Skip to content

สู่วิถีอสุรา 567

ตอนที่ 567 ความตายของซือหม่า

ซือหม่าซิ่นร้องตะโกนเสียงแหลม ร่างกระเด็นถอยไปหลายร้อยจั้งถึงหยุดลง มือซ้ายเขาเริ่มเน่าเปื่อย ขาซ้ายก็ยังสั่นไหวแล้วแห้งเหี่ยวไปมาก ร่างกายเขาตอนนี้เกิดเค้าลางว่าจะเน่าเปื่อย

เส้นผมหลุดร่วง ใบหน้าปรากฏจุดดำจำนวนมาก จุดดำเหล่านั้นทยอยกันเน่าเปื่อย ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ นี่ไม่ได้เกิดจากรูปแบบจันทราสังหาร แต่มันคือคำสาปที่ซูหมิงรวมเอาไว้ภายในตอนใช้เปลี่ยนจันทราเคลื่อนไหว!

“เจ้าใช้อภินิหารทุกอย่างของข้าได้หมด…ทว่าวิชาอภินิหารสุดท้ายในชีวิตข้า เจ้าไม่มีวันใช้ได้!” ดวงตาซือหม่าซิ่นมืดหม่น ตอนที่เงยหน้ามองซูหมิง เขายิ้มมุมปากคลุ้มคลั่ง เพราะความแค้น ความไม่ยินยอม และเรื่องทุกอย่างก่อนจะตายนี้จึงกลายเป็นรอยยิ้มนี้ บางทีมันอาจไม่ใช่รอยยิ้ม แต่เป็นอารมณ์นอกเหนือจากร้องไห้และหัวเราะ

“โชคชะตาแห่งเทพหมาน…โทษทัณฑ์แยกร่างเป็นส่วนๆ ร่างกายกระจายออกเป็นชิ้นๆ กลายเป็นผนึกแผ่นดินเผ่าหมานทุกยุคสมัย กลายเป็น…..จิตแห่งอรุณใต้!” ซือหม่าซิ่นพึมพำเบาๆ ตอนนั้นที่เขาเห็นมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองและได้สัมผัสกับมัน คำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นในความคิด

นี่คือ…..พลังที่ผนึกเทพหมานรุ่นสอง!

พลังนี้ไม่ใช่ของซือหม่าซิ่น แต่เป็นของโลกก้นทะเลตรงจุดที่เขากับซูหมิงอยู่ เพราะว่าที่นี่เป็นจุดผนึกมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง และที่นี่เดิมทีมีพลังแห่งผนึกอยู่!

สิ่งที่ซือหม่าซิ่นทำคือเพียงกระตุ้นผนึกเท่านั้น ทำให้ผนึกทำงานในเวลานี้เพื่อผนึกทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเทพหมานรุ่นสองไป!

แทบเป็นช่วงที่เขาเอ่ยประโยคนี้ น้ำทะเลหยุดนิ่ง ทะเลด้านบนที่หลั่งทะลักลงมาก็นิ่งสงบเช่นกัน มือซ้ายเทพหมานกลางผิวทะเลสั่นไหว ก่อนมีแสงสีเหลืองเล็ดลอดมาจากในแขน

“โลกห้าทิศ กำราบแขนหมาน ห้าทิศเคลื่อนไหว ผืนนภาหลับตา มรณะหยิน…จงเปิด!” ซือหม่าซิ่นหัวเราะเสียงดัง ยามนี้นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ขณะกำลังจะตรงเข้าไป ซือหม่าซิ่นก็หลับตาลง

“ข้าแพ้แล้ว ทว่าไม่ได้แพ้ให้เจ้า แต่แพ้ให้กับโชคชะตา!”

“สวรรค์ ในเมื่อโลกนี้มีข้าซือหม่าซิ่น เหตุใดถึงต้องมีซูหมิง!”

