Skip to content

สู่วิถีอสุรา 546

ตอนที่ 546 ฝ่ายนภาเหมันต์

ขณะเดียวกับที่เสียงเย็นเยียบดังกึกก้อง ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าความรู้สึกสงบนิ่งนี้กลับน่าสะพรึงกว่ากลิ่นอายชั่วร้ายทั้งปวง น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าการปะทุขั้นพลัง ความสงบเช่นนี้แฝงไว้ด้วยพลังที่ทำให้ผู้คนแทบจะหายใจไม่ออก

สายรุ้งสองเส้นลากยาวลงมายังยอดเขาลำดับเก้าที่โผล่พ้นจากผิวทะเลร้อยจั้ง ทว่ายังไม่ทันเข้าใกล้ คนในสายรุ้งทางซ้ายก็พบสิ่งผิดปกติ

เขาเห็นว่าคนนั่งอยู่บนยอดเขามิใช่หู่จื่อ แต่เป็นผู้มีใบหน้าคุ้นตาเล็กน้อย เพียงแต่ใบหน้านี้ดูแปลกตา ให้ความรู้สึกไม่รู้ว่าเคยเจอที่ใดมาก่อน

คนที่สังเกตเห็นซูหมิงยังมีอีกคนหนึ่ง พวกเขาหยุดอยู่กลางอากาศ ลอยตัวเหนือยอดเขาลำดับเก้า สายตามองข้างล่างด้วยความเย็นชา

“เจ้าคือ…” หนึ่งในนั้นขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นเยือกและมีความโอหังของฝ่ายนภา ทว่ายังกล่าวไม่จบ ซูหมิงก็เงยหน้าขึ้น วินาทีที่เขาเงยหน้าและลืมตา นัยน์ตาพลันฉายประกายหนาวเยือกลุ่มลึก

ฉับพลันนั้น ศิษย์ฝ่ายนภาที่มองซูหมิงอยู่บนท้องฟ้า จิตใจพลันเกิดเสียงโครมคราม ตัวสั่นอย่างรุนแรง ความคิดมีเสียงฟ้าผ่า ในความรู้สึกพวกเขา สายตาซูหมิงเหมือนกับกระบี่คมกริบสองเล่มพุ่งทะลวงผ่านดวงตาแล้วหลั่งไหลเข้าสู่สมอง ประดุจทำลายสมองพวกเขาในทันใด เมื่อเข้าถึงจิตใจ หัวใจของพวกเขาก็เต้นระรัวจนเร็วถึงขีดสุด

อีกทั้งร่างกายยังเกิดเสียงดังกึกๆ ประหนึ่งไม่อาจทนรับแรงกดดันและจิตแน่วแน่ที่แฝงอยู่ในดวงตาของซูหมิง!

และยังมีความโกรธแค้นต่อฝ่ายนภาวูบวาบอยู่ในดวงตา ก่อนจะระเบิดออกในร่างของพวกเขา

ศิษย์ฝ่ายนภาคนหนึ่งหน้าซีดขาวทันใด ดวงตาเขาระเบิดก่อนเป็นอันดับแรก มีโลหิตไหลตามมา ร่างโซเซถอยหลัง กระอักเลือดกองใหญ่ ทันทีที่พ่นโลหิตออกมา ทวารทั้งเจ็ดก็มีโลหิตไหลเช่นกัน เขาร้องโหยหวน จิตใจสลาย ความคิดพังทลาย แรงกดดันจากสายตาโกรธแค้นท่ามกลางความสงบนิ่งของซูหมิงปลิดชีวิตเขาในทันที!

