Skip to content

สู่วิถีอสุรา 542

ตอนที่ 542 สามเกาะใหญ่อรุณใต้

แผ่นดินใหญ่อรุณใต้ในอดีต ตอนนี้นอกจากหมู่เกาะกระจัดกระจายแล้วก็เหลือเพียงสามแผ่นดินใหญ่ สามแผ่นดินนี้แม้ว่าจะรกร้าง ทว่ากลับเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ของแดนอรุณใต้หลังจากภัยพิบัติรกร้างบูรพา!

อาคมป้องกันหนาแน่นอย่างยิ่งสามจุดแบ่งกันปกคลุมแผ่นดินสามแห่ง มองจากไกลๆ จะบอกได้ว่าแผ่นดินสามแห่งไม่ค่อยพอดีกันเท่าไร เพราะพวกมันไม่เชื่อมต่อ แต่แยกส่วนกันเหมือนตัวอักษรพิ่น (品) น้ำทะเลสีดำซัดเป็นลูกคลื่นอยู่ระหว่างพวกมัน

บางทีควรเรียกพวกมันว่าหมู่เกาะอาจจะเหมาะสมกว่า

ซูหมิงยืนอยู่บนทะเลมรณะ ชั้นเมฆบนท้องฟ้าม้วนตลบ สีหน้าเขาซับซ้อนเล็กน้อย มองผิวทะเลด้านล่างก็เห็นร่างเงาทะมึนกลุ่มหนึ่ง…

ลักษณะร่างเงาทะมึนนี้เหมือนกับศีรษะมังกร ที่นี่…คือกำแพงหมอกนภาในตอนนั้น เพียงแค่ตอนนี้ถูกน้ำทะเลจมลง หากมิใช่เพราะภูมิประเทศตรงนี้สูงยิ่ง บวกกับมีเทือกเขากำแพงตั้งอยู่ เกรงว่าคงไม่เห็นศีรษะมังกรหมอกนภาโผล่ขึ้นมา

ยี่สิบปีก่อน ซูหมิงเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าหมานต่อสู้กับเผ่าเชมันที่นี่ เขาได้รับการขัดเกลาจิตใจ กลายเป็นแม่ทัพเทพเซ่นไหว้กระดูก และก็เป็นที่นี่ที่เขาต้องเจอกับอันตรายจนต้องหนีเข้าไปในเผ่าเชมัน

ทว่ายามนี้ที่นี่เป็นทะเลกว้างใหญ่ ไม่มีผู้คนหรือสิ่งใด มีเพียงร่องรอยเลือนรางที่ผู้คนต้องถอนหายใจและตามหา

ความซับซ้อนในใจซูหมิงตอนนี้ต่างจากความรู้สึกปลงอนิจจัง นกกระเรียนขนร่วงด้านหลังกลอกตา มันคิดหาวิธีหนีจากซูหมิงตลอด แต่ก็กลัวซูหมิงอย่างยิ่ง แอบกล่าวในใจว่าหากไม่มีโอกาสหนี ชีวิตนี้คงไม่มีแสงสว่างอีก

‘ย่าเจ้าเถอะ ข้าผู้นี้องอาจและสง่างาม ฐานะสูงส่ง เผ่าหมานเล็กจ้อยกลับพูดจาไม่เกรงใจข้าเช่นนี้ หึๆ’ ชั่วขณะที่นกกระเรียนกลอกตาก็เห็นซูหมิงหันมามอง มันพลันตกใจจนตัวสั่น สีหน้ารีบเปลี่ยนเป็นเอาใจและยังกระพือปีกเหมือนนกน้อย

ครั้นเห็นว่าซูหมิงไม่มองมาอีก แต่หันไปข้างไปทอดมองไกล มันก็นึกบ่นในใจอีกครั้ง

‘จะต้องรีบหนีไปโดยเร็วที่สุด อิสระมันช่างหอมหวานนัก ด้วยอภินิหารของข้าจะมีอนุภรรยาเท่าไรก็ได้ จะมีลิ่วล้อกี่คนก็ได้ เฮ้อ น่าเสียดายหมัวหลัว ตอนนั้นกว่าจะทำให้เขาเชื่อข้าต้องใช้ความคิดไปไม่น้อย’

ซูหมิงไม่สนใจความคิดกระเรียนขนร่วง เขามองทะเลด้านล่างอยู่นานก่อนละสายตากลับ นัยน์ตาค่อยๆ สงบลง

