ตอนที่ 554 อิสระ
การปรากฏของเปลวเพลิงทำให้ซูหมิงเพ่งสายตามอง
พบว่าขณะเหอเฟิงคำรามด้วยความไม่ยินยอมและบ้าคลั่งทั้งกายและใจ ช่วงที่ปรากฏเปลวเพลิงบนตัวเขา เปลวเพลิงนั้นก็พลันมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ปกคลุมทั้งตัว
“ข้าต่างหากคือหมานเพลิง!”
“ข้าคือหมานเพลิงเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้!”
“ข้าคือหมานผู้ซื่อสัตย์ต่อเพลิงที่สุดในโลกนี้!”
เหอเฟิงร้องคำราม เมื่อเปลวเพลิงบนตัวเขาเข้มข้นขึ้น การควบคุมเพลิงผุดขึ้นในใจอีกครั้ง ครั้นปรากฏเพลิงบนตัว ยังมีความร้อนระอุที่มากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่ากระจายไปรอบๆ ปานจะหลอมละลายทุกสิ่ง
ซูหมิงมองเหอเฟิง ดวงตาค่อยๆ เปล่งประกาย
‘นี่คือร่องรอยของโชคชะตา…แม้ไม่ใช่กลิ่นอายการสร้างชะตา ทว่าภายใต้จิตใจอันแน่วแน่ จึงเกิดเป็นพลังที่สามารถรบกวนได้ทุกสรรพสิ่งในโลกและกุมชะตาชีวิตของตัวเอง เพราะความร้อนคือเพลิง ฉะนั้นจิตใจจึงผสานรวมกับเพลิง…เลยควบคุมได้!’
‘เพลิงบนตัวเหอเฟิงไม่ใช่ของหมานเพลิงสายเลือดเทพหมานรุ่นสามอีกแล้ว แต่เป็นของเขาเอง…’ ซูหมิงมองเหอเฟิงและได้เข้าใจบางอย่าง เขาพลันเข้าใจแล้วว่าบางทีรูปแบบชะตากับจิตตั้งมั่นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างใหญ่หลวง
ซูหมิงไม่ได้ขัดเหอเฟิง เขาอยากเข้าใจมากกว่านี้จากตัวเหอเฟิง
ส่วนเหอเฟิงในยามนี้ เมื่อมีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวแล้ว ความร้อนระอุภายในที่แห่งนี้จึงสูงขึ้นเรื่อยๆ ครู่ต่อมาเขาพลันลืมตาขึ้น เงยหน้าร้องคำรามแล้วพุ่งตรงมาหาซูหมิง
“ข้าต่างหากคือหมานเพลิง!” เหอเฟิงคำรามพร้อมกับตรงเข้ามา คลื่นไอร้อนแผ่กระทบใบหน้า เขากำหมัดขวาชกใส่ซูหมิง ในหมัดนี้แฝงไว้ด้วยพลังเปลวเพลิงทั้งหมดในตัวเขา นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เขากุมเปลวเพลิงของตัวเองอย่างแท้จริง
เปลวเพลิงนั้นหลั่งไหลออกมา กลายเป็นคลื่นเพลิงลุกโชติช่วงตรงเข้ามาใกล้ซูหมิง
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ยอมถอย และยกมือขวาขึ้นเช่นกัน เพียงแค่ไม่มีเปลวเพลิง มีเพียงพลังจากกระดูกหมานแปดส่วนทั้งตัว ทั้งยังมีเสี้ยวกลิ่นอายของสร้างชะตา
เสียงระเบิดดังสนั่นฟ้า เหอเฟิงกระอักโลหิต คลื่นเปลวเพลิงถูกทำลายในทันใด ร่างเหอเฟิงกระเด็นถอยไปเกือบร้อยจั้ง ตอนที่กระอักโลหิตอีกครั้ง เขาดูเสียสติยิ่งกว่าเดิม
“ข้ามอบชีวิตให้กับเพลิงของโลก ยอมเป็นทาสรับใช้เพลิง โปรดมอบพลังแห่งเพลิงให้กับข้า ให้เพลิงที่แกร่งยิ่งขึ้นกับข้า!” เหอเฟิงตะโกนเสียงดัง ตัวเขาปะทุเปลวเพลิงออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้แกร่งกว่าครั้งก่อนหลายเท่า
ทว่าร่างกายเหอเฟิงกลับเกิดเค้าลางจะถูกเผาทำลายภายใต้เปลวเพลิงรุนแรงนี้ เลือดเนื้อเขาแห้งเหี่ยวปานไม่อาจรับไหว โลหิตในตัวหายไปจำนวนมากในพริบตาเดียว กลายเป็นหมอกโลหิตระเหยหายไปจากในร่าง ดวงตาแดงฉาน ความบ้าคลั่งกลับมากขึ้น
“ข้าคือหมานเพลิง ข้าคือหมานเพลิง!” เหอเฟิงยังคงกล่าวคำเดิมซ้ำไปมา ยามนี้เมื่อรวมเปลวเพลิงอีกครั้งแล้ว เขาก็คำรามพร้อมพุ่งเข้าหาซูหมิงอีกรอบ
วินาทีที่เข้าใกล้ ซูหมิงยกมือขวานิ่งๆ แล้วชกหมัดไปอีกครั้ง
หนึ่งหมัดนี้ทำให้เหอเฟิงกระเด็นถอยไปเช่นเดิม เปลวเพลิงบนตัวมืดสลัวลงเหมือนเดิม ทั้งยังกระอักโลหิตกองใหญ่ แขนขวาระเบิดกระจุย
ทว่าซูหมิงกลับถอยไปเพียงก้าวเดียว!