เสียงโครมดังขึ้น ขณะสหายข้างๆ เบิกตากว้างอ้าปากค้าง ศิษย์ฝ่ายนภาคนนี้ก็ดิ่งศีรษะลงสู่ผิวทะเล

แต่ยังไม่ทันตกลงสู่น้ำก็มีร่างเงาดำพุ่งออกจากยอดเขาลำดับเก้า ร่างดำนั้นคือกระเรียนขนร่วง ยามนี้ดวงตาเปล่งประกาย ร่างไร้ขนดูเป็นเงาวาว มันมีสีหน้าตื่นเต้น รีบตรงไปยังศพที่กำลังดิ่งลงในชั่วพริบตา วินาทีที่บินผ่าน ในปากมันคาบถุงเก็บวัตถุมาหนึ่งใบ กรงเล็บยังจับสิ่งของเป็นประกายวาววับไว้

หากมองดีๆ จะเห็นว่าของเป็นประกายเหล่านั้นคือกระดุมหยกบนอาภรณ์ของศพศิษย์ฝ่ายนภา

“สิ้นเปลือง สิ้นเปลืองจริงๆ ต้องเก็บเอาไว้ ถ้าเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งข้าจะร่ำรวย!” กระเรียนขนร่วงเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นเต้น สายตาจ้องศิษย์ฝ่ายนภาอีกคนด้วยสีหน้าเฝ้ารอคอย

สายตาซูหมิงสังหารคนไม่ได้ ทว่าแรงกดดันจากตัวเขา หากรวมกับสายตาและจิตสัมผัสแล้วจะสังหารคนได้!

หลังจากศิษย์ฝ่ายนภาตายตก ศิษย์ฝ่ายนภาอีกคนตัวสั่นงันงก ใบหน้าพลันซีดขาว มองซูหมิงด้วยสีหน้าหวาดกลัว ก่อนร้องตะโกนพร้อมกับถอยไปอย่างเร็ว หมายมั่นจะกลับไปฝ่ายนภา

สภาพจิตใจเขาปั่นป่วนอย่างรุนแรง คิดไม่ออกเลยว่าต้องมีขั้นพลังระดับใดถึงใช้แค่แรงกดดันจากสายตาก็สังหารสหายที่มีขั้นพลังใกล้เคียงกับตนได้

เขาในยามนี้ไม่มีความโอหังของศิษย์ฝ่ายนภาอีก ไม่มีความเย็นชาและเหยียดหยามเหมือนตอนอยู่กับหู่จื่ออีกต่อไป แม้แต่เสียงร้องยังไม่เย็นเยียบ แต่หวาดกลัวแทน ความหวาดกลัวอย่างหาที่สุดมิได้นี้ดุจสายน้ำหลากจมจิตใจเขา ตอนนี้เขามีเพียงความคิดเดียวคือต้องหนี หนีกลับฝ่ายนภาให้เร็วที่สุด

“ทำร้ายต้นไม้ใบหญ้าของยอดเขาลำดับเก้า สังหาร!”

“ทำร้ายผู้ติดตามของยอดเขาลำดับเก้า สังหาร!”

“ทำร้ายศิษย์ยอดเขาลำดับเก้า สังหารนักรบหมานให้หมดเผ่า!” ซูหมิงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนยืนขึ้นเดินอากาศไป หนึ่งก้าวเหยียบลง ร่างเขาก็พลันมาปรากฏอยู่กลางอากาศ

“เมื่อก่อนยอดเขาลำดับเก้าปกป้องข้า จากวันนี้ไป…ข้าจะปกป้องยอดเขาลำดับเก้า! ฝ่ายนภาที่เหยียบย่ำและทำร้ายศิษย์พี่ของข้า…ต้องตายทั้งหมด!” นัยน์ตาซูหมิงเผยจิตสังหาร ทันทีที่ก้าวเดินอีกครั้ง เขามาอยู่ตรงหน้าศิษย์ฝ่ายนภาที่กำลังหนี ศิษย์ฝ่ายนภาคนนี้เสียสติ คุกเข่าลงอ้อนวอนขอชีวิต เขากลัวตาย โดยเฉพาะตัวเขาที่รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติยิ่งกลัวตายเข้าไปใหญ่

ทว่ายังไม่ทันเอ่ยคำอ้อนวอน แทบจะเป็นช่วงที่เขาคุกเข่าลง ซูหมิงลากมือซ้ายผ่านระหว่างคิ้วอีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นฟ้าไป ทันใดนั้นศิษย์ฝ่ายนภาตัวสั่น ตรงระหว่างคิ้วเปิดเป็นรอยแยกลามไปถึงเส้นผม ศีรษะครึ่งหนึ่งมีโลหิตพวยพุ่ง ก่อนตกลงไปในทะเลพร้อมกับร่างศพคน

