ตอนที่ 561 มือซ้ายเทพหมาน
ขณะเดียวกับที่ซูหมิงหายเข้าไปในวงแหวนอาคม ทั้งฝ่ายนภาก็พังพินาศลุกลามออกไป ด้านหลังซูหมิงเป็นชาวเผ่าผู้ได้รับอิสระและมีชีวิตรอดจากในแต่ละชั้น
พอซูหมิงห้อเหยียดหายไปในวงแหวนอาคมแล้ว พวกเขาก็ทยอยกันหายตามเข้าไป
ยามซูหมิงปรากฏตัว บนผิวทะเลนอกยอดเขาลำดับเก้ามีลูกคลื่นถาโถม ม้วนตลบหลายชั้นจนกลายเป็นน้ำวนยักษ์ ท่ามกลางส่งเสียงดังสนั่น มันรวมขึ้นเป็นพายุคลั่งม้วนฟ้าดิน
ภายใต้น้ำวนยักษ์คลื่นทะเลบนผิวทะเล ยอดเขาลำดับเก้าตกอยู่ในอันตรายราวกับจะถูกจมได้ทุกเมื่อ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เคลื่อนตัวพุ่งไปยังยอดเขาลำดับเก้า ครั้นมาถึงในพริบตาเดียวแล้วก็วางไป๋ซู่กับบิดาลง และยังมีร่างชายชราเสื้อคลุมขาวฝ่ายนภา ก่อนยกเท้าขึ้นกระทืบพื้นยอดเขา!
ทันใดนั้นเกิดแรงสั่นสะเทือนจากตัวซูหมิงส่งไปทั้งยอดเขาลำดับเก้าและเข้าไปในน้ำทะเลรอบๆ เสียงระเบิดดังสนั่นปานสายฟ้าฟาด น้ำทะเลรอบยอดเขาลำดับเก้าพลันระเบิดแยกออกพร้อมกันแล้วม้วนถอยไปเป็นวงกว้าง ทำให้ยอดเขาลำดับเก้าเป็นศูนย์กลางของจุดที่เว้าลึกลงไปกลางผิวทะเล
ตรงขอบหลุมเว้าลึกนี้มีลูกคลื่นลอยขึ้นสูง หากมองไกลๆ จะเป็นภาพน่าสะพรึง เหมือนมีมือใหญ่กดทะเลจนเกิดเป็นหลุมลึก ด้วยสภาพหลุมลึกเช่นนี้ ยอดเขาลำดับเก้าในทะเลจึงนูนขึ้นมาอย่างชัดเจน ช่วงที่ห่างจากผิวทะเลหลายร้อยจั้ง ซูหมิงยกมือขวาขึ้น ทำสัญลักษณ์มือกดไปยังผืนดิน
พร้อมกันนั้นมีสายลมพัดผ่านเส้นผมซูหมิง เขามีสีหน้าสงบนิ่ง นัยน์ตาวาววับ หลังจากกดมือขวาลงบนพื้นก็มีแสงทองหนึ่งชั้นปะทุมาจากในร่างกาย ราวกับแผ่กระจายออกรอบๆ โดยมีมือขวาเขาเป็นใจกลาง พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งยอดเขาลำดับเก้าประหนึ่งม่านแสงคุ้มกันที่แห่งนี้
และในเวลานี้เอง น้ำทะเลที่ซูหมิงผลักออกไปโดยรอบหวนกลับมายังหลุมลึกอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความที่ยอดเขาลำดับเก้ามีม่านแสงทองอร่ามขยับวูบวาบ จึงทำให้มันตั้งตระหง่านอยู่กลางคลื่นลมพายุคลั่งได้!
ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขาลำดับเก้า ยืนอยู่นอกถ้ำของหู่จื่อที่ยังคงนอนกรนเสียงดัง ไป๋ซู่กับบิดาด้านหลังเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ฝ่ายนภาพินาศมา ยามนี้จิตใจยังคงตื่นตะลึง และได้เข้าใจขั้นพลังของซูหมิงในตอนนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยเฉพาะบิดาของไป๋ซู่ เขามองแผ่นหลังซูหมิงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
ซูหมิงในตอนนี้แผ่ขยายจิตสัมผัสกระจายไปรอบๆ อย่างไม่ลังเล
เขารู้ว่าการต่อสู้กับซือหม่าซิ่นยังไม่จบ หากเมื่อครู่นี้ไม่ไปช่วยไป๋ซู่ ซูหมิงมั่นใจอยู่แปดส่วนว่าด้วยวิชาแยกวายุกับวัฏจักรต่อเนื่อง จะต้องสังหารซือหม่าซิ่นได้อย่างแน่นอน
ทว่าซือหม่าซิ่นมีวิชาจากมรดกของเทพหมานรุ่นสอง ทำให้ซูหมิงสนใจยิ่งนัก เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ยอมจากไปแน่ น่าจะอยู่ใกล้ๆ เวลานี้ซูหมิงแผ่ขยายจิตสัมผัส นัยน์ตาพลันเพ่งสมาธิ
เขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าส่วนลึกของทะเลมีผืนน้ำแข็งที่ยังไม่ละลายอยู่ น้ำแข็งนี้ต่างกับโลกน้ำแข็งของเมืองหลวงต้าอวี๋ เพราะชั้นน้ำแข็งของที่นี่เป็นสีโลหิตเข้มข้น!
ในชั้นน้ำแข็งสีโลหิตนี้มีทางเส้นหนึ่ง จิตสัมผัสของซูหมิงเห็นร่างของซือหม่าซิ่นกำลังขยับวูบผ่านอยู่ในเส้นทางนั้น มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของชั้นน้ำแข็งสีโลหิต
“รอข้าที่นี่” ความมั่นใจในการสังหารซือหม่าซิ่นยังไม่ลดน้อยลง ดวงตาเขาขยับประกาย ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าว เหยียบเข้าไปในน้ำ และมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกที่ก้นทะเล
ซูหมิงรวดเร็วยิ่งนัก ทั้งยังใช้การเคลื่อนย้าย พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่ก้นทะเล ก่อนมุดเข้าไปในเส้นทางตามรอยซือหม่าซิ่น ไล่ตามไปติดๆ
‘ที่นี่…บางทีอาจเป็นธารน้ำแข็งใต้สำนักเหมันต์สวรรค์ในตอนนั้น เพียงแต่น้ำแข็งละลายเป็นทะเล ทว่ามันก็ยังอยู่…ซือหม่าซิ่นได้รับโชควาสนาจากที่นี่!’
ซูหมิงห้อเหยียดอยู่ในเส้นทางสีแดง เขาดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความจริงในใจตื่นตัวอย่างยิ่ง จิตสัมผัสกระจายออก ขณะว่ายอยู่นี้ร่างซือหม่าซิ่นปรากฏในจิตสัมผัสทันที
เส้นทางในชั้นน้ำแข็งสีแดงนี้ แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงรอยแยกเท่านั้น ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดน้ำทะเลถึงซึมเข้ามาไม่ได้
ชั้นน้ำแข็งสีแดงค่อนข้างหนา ทำให้เส้นทางรอยแยกนี้ยาวยิ่ง ภายใต้ชั้นน้ำแข็ง แผ่นดินเป็นสีแดงฉานเหมือนเปื้อนโลหิต ช่วงที่จิตสัมผัสเห็นสีแดงฉานแวววาวนี้
ซูหมิงก็รู้แล้วว่าชั้นน้ำแข็งที่เหมือนจะเป็นสีแดง ความจริงแล้วโปร่งใส เป็นโลกโลหิตสดด้านล่างส่องสะท้อนขึ้นมาต่างหาก
ในโลกสีโลหิตใต้ชั้นน้ำแข็งนั้น บนพื้นมีแขนยักษ์ยาวหลายสิบจั้งยื่นขึ้นมาจากผืนดิน ห้านิ้วมือเป็นกรงเล็บ ประหนึ่งใต้ดินฝังวิญญาณซึ่งไม่ยอมศิโรราบเอาไว้ตนหนึ่งและกำลังยื่นมือขึ้นมาหมายจะคว้าทำลายสวรรค์
มันเป็นมือซ้าย!
ลายมือกลางฝ่ามือชัดเจน แม้ผิวหนังหยาบกร้าน ทว่าดูสมจริงอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายพลังแก่กล้าแผ่มาจากแขนนั้น วินาทีที่จิตสัมผัสของซูหมิงแตะต้องก็ถูกสลายหายไปในบัดดล
นี่คือ…มือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง!
ตรงกลางฝ่ามือซ้ายนี้มีบุคคลนั่งอยู่คนหนึ่ง เขาคือซือหม่าซิ่น!