‘มีจิตใจที่แกร่งมาก!’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ มองเหอเฟิงในยามนี้ เห็นว่าตอนอีกฝ่ายคลุ้มคลั่งและกระเด็นถอยไปก็ร้องคำราม ขณะเดียวกันเปลวเพลิงในตัวยังเพิ่มขึ้นอีก
‘นี่เป็นสภาวะ…คลุ้มคลั่งจนเสียสติปัญญา ภายใต้สภาวะแบบนี้ เขามีเพลิงของตัวเอง บางทีอาจบอกได้ว่าเป็นโชคชะตาของเขา!
ทุกคนล้วนมีรูปแบบชะตาของตัวเอง แต่ละคนต่างกันไป…หรือว่า หากอยากรู้ว่าอะไรคือรูปแบบชะตาที่แท้จริง และก้าวเข้าสู่โลกของการสร้างชะตา จำเป็นต้องข้ามผ่านจุดนี้? หรือก็คือสภาวะที่เหอเฟิงอยู่ในตอนนี้?’
ซูหมิงมองเหอเฟิงพลางตรึกตรองมากมาย
เหอเฟิงในยามนี้เหมือนกับเปิดประตูบานใหญ่แห่งความคิดให้กับซูหมิงทีละบาน ทำให้เขาเข้าใจมากขึ้น
เหอเฟิงกระเด็นถอยไป ตอนนี้ยืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะร้องคำรามก็มีเพลิงอาบท่วมตัวอีกครั้ง เวลานี้เอง ขาทั้งสองข้างแหลกสลายไป ถูกเปลวเพลิงเผาจนกลายเป็นเถ้าธุลี ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่กระหายในเพลิงที่แกร่งยิ่งกว่าเดิม!
เขาได้รับมาแล้ว เปลวเพลิงบนตัวเขายามนี้แม้แต่ท้องฟ้ายังเหมือนยากจะรับไหว มันม้วนขึ้นดุจหลอมละลาย ทันทีที่เปลวเพลิงถึงระดับที่รุนแรงอย่างยิ่ง เหอเฟิงพลันมองซูหมิงแล้วยกแขนซ้ายที่เหลืออยู่บินไปหาพร้อมกับชกเข้าไป!
“ตายซะ!” เหอเฟิงตะโกนด้วยความโกรธกริ้ว หนึ่งหมัดชกออกไป ซูหมิงหรี่ตาลง กำหมัดขวาชกเข้าไปอีกครั้ง เสียงโครมครามดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงถอยไปหลายก้าวติดกัน เลือดลมในกายเดือดพล่าน ส่วนเหอเฟิง ในตัวเขาไม่มีโลหิตสดอีกแล้ว ขณะกระเด็นถอยไปแขนซ้ายก็ระเบิดกระจาย เหลือเพียงร่างครึ่งเดียว จังหวะเดียวกับที่ลอยไปชนกับผืนฟ้า เขาก็ร้องตะโกนเสียงดังที่สุดในชีวิต
“ขอมอบวิญญาณของข้าให้กับเพลิงแห่งโลกนี้ทั้งหมด โปรด….มอบเพลิงที่แกร่งกว่านี้ให้ข้า!” ชั่วขณะที่เหอเฟิงตะโกนเอ่ยประโยคนี้ บนตัวเขาปรากฏเพลิงสีขาวขึ้น ทันใดนั้นร่างเขาถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว สายตาจ้องซูหมิงเขม็ง
“ซูหมิง ข้าเหอเฟิงต่างหากคือหมานเพลิง!” ประโยคนี้คือสิ่งสุดท้ายในชีวิตเขา เพราะขณะเดียวกับที่กล่าว ร่างเขาก็เหลือเพียงศีรษะ ศีรษะนี้กลายเป็นเถ้าถ่านอยู่กลางเปลวเพลิงสีขาวลุกโชติช่วง พริบตาเดียวชีวิตและวิญญาณก็สลายไป
เปลวเพลิงสีขาวเผาไหม้แล้วพลันระเบิดออก ในที่สุดท้องฟ้าก็รับไม่ไหว เปิดเป็นอุโมงค์ยักษ์มุ่งหน้าสู่ชั้นห้า!
