ตอนที่ 568 โชควาสนา
วินาทีที่เขาลืมตาอยู่ในโลกซึ่งค่อนข้างเงียบสงบแห่งนี้ ตราห้าเหลี่ยมจากมือซ้ายเทพหมานเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนนุ่ม แสงนี้ปานทองคำ ส่องสะท้อนก้นทะเลลึกอันสงบนิ่งนี้ให้กลายเป็นสีทอง
ร่างซูหมิงถูกสะท้อนอยู่ในแสงทองเช่นกัน มองไปแล้วใบหน้าเลือนราง ทั้งตัวเปล่งแสงทองอ่อนนุ่ม ดูไม่มีอันตรายใดๆ ทว่าในโลกสงบนิ่งแห่งนี้ แสงทองกลับดูแปลกไปเล็กน้อย เพราะพื้นที่ที่แสงประกายโอบล้อม ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลหรือชั้นน้ำแข็งล้วนหายไปโดยไร้เสียง
ราวกับว่าแสงทองกลืนกินทุกสิ่งอย่าง หลังจากโดยรอบหายไปก็เหมือนว่าแสงทองจะค่อยๆ ม้วนหดกลับมา จากนั้นตรงขอบและก้นทะเลก็คล้ายถูกแบ่งเป็นสองมิติที่ต่างกัน
พลังแห่งผนึกหมุนวนอยู่ในแสงทอง ซูหมิงหรี่ม่านตาลงก่อนขยับตัวหายวับไปทันใด แทบในเวลาเดียวกัน เขากลับมาปรากฏตัวที่เดิมอีกครั้ง สีหน้าเขาทะมึน คิ้วขมวดมุ่น
เมื่อครู่นี้เขาใช้การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา ทว่ากลับถูกบีบออกมา พลังแห่งผนึกของที่นี่ตัดขาดทุกสิ่งจริงๆ!
แสงทองโดยรอบหดเล็กลงเรื่อยๆ ตรงขอบเป็นสีดำมืด ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวกลายเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่ง เมื่อยกมือขวาขึ้นก็พลันปรากฏดาบกระดูกในมือ แล้วทะยานตรงไปยังม่านแสงทองที่กำลังหดเล็กลง
เสียงระเบิดดังกึกก้อง ซูหมิงกระเด็นถอยไปรวดเดียวเจ็ดแปดก้าว สีหน้ามืดทะมึนยิ่งกว่าเดิม เขาไม่อาจข้ามผ่านพลังแห่งผนึกในม่านแสงทองนี้ไปได้
ขณะแสงทองหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ซูหมิงก็เงยหน้าขึ้นมองด้านบนด้วยสีหน้าจริงจัง เขาเห็นว่านอกแสงสีทองด้านบนยังมีแสงทองอ่อนอยู่ มันไม่ใช่ชั้นเดียว แต่มีทั้งหมดห้าชั้น!
แสงทองห้าชั้นไล่จากเข้มไปสู่อ่อน ล้วนเป็นสีทองทั้งหมด
นี่ก็คือผนึกห้าเหลี่ยม สีทองทุกชั้นจะเป็นตัวแทนของผนึกหนึ่งเหลี่ยม ตอนนี้ปรากฏขึ้นพร้อมกันห้ามุม ฉะนั้นผนึกนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่
แสงทองโดยรอบหดเล็กลงไม่หยุดโดยมีมือซ้ายเทพหมานเป็นใจกลาง ซูหมิงเลยต้องถอยไปอีกหลายก้าวเพราะยืนตรงริมขอบไม่ได้ เขาเหมือนกับอยู่ในกรงที่หดลงเรื่อยๆ ทำได้เพียงก้าวตามกรงนั้นไป
ซูหมิงขมวดคิ้ว แม้ซือหม่าซิ่นจะตายไปแล้ว ทว่าก่อนตายกลับใช้พลังแห่งผนึก มันพิลึกยิ่งนัก ซูหมิงลองแล้วก็ยังออกไปไม่ได้ อีกทั้งด้วยขอบเขตแสงทอง ต่อให้เขาหนีไปในทันทีก่อนหน้านี้ เกรงว่าคงถูกแสงทองโอบล้อมอยู่ดี สุดท้ายก็ต้องถูกผนึกทั้งเป็นอยู่ที่นี่
‘ดูจากความบ้าระห่ำของซือหม่าซิ่น ผนึกนี้น่าจะเป็นผนึกของมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง ตอนนี้ข้าใช้โอสถมอบจิตสูบวิญญาณเทพหมานรุ่นสองมา ก็เท่ากับว่าได้รับมรดกส่วนหนึ่งของเขา ฉะนั้นผนึกเลยคิดว่าข้าตรงตามเงื่อนไขที่ต้องถูกผนึก…’
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ห่างจากตัวเขาไปหลายจั้งเป็นมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองตั้งตระหง่าน และห่างไปสิบจั้งเป็นแสงทองที่กำลังหดตัวเข้ามาช้าๆ
ส่วนด้านนอกแสงทอง ด้านหลังแสงห้าชั้นเป็นอากาศสีดำมืดดุจเหวลึก แยกออกจากน้ำทะเลโดยรอบอย่างชัดเจน
‘ซือหม่าซิ่นคิดว่าข้าได้รับมรดกเหมือนกับเขา…แต่ความจริงแล้วข้าใช้โอสถมอบจิตสูบวิญญาณมาต่างหาก จะออกไปจากที่นี่ก็ง่ายมาก แค่ให้ผนึกคิดว่าตัวข้าไม่มีกลิ่นอายพลังของเทพหมานรุ่นสอง เท่านี้ก็จะออกไปได้’
นัยน์ตาซูหมิงครุ่นคิดพลางมองแสงทอง ขณะนัยน์ตาวาววับก็อ้าปาก มีแสงหม่นวูบวาบปรากฏขึ้นมาในทันใด แล้วกลายเป็นโอสถมอบจิตตรงหน้าซูหมิง!