ขณะก้าวเดินก็กลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไป นกกระเรียนขนร่วงลังเลครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงหึเย็นชาของซูหมิงดังแว่วเข้ามา

กระเรียนขนร่วงตัวสั่นงันงก แม้ในใจจะไม่ยอม แต่สีหน้ากลับเบิกบานใจ

“ท่านรอข้าด้วย เห็นหรือไม่ว่าตัวข้ามีขนน้อย บินก็บินช้า ถ้าไม่อย่างนั้น…ให้ข้ารอท่านอยู่ที่นี่ดีหรือไม่?”

ซูหมิงไม่สนใจอีก แม้เขาจะรู้สึกว่ากระเรียนดำตัวนี้มีความลับซ่อนอยู่ ทว่ายามนี้ใจอยากกลับยอดเขาลำดับเก้ายิ่งนัก จึงไม่ค่อยสนใจกระเรียนดำเท่าไร

บวกกับเขาและกระเรียนดำไม่มีความแค้นต่อกัน ด้วยนิสัยของซูหมิงจึงไม่สร้างความลำบากใจให้อีกฝ่ายมากนัก หากมันจะไปเช่นนี้ ซูหมิงก็ไม่ห้าม

เห็นซูหมิงไม่สนใจและยังบินไปไกลยิ่งขึ้น กระรียนขนร่วงก็เบิกตากว้าง ค่อยๆ ถอยหลังไป แอบนึกในใจว่าอีกฝ่ายเกิดใจดีขึ้นมาหรือไม่สนใจตนกันแน่?

“ไม่ถูกต้อง!” กระเรียนขนร่วงชะงักงัน กระพือปีกอีกหลายที ยกกรงเล็บขึ้นเกาบนตัวที่ไม่มีขน

‘เขากำลังหยั่งเชิงข้า หากข้าหนีไปจริงๆ เขาจะมีข้ออ้างจัดการกับข้า อุบ๊ะ ซูหมิงผู้นี้ปลิ้นปล้อนนัก ข้าไม่ยอมโดนหลอกแน่ หึๆ ยิ่งเจ้าทำเช่นนี้ข้าก็จะยิ่งไม่หนี ข้าเฉลียวฉลาด หมานน้อยอย่างเจ้าคิดจะหลอกข้ารึ?’ กระเรียนขนร่วงตบปีกตัวเองในทันใด เร่งตามไปอย่างรวดเร็ว บินไปพลางนึกกระหยิ่มใจเรื่องที่ตนไม่ถูกหลอก

สามเกาะใหญ่แห่งอรุณใต้มีสีม่านคุ้มกันต่างกัน ม่านแสงของแผ่นดินตรงกลางเป็นสีดำ มองไปดูอึมครึม เหมือนกับมีไอดำไร้ขีดจำกัดโอบล้อมอยู่ทั้งในและนอกแผ่นดิน ให้ความรู้สึกน่าพรั่นพรึง ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็มีความหนาวเยือกลอยมา

แผ่นดินทางซ้ายที่กั้นด้วยทะเลหลายหมื่นลี้มีแสงทองโอบล้อม แสงสว่างส่องสะท้อนโดยรอบ มองไกลๆ ยังเห็น ส่วนแผ่นดินเกาะสุดท้ายอยู่ทางขวาของเกาะสีดำ ที่นั่นอบอวลไปด้วยแสงสีฟ้า แสงนี้หมุนวนโคจรประดุจว่ามีระลอกคลื่นกระจายอยู่รอบๆ ฟ้าดิน

ร่างเงาซูหมิงบินผ่านกำแพงหมอกนภาในอดีต มองผิวทะกว้างใหญ่ มองฟ้าดินจากไกลๆ มือถือแผ่นหยก แผนที่บนแผ่นหยกกำกับสัญลักษณ์ของสามหมู่เกาะใหญ่อรุณใต้เอาไว้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าหมู่เกาะใหญ่ทั้งสามนี้ปิดผนึกมานานหลายปี น้อยนักที่จะมีคนออกไป ฉะนั้นจึงยากจะคาดเดาว่าอิทธิพลของหมู่เกาะทั้งสามนี้คือที่ใดบ้างของแดนอรุณใต้ในอดีต