เกิดเหตุการณ์เดิมขึ้นอีกครั้ง กระเรียนดำร้องด้วยความตื่นเต้นพร้อมบินเข้าไปอย่างเร็วรี่ ตอนที่มันกลับมา ตรงกรงเล็บมีกระดุมหลายเม็ดกับถุงเก็บวัตถุหนึ่งใบเพิ่มเข้ามา

‘รวยแล้ว รวยแล้ว ยิ่งเจ้าหนูหมานคนนี้สังหารเยอะเท่าไร ข้าจะยิ่งรวยมากเท่านั้น อืม…ติดตามเขาก็ไม่เลวเหมือนกัน!’

ศิษย์ฝ่ายนภาคนนี้ ขณะดิ่งลงอาภรณ์เขาหลุดลุ่ย…ก่อนตายนัยน์ตาดูหวาดกลัว ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาพลันนึกถึงสาเหตุที่คุ้นตาซูหมิง เขาจำบุคคลนี้ได้แล้ว นี่ก็คือศิษย์คนที่สี่ของยอดเขาลำดับเก้า คนที่หายตัวไปยี่สิบกว่าปี….ซูหมิง!

วินาทีที่จำซูหมิงได้ โลกของเขาดำมืด จากนั้นก็ไม่ตื่นขึ้นมาอีก

หู่จื่อยังคงส่งเสียงกรน เขาเหนื่อยมาหลายปี คงจะหลับไปอีกนานด้วยการช่วยเหลือของซูหมิง จนกระทั่งร่างกายฟื้นตัวกลับมา บางทีเมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างอาจต่างออกไปแล้ว

ซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศ เหตุที่เขารอศิษย์ฝ่ายนภามาที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะเมื่อหลายวันก่อนเคยใช้จิตสัมผัสตรวจสอบท้องฟ้า แต่กลับไม่พบร่องรอยวงแหวนอาคมใดๆ

ฉะนั้นเขาจึงรอ ตอนนี้ท้องนภาบิดเบี้ยว หลังจากปรากฏคนสองคนแล้ว ซูหมิงก็สังเกตเห็นทันทีว่าในท้องฟ้ากว้างโล่งมีอยู่จุดหนึ่งเผยออกมา

จุดนั้นก่อนเจอกับฟางชางหลันเขาไม่รู้จัก ทว่าตอนนี้แวบเดียวก็มองออกแล้วว่ามันคือจุดขอบเขตพื้นที่!

ยามสังเกตเห็นจุดนี้ ซูหมิงเดินก้าวที่สาม ทันทีที่เหยียบเท้าลง ตัวเขาก็ขึ้นมาเหยียบอยู่บนจุดขอบเขตพื้นที่นั้นแล้ว ครั้นเหยียบเข้าไป ตรงหน้าเขาพลันยุ่งเหยิง แต่ด้วยมีจิตสัมผัสโอบล้อมอยู่รอบๆ ไม่ต้องใช้ตามองก็รู้สึกได้ว่าหลังจากที่ตนเหยียบบนจุดขอบเขตพื้นที่ก็เหมือนเข้าไปในอาคมเคลื่อนย้ายบางอย่าง

รอจนตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง เขามายืนอยู่บนวงแหวนอาคมใหญ่ นอกวงแหวนอาคมนี้มีเสาหินยักษ์ตั้งอยู่เก้าต้น ด้านบนแกะสลักสัตว์พิลึกต่างกัน ตรงปลายเสาหินมีคนนั่งขัดสมาธิอยู่เก้าคน

ท้องฟ้าเป็นสีคราม ไม่มีดวงตะวัน ทว่าแสงกลับส่องสะท้อนแผ่นดิน หากมองจากไกลๆ บนแผ่นดินจะมีภูเขาสลับขึ้นลง ตรงกลางเมฆขาวมีสายรุ้งยาวหลายเส้นบินผ่านไป