ที่นี่เป็นจุดที่ซือหม่าซิ่นได้โชควาสนามา และก็เป็นต้นกำเนิดมรดกของเทพหมานรุ่นสอง! หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ล่อซูหมิงมาเด็ดขาด
ทว่าพอได้สู้กับซูหมิงบนชั้นแปดฝ่ายนภาแล้ว ความรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้และต้องตกอยู่ในห้วงวัฏจักรนั้นเพียงพอจะทำให้คนคลุ้มคลั่ง เขาจึงไม่อยากลิ้มรสความเจ็บปวดเช่นนั้นอีก เลยจะเปิดศึกตัดสินกับซูหมิงที่นี่!
ส่วนซูหมิง หลังจากจิตสัมผัสสังเกตเห็นซือหม่าซิ่นแล้วสลายหายไป เขาพลันหยุดชะงัก สีหน้าซีดขาวเล็กน้อยก่อนฟื้นคืนกลับมาในพริบตา เขามีสีหน้าเคร่งเครียด มองเส้นทางรอยแยกตรงหน้าแวบหนึ่ง ครู่ต่อมานัยน์ตาวูบไหว ก่อนมุ่งหน้าเข้าไป
เวลานี้ซือหม่าซิ่นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางฝ่ามือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง นัยน์ตาเผยจิตสังหาร สองมือวางสัมผัสกับฝ่ามือยักษ์ข้างกาย เงยหน้าขึ้นมองชั้นน้ำแข็งด้านบนที่ถูกสะท้อนแสงจนเป็นสีแดงฉาน มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา
ครู่ต่อมา นัยน์ตาเขามีประกายเย็นชาวาบผ่าน พลันยกสองมือขึ้นสะบัดไปด้านบน จากนั้นมือซ้ายเทพหมานที่นั่งทับอยู่สั่นไหว เงามายาของมือซ้ายเผยออกมาจากมือซ้ายจริง ภายในความขมุกขมัว หลังจากซือหม่าซิ่นสะบัดมือแล้วก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น เงามายาของมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองพุ่งตรงไปยังชั้นน้ำแข็งสีแดงฉานด้านบน แล้วใช้มือคว้าไปยังร่างคนด้วยความเร็วสูงสุด
หากมองไกลๆ ภาพนี้จะดูน่าสะพรึงยิ่งนัก ฝ่ามือยักษ์ที่ยื่นมาจากผืนดินคว้าไปยังร่างที่พุ่งทะยานอยู่ใต้ชั้นน้ำแข็งด้วยความเร็วอันไม่อาจบรรยาย จากนั้นบีบอย่างแรงจนเกิดเสียงดังครึกโครม
ชั้นน้ำแข็งสั่นสะเทือน หลังจากมีเสียงกึกๆ ดังขึ้นก็เกิดรอยร้าวลุกลามออกไป จนกระทั่งมีชั้นน้ำแข็งแตกจำนวนมาก เศษชั้นน้ำแข็งเหล่านี้ตกลงสู่พื้น ชั่วพริบตาเดียวเศษน้ำแข็งก็ปกคลุมอยู่ด้านบน บดบังสายตาและสะท้อนแสงสีแดง ทำให้ผู้มองเกิดความรู้สึกแสบตาจนมองไม่ชัด
ซือหม่าซิ่นหรี่ตาลง การโจมตีครั้งนี้เขาเตรียมตัวอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่คิดว่าจะสังหารซูหมิงได้ง่ายๆ อยู่แล้ว หากซูหมิงถูกสังหารง่ายๆ เช่นนั้นก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้
ในสายตาซือหม่าซิ่น ซูหมิงถือเป็นศัตรูตัวฉกาจในชีวิตเขา ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นที่ตนเป็นโอรสสวรรค์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ หรือตอนนี้ที่ได้รับมรดกเทพหมานรุ่นสองและเรียกตัวเองว่าเทพหมานรุ่นสี่แล้ว ก็ต้องพ่ายให้กับซูหมิงทั้งสิ้น!