“หรือว่านี่จะเป็นโชคชะตาของข้า กำหนดไว้ว่าข้าต้องสู้กับซูหมิง ต้องมีชีวิตรอดเท่านั้นถึงจะเป็นโอรสสวรรค์!” ซือหม่าซิ่นหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะไปมาน้ำตาก็รินไหล ขณะหัวเราะแขนซ้ายพลันระเบิดกระจาย ขาซ้ายก็เน่าเปื่อยจนกลายเป็นของเหลว

ตั้งแต่ได้รับมรดกเทพหมานรุ่นสองจนมาถึงตอนนี้ จากตื่นเต้นดีใจจนมาถึงความสิ้นหวังในยามนี้ ซือหม่าซิ่นผ่านอะไรมามาก เขามองซูหมิงด้วยความแค้นซึ่งไม่อาจบรรยาย แม้ต้องตายก็ขอลากซูหมิงไปด้วยกัน!

“หากนี่คือชะตาของข้าซือหม่าซิ่น เช่นนั้นข้าก็จะฝืน ระหว่างข้ากับมันจะไม่มีใครรอด ข้าจะตายพร้อมกับมัน ข้าจะให้โชคชะตานี้ไม่นับรวมข้า!”

ชั่วขณะที่ซือหม่าซิ่นกล่าว ร่างกายเขาสูญสลายเป็นเศษเนื้อสีดำจำนวนมากตกลงทะเล

โอสถสวรรค์แห่งสำนักเหมันต์สวรรค์ที่ได้รับมรดกเทพหมานรุ่นสอง ทั้งยังเรียกตัวเองว่าเทพหมานรุ่นสี่อย่างซือหม่าซิ่น ตอนนี้จบชีวิตลงตรงหน้าซูหมิง ตรงจุดต้นกำเนิดความแข็งแกร่งของเขา…..

เมื่อร่างกายสลายไป ทั้งยังไม่มีพลังชีวิตเข้ามาฟื้นฟูอีก ชีวิตของเขาบางทีอาจถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนเจอกับซูหมิงครั้งแรกในเมืองเขาหานแล้ว…

หากไม่ใช่เขาตาย ก็ต้องเป็นซูหมิง!

วินาทีที่ตายลง แสงสีแดงบินขึ้นมาจากเศษเนื้อร่างซือหม่าซิ่น แสงสีแดงนี้คือ…หุ่นกระบอกสีแดง!

หุ่นเชิดเป็นรูปร่างหน้าตาซือหม่าซิ่น ทว่าตรงระหว่างคิ้วกลับมีหยดโลหิตแห้งกรัง และยังมีเส้นผมขาวใต้โลหิต

เส้นผมนั้นสั้นและอ่อนนุ่มมาก ไม่เหมือนกับเส้นผมของวัยกลางคน แต่เหมือนของเด็กทารก ทว่ามันกลับเป็นสีขาว…..ในนั้นไม่มีพลังชีวิต มีเพียงกลิ่นอายความตายเข้มข้นที่ซูหมิงคุ้นเคย!

กลิ่นอายความตายนี้ซูหมิงคุ้นดี และที่คุ้นไปกว่าคือเส้นผมนั้นยังมีโลหิตแห้งติดอยู่ แม้เขาไม่เคยเห็นโลหิตกับเส้นผมนั้นมาก่อน แต่ความรู้สึกคุ้นเคยกลับทำให้เขารู้สึกว่านี่คือเส้นผมและโลหิตของตน

ยามนี้ตัวหุ่นเชิดเกิดรอยแตกหัก…ก่อนเกิดเสียงดังโครมแล้วแตกเป็นชิ้นๆ ระหว่างนั้นเส้นผมสีขาวเปื้อนโลหิตลอยขึ้นกลางอากาศ มันลอยมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้วร่อนลงกลางฝ่ามือ

ทันทีที่เส้นผมสัมผัสกับฝ่ามือ ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน ในดวงตาปานเกิดลมและเมฆ ขณะเมฆควันหมุนตลบ จิตเขาเหมือนถูกเส้นผมดึงเข้าสู่โลกพิลึก

ซูหมิงรู้สึกเพียงว่ามีเสียงดังในความคิด เขาเห็นตนพุ่งออกจากก้นทะเล หลังจากนั้นก็บินขึ้นฟ้า ชั้นเมฆหมุนวน เขาพุ่งออกจากม่านแสงของที่นี่ ทะยานขึ้นไปยังท้องฟ้าไร้ที่สิ้นสุดด้วยความเร็วสูง!

