว่าไม่มีวันลาลับขอบฟ้าไปชั่วนิรันดร์!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!