เสียงนกและกลิ่นหอมของพืชดอกอบอวลอยู่โดยรอบ พลังวิญญาณเข้มข้น ทั้งยังมีสมุนไพรหายากปลูกไว้อีกไม่น้อย เมื่อมองในแวบแรกจะเกิดความรู้สึกคล้ายอยู่ในแดนอุดมคติ

ความเงียบสงบอัดแน่นอยู่ในที่อันงดงามนี้ บนท้องฟ้ามีหินยักษ์ลอยอยู่เก้าก้อน หินนั้นมีลักษณะเป็นกรวยฐานกลม ตรงกลางที่ราบด้านบนแบ่งเป็นวิหารในลักษณะต่างกัน

วิหารยักษ์เก้าหลังนี้เหมือนกับจักรพรรดิในโลกใบนี้ ลอยสูงตระหง่านอยู่กลางอากาศ สายรุ้งยาวที่เคลื่อนไปมาเหล่านั้นส่วนใหญ่บินอยู่ระหว่างวิหารเก้าหลังนี้

และยังมีเสียงสายน้ำไหลดังแว่วมาเบาๆ อีกทั้งเสียงเล่นกันของสตรี บางครั้งบนฟ้าก็มีสัตว์ปีกงดงามจำนวนหนึ่งบินผ่าน ดูแล้วงดงามยิ่งนัก มันไม่ใช่สัตว์ร้าย แต่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในคอก

เมฆบนฟ้าสูงเบาบาง เมื่อเทียบกับความเด่นชัดของโลกภายนอกแล้วชวนให้เกิดความรู้สึกไม่ชัดเจน

ตรงใจกลางวิหารใหญ่ที่ลอยอยู่ทั้งเก้าหลัง มีภูเขาสูงเสียดเมฆอยู่ลูกหนึ่ง บนเขาลูกนี้มีศิลาหินยักษ์ที่เห็นได้แต่ไกลๆ ตั้งตระหง่านอยู่

บนศิลาหินสลักอักษรใหญ่สีม่วงไว้สามตัว เปล่งแสงไร้ที่สิ้นสุด ทำให้ทุกคนที่นี่ต้องเงยหน้าขึ้นมอง!

“ฝ่ายนภาเหมันต์!”

ที่นี่คือฝ่ายนภาของสำนักเหมันต์สวรรค์ ก่อนจะเหยียบเข้ามา ซูหมิงไม่เข้าใจความลับของฝ่ายนภาเลย ทว่าด้วยประสบการณ์ของเขา พอเข้ามาแวบเดียวก็มองออกแล้วว่าฝ่ายนภานี้คือมิติที่ชำรุด!

ที่นี่ไม่ใช่แดนอรุณใต้ แต่เป็นเพียงเศษเสี้ยวมิติที่อาจถูกเปิดขึ้นหรือไม่ก็พบเจอโดยบังเอิญ

ที่นี่บางทีอาจไม่ใช่แผ่นดินหมาน เพราะช่วงที่เข้ามาร่างกายซูหมิงแผ่กลิ่นอายความตายบางๆ กลิ่นอายความตายนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับยามอยู่บนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ขณะออกจากแดนมรณะหยิน และคล้ายกับตอนที่โลหิตเขาอยู่บนนิ้วของฟางชางหลัน

ทว่ามันกลับอ่อนมาก ห่างจากตอนอยู่บนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์อย่างยิ่ง

แต่ทุกอย่างกลับเผยออกมาอย่างชัดเจน ที่นี่น่าจะเป็นมิติประหลาดที่อยู่ระหว่างมรณะหยินกับแสงสว่างหยาง!

การปรากฏตัวของซูหมิงรวมถึงการแผ่กลิ่นอายความตายที่แม้จะเบาบาง กลับต่างจากโลกในมิตินี้อย่างชัดเจน ฉะนั้นตอนที่เขาปรากฏตัวกลางวงแหวนอาคม กลิ่นอายความตายจากตัวเขาเลยกลายเป็นควันดำลอยโชยขึ้นฟ้า ส่งผลให้ท้องฟ้ามีควันดำโอบล้อมราวกับถูกพ่นด้วยหมึก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!