จนมาถึงสุดปลายท้องฟ้า ข้ามผ่านเมฆดำบดบังแสงตะวัน มาปรากฏตัวอยู่บนฟ้าแจ่มใส เขาไม่หยุดอยู่แค่นี้ เหมือนมีเส้นผูกร่างเขาเอาไว้แล้วดึงให้บินขึ้นฟ้าต่อไป!

เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จนท้องฟ้าไม่แจ่มใสอีก จนกระทั่งรอบตัวเป็นหมอกสีดำ หมอกนี้เขาคุ้นเคย เพราะมันคือ….หมอกแห่งแดนมรณะหยิน เป็นหมอกที่หมุนวนรอบกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ในตอนนั้นเพื่อไม่ให้กระบี่ออกไปข้างนอก!

ซูหมิงบินขึ้นไปอย่างสับสนในหมอกนี้ จวบจนเขาได้ยินเสียงคำรามดังสนั่น ในหมอกตรงหน้ามีสัตว์ตัวหนึ่ง หัวเหมือนจระเข้ แต่กลับมีตัวเป็นมังกรยาวไม่รู้เท่าไร มันกำลังชะเง้อศีรษะมาข้างหน้าคล้ายลังเลอะไรบางอย่าง แล้วมองไปรอบๆ ความรู้สึกแข็งแกร่งจนแทบจะทำลายจิตใจซูหมิงแผ่กระจายมาจากสัตว์ตัวนี้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เห็นซูหมิง เขารู้สึกว่าตนทะยานขึ้นฟ้าไป ข้ามผ่านหมอกดำตลอดทาง

ระหว่างทางเขาเห็นสัตว์ร้ายพิลึกและแข็งแกร่งหลายสิบตัว กระทั่งตัวสุดท้ายยังให้ความรู้สึกที่แกร่งยิ่งกว่าร่างแยกของตี้เทียน

จนกระทั่งด้านบนเริ่มมีหมอกจากลง เสียงคำรามดังแว่ว ตัวเขาพลันพุ่งออกจากหมอกดำจนมาเห็นฟ้ากระจ่างดาว เห็นดวงดาว และเห็นทุกอย่างที่เห็นตอนอยู่บนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์!

และยังมีน้ำวนจากหมอกดำด้านล่าง ซูหมิงก็เห็นอย่างชัดเจน มันเป็นน้ำวนยักษ์ซึ่งปกคลุมไปไกลมากในผืนฟ้ากระจ่างดาวไร้ขอบเขตนี้ น้ำวนหมุนโคจรและยังมีหมอกโอบล้อม กลิ่นอายความตายอบอวลอยู่โดยรอบ

ซูหมิงมองผืนฟ้า มองดวงดาว ร่างกายเขายังคงลอยอยู่ ทว่ากลับไม่อาจควบคุมตัวเองได้ จนมาถึงแผ่นดินที่ลอยอยู่กลางผืนฟ้ากระจ่างดาวที่ไม่รู้ว่าอยู่ไกลเพียงใด

มันเป็นแผ่นดินรกร้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิต มีเพียงแท่นบวงสรวงสูงตระหง่าน บนแท่นบวงสรวงนั้นมีคนนอนอยู่ผู้หนึ่ง บุคคลนี้นอนอย่างสงบนิ่ง แขนขาถูกตรึงไว้กับพื้นดิน โลหิตแห้งกรังอยู่เต็มพื้น

ตรงระหว่างคิ้วคนผู้นี้มีโลหิตหนึ่งหยด บนโลหิตมีเส้นผมขาวหนึ่งเส้น

บุคคลนี้เหมือนเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ส่วนรูปร่างหน้าตา…ตอนซูหมิงเห็นในความคิดก็มีเสียงโครมดังขึ้น นี่มัน…..ซือหม่าซิ่น!

ขณะซูหมิงตื่นตะลึง เขาหันหน้ากลับไปมองแผ่นดินรกร้าง ทันใดนั้นก็ปรากฏแท่นบวงสรวงคล้ายกันขึ้นอีกหลายแท่น แท่นบวงสรวงเหล่านี้กระจายโดยรอบ ดูแล้วไม่ต่ำกว่าหลายร้อย!