อีกทั้งแรงระเบิดยังกวาดผ่านไปถึงข้างในชั้นห้า ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน ชนเผ่าที่เตรียมทำสงครามเข่นฆ่าเพื่ออิสระในชั้นห้าทั้งหมดล้วนกลายเป็นของเซ่นไหว้ในทะเลเพลิงสีขาว จากนั้นทะเลเพลิงก็สลายเป็นควันลอยหายไป
“เจ้าคือหมานเพลิง” ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น หลับตาอยู่นานถึงลืมตา นัยน์ตาฉายแววเข้าใจมากขึ้น เหอเฟิงตายแล้ว ไม่ได้ตายในมือเขา แต่ตายในทะเลเพลิง
เพราะ…ในชะตาชีวิตเขาไม่ขาดเพลิง ในรูปแบบชะตาของเขารับเปลวเพลิงที่มากเกินไปไม่ได้ ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจรับจุดสูงสุดของเปลวเพลิง การฝืนรับเอาไว้จะมีแต่ความตายเท่านั้น
‘เส้นทางแห่งการสร้างชะตา อันตรายระหว่างเดินทาง และความลี้ลับในแต่ละก้าว…’ ซูหมิงเงียบแล้วเดินไปยังชั้นห้า
จวบจนตายลง ตัวเหอเฟิงเองก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงถูกเปลวเพลิงของตนเผาจนสูญสิ้น มีแค่ซูหมิงที่เข้าใจอยู่เล็กน้อย และได้ถือมันเป็นบทเรียนสำหรับเส้นทางการสร้างชะตา
‘เหอเฟิงไม่รู้จักการสร้างชะตา ในโลกใบนี้คนที่รู้จักการสร้างชะตาอาจมีอยู่ ทว่าคงไม่มาก…และจะต้องมีนักรบขั้นวิญญาณหมานไม่น้อยแน่ที่เคยลองทะลวงไป ทว่าความตายคือจุดจบเหมือนกัน
เพราะว่าในนั้นขาดตัวนำ เป็นตัวนำจากขั้นวิญญาณหมานก้าวเข้าสู่ขั้นสร้างชะตา หากอยากจะหาตัวนำนั้นให้พบ ก็ต้องเข้าใจว่ารูปแบบชะตาคืออะไร จากนั้น….ก็จะข้ามผ่านอย่างแท้จริง’
‘เหอเฟิงก้าวเข้าสู่ตัวนำนั้นโดยไม่รู้ตัว นั่นคือความคลุ้มคลั่ง…แต่สุดท้ายก็ตายตกอยู่ภายใต้ความคลุ้มคลั่งของตัวเอง เช่นนั้นตัวนำของข้าคืออะไร…
เพราะยึดมั่นจึงคลุ้มคลั่ง เพราะยึดมั่น…’ ซูหมิงก้าวเข้าสู่ชั้นห้าอย่างเงียบๆ ในชั้นห้านี้ เปลวเพลิงมอดดับไปแล้ว แต่ยังมีควันโชยอยู่ บนพื้นเป็นดินไหม้เกรียม ไม่มียอดเขา ท้องฟ้าเป็นหมอกควัน ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ
ซูหมิงกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนมองท้องฟ้า ขณะยกมือขวาขึ้นก็ปรากฏเกราะสีม่วงขึ้นอีกครั้ง ทวนยาวฝังอสูรอยู่ในมือ เสี้ยวกลิ่นอายพลังสร้างชะตาโอบล้อมอยู่โดยรอบ นี่คือพลังแกร่งที่สุดที่สำแดงได้ก่อนจะแปลงเป็นซู่มิ่ง!