เวลานี้มองขึ้นด้านบน แม้วิชาอภินิหารของซือหม่าซิ่นจะทำลายร่างซูหมิงที่ทะยานมาตามทางแล้วก็ตาม ทว่าซือหม่าซิ่นกลับไม่วางใจแม้แต่น้อย เขาหรี่ม่านตาลง สองมือประสานสัญลักษณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็วแล้วสะบัดขึ้นฟ้า ทันใดนั้น เศษน้ำแข็งบนท้องฟ้าทั้งหมดระเบิดกระจุยแล้วม้วนกระเด็นตรงขึ้นด้านบน
แทบจะเป็นชั่วขณะนั้น ซือหม่าซิ่นเกิดความรู้สึกถึงภยันตรายร้ายแรงในใจ ขณะเดียวกันร่างเงาหนึ่งปรากฏบนท้องฟ้า ก่อนพุ่งตรงมายังซือหม่าซิ่นด้วยความเร็วสูงสุดปานดาวตกแหวกอากาศ
ร่างเงานี้รวดเร็วอย่างยิ่ง บีบเข้ามาใกล้จนอยู่ในสายตาซือหม่าซิ่น ชั่วพริบตาเดียวก็ห่างจากเขาไม่กี่สิบจั้งแล้ว ร่างเงานี้ก็คือซูหมิง!
ซูหมิงรวดเร็วยิ่งนัก นัยน์ตามีจิตสังหารวาบผ่านในชั่วพริบตา ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังซือหม่าซิ่น นิ้วนี้แฝงไว้ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ของซูหมิง เสมือนว่าทั้งตัวเขาผสานรวมเข้าสู่นิ้วในนี้ แล้วจึงเข้าประชิดตัวอย่างน่าตะลึง
เมื่อภยันตรายมาถึง หากเป็นคนอื่นอาจหลบดัชนีกับความเร็วสูงสุดนี้ไม่พ้น ทว่าซือหม่าซิ่นเป็นโอรสสวรรค์ในอดีต ตอนนี้ยังเรียกตัวเองว่าเทพหมานรุ่นสี่ มีความโอหังของตนเอง เขาพลันอ้าปากกว้างอย่างไม่ลังเล ไม่คิดหลบซูหมิงแม้แต่น้อย แต่กลับเปล่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าดิน
เสียงคำรามนี้ไม่ใช่เสียงธรรมดา แต่มีพลังชั้นยอดที่ได้รับจากมรดกของเทพหมานรุ่นสองอยู่ มันเหมือนกับการใช้ร่างกายของตนเป็นตัวพาหะ แล้วให้เสียงคำรามของชือซานพั่วเทพหมานรุ่นสองส่งมาจากโบราณกาล
นี่คือเสียงคำรามแห่งเทพหมาน!
วินาทีที่เสียงร้องคำรามตรงเข้ามา ซูหมิงพลันหรี่ม่านตาลง ข้างหูเขาเกิดเสียงโครมดังกึกก้อง ทั้งยังมีโลหิตรินไหล มวลอากาศรอบตัวยังแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความเร็วระดับสายตา กลายเป็นพลังแก่กล้าที่ไม่อาจบรรยายกระแทกใส่ ทำให้ตัวเขาที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วถึงขีดสุดหยุดชะงักไปทันที
เสียงโครมครามดังขึ้นทั้งตัว ความรู้สึกว่าเลือดเนื้อและกระดูกถูกฉีกขาดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย อีกทั้งร่างกายยังถูกคำรามใส่จนกระเด็นถอยไปหลายร้อยจั้ง
แม้ว่าเสียงคำรามนี้จะมีพลังน่าสะพรึงกลัว แต่เห็นได้ว่าซือหม่าซิ่นใช้ไม่ได้ตามใจชอบ พอคำรามแล้วร่างเขาแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วระดับสายตา เหมือนกับว่าส่วนสำคัญของร่างกายถูกเสียงคำรามสูบไป มือซ้ายเทพหมานรุ่นสองใต้ร่างเขาสั่นไหวเล็กน้อย คล้ายมีกลิ่นอายพลังที่มองไม่เห็นมุดเข้าไปในร่างซือหม่าซิ่น เมื่อวนโคจรแล้วก็ช่วยบำรุงร่างกายเขา
“ซูหมิง นี่คือที่ฝังร่างของเจ้า!” ซือหม่าซิ่นมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม จ้องซูหมิงซึ่งอยู่ห่างไปหลายร้อยจั้งเขม็ง ใบหน้าจากเหี่ยวแห้งฟื้นคืนกลับมาอย่างเร็วรี่ ทว่าขณะฟื้นฟูอยู่นี้ ภายนอกเขาดูเหี้ยมโหดยิ่งนัก