นอกจากนี้แท่นบวงสรวงยังมีขนาดไม่เท่ากัน มีอยู่ห้าแท่นที่สูงใหญ่กว่าแท่นอื่นๆ มาก ซูหมิงมองสิ่งเหล่านี้ เขาพลันร้อนรนอยากดูว่าบนแท่นบวงสรวงมีศพแบบนี้อยู่อีกหรือไม่

ทว่าวินาทีที่จะมองไป กลับมีแรงดึงดูดมหาศาลผุดขึ้นในตัว แล้วกระชากเขากระเด็นถอยออกมาด้วยความเร็วสูง ก่อนพาซูหมิงเข้าไปในน้ำวนบนแดนมรณะหยิน

นัยน์ตาซูหมิงวาววับ ขณะกำลังจะใช้พลังเพื่อฝืนอยู่มองที่นี่อีกครู่หนึ่ง กลับพบว่าตน…..ไม่มีกายเนื้อ แต่เป็นเพียงจิตเท่านั้น

ร่างซูหมิงถูกดึงกลับด้วยความขมขื่น ทว่านัยน์ตาเขากลับบ้าคลั่งและจดจำอย่างเงียบๆ!

ชั่วขณะที่ถอยไป เขาเห็นแผ่นดินนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางผืนฟ้ากระจ่างดาว ทุกแผ่นดินล้วนมีแท่นบวงสรวงเช่นนี้ เหมือนสร้างเป็นวงแหวนอาคมยักษ์ ตรงกลางวงแหวนอาคมมีอยู่แผ่นดินหนึ่ง บนแผ่นดินนั้นซูหมิงรางๆ ว่ามีแท่นบวงสรวงยักษ์เพียงแท่นเดียว

บางทีอาจบอกได้ว่าแผ่นดินตรงกลางนั้นก็คือแท่นบวงสรวงเอง

ที่นั่น แม้ซูหมิงมองเห็นเพียงแวบเดียว กลับรู้สึกถึงเสียงเรียกจากวิญญาณ

นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น เมื่อโลกของซูหมิงกลับมาชัดอีกครั้ง เขายืนอยู่ก้นทะเล ในมือมีเส้นผมขาวลอยอยู่

เส้นผมนี้ค่อยๆ สูญสลาย สุดท้ายก็หายไป…..

ซูหมิงยืนอย่างเงียบๆ แล้วหลับตาลง แขนซ้ายเทพหมานที่เปล่งแสงสีเหลืองอยู่ด้านล่าง ยามนี้มันเปล่งแสงสว่างจ้าส่องสะท้อนก้นทะเลรอบๆ ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

พบว่ามีตราห้าเหลี่ยมยักษ์ลอยขึ้นมาจากมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง ตรานี้ปกคลุมมือซ้ายเทพหมานประดุจปิดผนึกมาไม่รู้นานเท่าไร!

ตรานี้ก็คือผนึกห้าเหลี่ยมที่กำราบมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง

และเป็นของล้ำค่าที่ซือหม่าซิ่นมั่นใจว่าจะลากซูหมิงให้ตายไปพร้อมกันได้ ของล้ำค่านี้มีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือผนึก ผนึกทุกอย่างและคนที่เกี่ยวข้องกับเทพหมานรุ่นสอง ผนึกพลังทุกอย่างของเทพหมานรุ่นสองไว้!

เพียงแต่เพราะกาลเวลายาวนาน พลังมันจึงอ่อนลงไปมาก อีกทั้งเพราะความแกร่งของเทพหมานรุ่นสอง หลังจากผนึกห้าเหลี่ยมผสานเป็นหนึ่งกับมือซ้ายแล้ว จึงทำให้ผนึกอ่อนลงอีกครั้ง ฉะนั้นซือหม่าซิ่นเลยได้รับมรดกมา

ทว่าตอนนี้…ซือหม่าซิ่นคลุ้มคลั่งและปลุกผนึกขึ้นมาแล้ว…

น้ำก้นทะเลหยุดนิ่ง คลื่นก้นทะเลไม่เคลื่อนไหว ทุกอย่างในนั้นหยุดอยู่กับที่ นอกจากร่างซือหม่าซิ่นที่สูญสลาย เส้นผมสีขาวที่ลอยอยู่ และยังมีซูหมิง ทุกอย่างล้วนหยุดนิ่งทั้งสิ้น

ซูหมิงลืมตาขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!