ซูหมิงถือทวนยาวก้าวเดินขึ้นฟ้า ร่างเงาเขาพุ่งทะลวงผ่านชั้นเมฆปานสายรุ้งสีม่วง ก่อนใช้ทวนเสียบไปยังผืนฟ้า
หนึ่งทวนนี้ ซูหมิงปล่อยพลังถึงจุดสูงสุดทั่วร่างของเขา ทั้งยังมีสายลมหมานวายุลอยวนรอบๆ สายฟ้าผ่าลงมาดังสนั่น เมื่อผสานรวมเข้าด้วยกัน บวกกับเสี้ยวกลิ่นอายการสร้างชะตา ช่วงที่ทวนปะทะกับผืนฟ้าก็เกิดเสียงกึกก้องจนสนั่นหวั่นไหว รอยแยกยักษ์พลันปรากฏขึ้น จากนั้นซูหมิงก็ก้าวเดินเข้าไป!
ชั้นที่หก!
วินาทีที่ซูหมิงเข้ามายังชั้นหก นัยน์ตาเขาเปล่งประกาย เห็นว่าบนพื้นชั้นหกยามนี้มีคนหลายพันคนคุกเข่าอยู่ ราวกับรอเขามาโดยตลอด
คนนำหน้าคือชายชราคนหนึ่ง ชายชราคนนี้มีผมเปียยาวเส้นหนึ่ง นั่งคุกเข่าเงียบๆ อยู่บนพื้น ชาวเผ่าด้านหลังทั้งหมดล้วนมีผมยาวมากเช่นกัน
นี่คือ…เผ่าแดนภูต!
ซูหมิงเคยเห็นชายชราคนนั้นมาก่อน เขาก็คือจ้าวหมานแดนภูต!
“ชั้นเจ็ดเป็นชนเผ่าชายแดนใต้ของเหมันต์สวรรค์ เผ่านี้ตั้งอยู่ทางใต้ ชาวเผ่าห้าร้อยคน แม้มีแค่ห้าร้อย ทว่าก็เป็นคบดาบของเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์!
ชั้นแปดเป็นเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์ หลายปีมานี้ไม่มีข่าวคราวจากเผ่าใหญ่เหมันต์สวรรค์เลย เหมือนกับตัดขาดกันไป
ส่วนชั้นเก้า…เป็นจุดปิดด่านนั่งฌานของซือหม่าซิ่น” จ้าวหมานเผ่าแดนภูตเงยหน้าขึ้น มองซูหมิงอย่างสงบนิ่งพลางพล่าวเนิบนาบ
ซูหมิงไม่กล่าวอะไร เมื่อกวาดสายตามองชายชราแล้วก็มองชาวเผ่าแดนภูตคนอื่นๆ ชาวเผ่าเหล่านี้ล้วนคุกเข่าอย่างเงียบๆ และมีสีหน้าเฉยชา
“ซูหมิง เผ่าแดนภูตอยากทำข้อตกลงกับเจ้า ข้าบอกเรื่องเหลยเฉินกับเจ้าได้ และยังมอบตัวนำภูตผีในเผ่าข้าสำหรับตามหาฝ่ายภูตผีรุ่นต่อไปให้กับเจ้าด้วย หากมีสิ่งนี้อยู่ เจ้าจะรู้ว่าเหลยเฉินอยู่ที่ใด และจะตามหาเขาพบ!”
“เจ้าไม่ต้องจ่ายอะไรมาก แค่มอบแขนซ้ายให้พวกข้า…” ชายชราเผ่าแดนภูตกล่าวเสียงหนักแน่น
“เจ้าจะไม่ยอมรับก็ได้ ทว่าหากไม่มีวิธีของเผ่าข้า เจ้าก็ไม่มีวันได้ตัวนำภูตผี! ข้าไม่อยากยุ่งกับเรื่องความแค้นระหว่างเจ้ากับซือหม่าซิ่น เผ่าแดนภูตของข้าแค่อยากได้อิสระ!”
“ได้โปรด เจ้าช่วยมอบอิสระให้พวกข้าด้วย!” ชายชรามีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขาโขกศีรษะไปทางซูหมิงในท่านั่งคุกเข่า ชาวเผ่าแดนภูตทั้งหมดด้านหลังเขาก็ทยอยกันทำเช่นเดียวกัน ในชาวเผ่าเหล่านั้นมีคนชรา มีสตรี และยังมีเด็ก
ในสีหน้าเฉยชาแฝงไว้ด้วยความกระหายในอิสรภาพ และยังมีความกลัวในสายตาของเด็กน้อยยามมองเขา เมื่อชาวเผ่าแดนภูตทุกคนโขกศีรษะ ทุกอย่างนี้ทำให้ซูหมิงที่อ้าปากเตรียมจะกล่าวต้องเงียบลง