ทว่าจงเจ๋อก็วิเคราะห์เอาไว้ จึงทำสัญลักษณ์บนแผนที่หยกเล็กน้อย

ตามการวิเคราะห์ของจงเจ๋อ หมู่เกาะที่เปล่งแสงทองน่าจะเป็นของสำนักทะเลตะวันออกซึ่งใช้พลังของสำนักต่อต้านกับภัยพิบัติ

อีกทั้งตามทิศทางการแยกตัวของแผ่นดิน หมู่เกาะแสงทองก็เป็นตำแหน่งของสำนักทะเลตะวันออกในอดีตจริงๆ

ส่วนเกาะสีดำจงเจ๋อไม่รู้ เขาทำได้เพียงวิเคราะห์ตามเงื่อนงำจนรู้ว่าหมู่เกาะที่ปกคลุมด้วยแสงสีฟ้าเป็นฝ่ายนภาของสำนักเหมันต์สวรรค์

ซูหมิงถือแผ่นหยกพลางขบคิด นัยน์ตาเป็นประกายขณะมุ่งหน้าไปยังหมู่เกาะสีฟ้าบนแผนที่ เดินทางติดต่อกันหลายวัน ร่างห้อเหยียดอยู่บนผิวทะเล

กระเรียนขนร่วงตามอยู่ด้านหลัง พวกเขากลายเป็นสายรุ้งสองสาย รอบๆ จุดที่ผ่าน นอกจากผิวทะไร้ที่สิ้นสุดกับสัตว์ทะเลมรณะซึ่งจะโผล่ขึ้นมาเป็นบางครั้งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อีก

ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันหรือกลางคืน นอกจากเสียงคลื่นทะเลก็ไม่มีเสียงอื่นๆ อีก ที่นี่จึงค่อนข้างเงียบสงัด

จนกระทั่งตรงหน้าซูหมิงเห็นเป็นแสงระยับสีฟ้า ตอนที่เข้าไปใกล้ แสงนั้นก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายปรากฏเป็นแผ่นดินตรงหน้า สีฟ้าขยับวูบวาบดุจม่านแสงไหลเวียน ม่านแสงนั้นค่อนข้างหนา ดูแล้วราวๆ ร้อยจั้ง!

ความหนาหนึ่งร้อยจั้งปิดกั้นทุกอย่างจากโลกภายนอก แยกภายในและภายนอกของเกาะนี้ออกจากกัน เพิ่งเข้ามาใกล้ม่านแสงคุ้มกันก็มีแรงกดดันมหาศาลขยายเข้ามาอย่างช้าๆ ซูหมิงยืนมองม่านแสงอยู่ตรงนั้น ทว่ากลับมองไม่ทะลุ

นี่คือเกราะป้องกันยิ่งใหญ่ที่สามารถต้านภัยพิบัติรกร้างบูรพาได้ มองดูเหมือนหนาร้อยจั้ง แต่ความจริงแล้วย่อมมิใช่อย่างนั้น ระดับความแกร่งและการป้องกันของม่านแสงทำให้ซูหมิงต้องขมวดคิ้วเมื่อมองมัน

เขายืนอยู่นอกม่านแสง ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ทว่าทันใดนั้น กระเรียนขนร่วงด้านหลังกะพริบตาแล้วรีบกระพือปีกตัวเอง

“อย่านะท่าน ข้าน้อยมีวิธีให้เราแอบเข้าไป รับรองว่าสำเร็จแน่นอน อีกทั้งยังไม่ถูกพบตัว เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ง่ายมากสำหรับข้า” กระเรียนขนร่วงกล่าวข้างๆ ซูหมิงด้วยความภูมิใจ ครั้นเห็นซูหมิงมองมายังตน กระเรียนก็ยืดอกในทันใด ใช้กรงเล็บตบหน้าอกตัวเองหลายที

“ท่านคอยดูข้า!” ขณะกล่าว มันก็บินไปยังม่านแสงอย่างสุดกำลัง แล้วยกกรงเล็บขึ้นวางบนม่านแสง เมื่อกดลงร่างมันพลันโปร่งใส จากนั้นก็ค่อยๆ เปล่งแสงสีฟ้าราวกับผสานรวมกับวงแหวนอาคมนี้

ซูหมิงเพ่งมองไป ในใจนึกประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่ากระเรียนขนร่วงจะมีความสามารถเช่นนี้อยู่ด้วย ทว่ามองไปมองมาก็เริ่มมีสีหน้าพิลึก

เพราะว่ายามนี้ขณะกระเรียนขนร่วงเปล่งแสงสีฟ้าทั้งตัว มันก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นคน อีกทั้งยังเป็นชายชราคนหนึ่ง

ชายชราคนนี้ยืนอยู่นอกวงแหวนอาคม แผ่พลังความตายเข้มข้นจากในร่างกาย พลังความตายนี้หมุนวนทั้งในและนอกกายเขา ทำให้ดูประหลาดยิ่งนัก

เขาหลับตาอยู่ ยามนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาดูมืดสลัวและผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ช่วงที่ซูหมิงเห็นคนที่กลายร่างจากกระเรียน จิตใจพลันสั่นไหว สายตาของอีกฝ่ายทำให้เขาเกิดความรู้สึกบอกไม่ถูก

แต่ความรู้สึกนี้ก็พลันหายไป เพราะชายชราร่างแปลงจากกระเรียนผู้น่าเกรงขามเปลี่ยนสีหน้าไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นประจบเอาใจ ทั้งยังมีความกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ข้างใน ทำลายความน่าเกรงขามไปจนหมดสิ้น ซูหมิงจึงได้แต่ส่ายศีรษะยิ้มฝืดเฝื่อน

“วงแหวนอาคมเด็กดี เห็นหรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ตอนนั้นข้าเป็นคนวางเจ้าไว้ตรงนี้ รีบเปิดให้ข้าเข้าไปเร็ว!”

ชายชราร่างแปลงกระเรียนพึมพำเบาๆ แล้วยื่นมือขวาเข้าไปในวงแหวนอาคม ม่านแสงหนาร้อยจั้งตรงหน้าซูหมิงพลันเปิดช่องข้างๆ กระเรียนอย่างเงียบเชียบ ช่องนี้ทะลุจากข้างนอกสู่ข้างใน เผยให้เห็นแผ่นดินภายในม่านแสง

ซูหมิงมีสีหน้าประหลาดใจ เขามองออกว่ากระเรียนใช้วิชาแปลงกายอันยิ่งใหญ่ของมันผสานรวมกับวงแหวนอาคม จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใช้กลอุบายอะไรอีก มีความเป็นไปได้สูงมากที่ชายชราร่างแปลงคนนี้จะเป็นคนวางวงแหวนอาคมนี้ไว้

ใช้วิธีนี้หลอกวงแหวนอาคม เพื่อให้มันเปิดเส้นทางเอง

นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย มองชายชราร่างแปลงจากกระเรียนแวบหนึ่ง ก่อนเดินเข้าไปอย่างช้าๆ แทบจะเป็นช่วงที่เขาเข้าใกล้เส้นทางม่านแสงที่ถูกเปิด ร่างเขาพลันหายวับไป เคลื่อนย้ายข้ามหนึ่งร้อยจั้งมาปรากฏตัวอยู่ในม่านแสงคุ้มกันในทันที

แทบทันทีที่ซูหมิงหายไป กระเรียนขนร่วงกลอกตา รอยแยกวงหวนอาคมผสานกันอย่างรวดเร็ว ทำให้มันกับซูหมิงถูกวงแหวนอาคมแยกจากกัน

“ฮ่าๆ เจ้าหมานน้อยกล้ามาเล่นลิ้นกับข้า และยังกล้ามาหยั่งเชิงข้าอีก สุดท้ายก็โดนข้าเล่นงานกลับ จากนี้ไปเจ้าจะถูกขังอยู่ในวงแหวนอาคมนี้ ข้าจะได้มีความสุขกับอิสรภาพเสียที!”

กระเรียนขนร่วงหัวเราะเสียงดังด้วยความลำพองใจ ก่อนขยับตัวกลายร่างเป็นนกยูงเจ็ดสีอีกครั้ง เห็นได้ว่าชอบร่างนี้มาก มันกระพือปีกเตรียมจะจากไป

“อย่างนั้นรึ?” เสียงเย็นชาพลันดังข้างหูกระเรียนขนร่วง มันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ตัวสั่นเทา แล้วหันกลับไปมองนอกวงแหวนอาคม จุดที่ซูหมิงหายไปเมื่อครู่นี้ เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมและมองมันอย่างเย็นชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!