ทันทีที่โอสถมอบจิตออกจากตัวซูหมิง กลิ่นอายพลังเขาอ่อนลงมากในพริบตา ค่อยๆ ลืมเลือนวิชาอภินิหารเหล่านั้นของเทพหมานรุ่นสอง การควบคุมร่างกายกลับมาสมบูรณ์ที่สุด ไม่ติดขัดเหมือนก่อนหน้านี้อีก
ที่สำคัญที่สุดคือตอนเอาโอสถมอบจิตออกจากตัว เขาไม่รู้สึกถึงพลังแห่งผนึกในแสงทองที่กำลังหดตัวเข้ามาจากโดยรอบอีก
“เป็นเช่นนี้จริงๆ” ซูหมิงไม่คลายกังวล ยังคงขมวดคิ้ว สีหน้าลังเลใจเล็กน้อย
เขามองมือซ้ายเททพหมานรุ่นสอง ทั้งยังมองแสงทองจากผนึกห้าเหลี่ยม แล้วเกิดความลังเลขึ้นมา
‘หากออกไปอย่างนี้น่าจะไม่มีอันตรายใดๆ มาก สามารถกลับขึ้นไปยังผิวทะเลจนถึงยอดเขาลำดับเก้าได้ราบรื่น…ทว่ามือซ้ายเทพหมานรุ่นสองจะถูกผนึกอีกครั้งแล้ว เกรงว่าถึงตอนนั้นหากกลับมาอีกก็น่าจะหาไม่เจอแล้ว’ ซูหมิงมองร่องหุบเขาดำมืดที่ขวางกั้นระหว่างน้ำทะเลกับม่านแสง เห็นได้ชัดว่าที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน การออกจากที่นี่ย่อมง่ายกว่าเข้ามาจากข้างนอกมาก
‘หากจากไปอย่างนี้ มันออกจะน่าเสียดาย…’ ซูหมิงย่นหัวคิ้ว เขาไม่ได้สนใจมรดกของเทพหมานรุ่นสองมากนัก แต่สนใจยอดวิชาเมล็ดพันธุ์หมานของซือหม่าซิ่น ที่สำคัญกว่าคือวิชาอภินิหารเหล่านั้นของเทพหมานรุ่นสอง พอได้เห็นซือหม่าซิ่นใช้ และยังได้สัมผัสด้วยตัวเองก่อนหน้านี้แล้ว ก็รู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ตนขาดในตอนนี้!
‘อีกทั้งมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองยังทำให้ซือหม่าซิ่นฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างต่อเนื่อง ข้างในจะต้องมีพลังชีวิตจำนวนมากอย่างแน่นอน หากข้าสูบเอาจากมือซ้ายรุ่นสอง กระดูกหมานแปดส่วนทั้งตัวข้าในตอนนี้อาจทะลวงขั้นพลังได้อีกครั้ง!’
ซูหมิงนึกถึงตรงนี้ หัวใจก็เต้นระรัวยิ่งขึ้น
อีกทางหนึ่งคือออกไปอย่างปลอดภัย ทว่ากลับไม่ได้โชควาสนาอะไรมาก อีกทางคืออยู่ที่นี่และลองสูบพลังมือซ้ายเทพหมาน แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ก็ต้องถูกผนึกอยู่กับอันตรายที่นี่ไปตลอดกาล
ควรจะเลือกอย่างไรดี…
เวลาในตอนนี้เหลือไม่มากแล้ว ย่อมไม่พอจะให้ซูหมิงตรึกตรองอะไรมาก นัยน์ตาเขาเป็นประกายยามกัดฟัน!
‘ต้องลองเสี่ยงดู! โลกใบนี้ไม่มีโชควาสนาใดได้มาง่ายๆ ทุกอย่างต้องพึ่งตัวเองไปแย่งชิงมา…แม้ข้าจะได้รับโชควาสนาจากโลกอมตะของจู๋จิ่วอินและได้รับคำอวยพรของมัน ทว่าเงื่อนไขทุกอย่างคือข้าต้องเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่เพื่อไปเอามา!’
ซูหมิงมองแสงสีทองโดยรอบซึ่งใกล้จะถึงมือซ้ายเทพหมานแล้ว ม่านแสงด้านบนก็กดทับลงมา จึงทำให้เขาเข้ามาใกล้มือซ้ายเทพหมานรุ่นสองเรื่อยๆ
แสงจากผนึกห้าเหลี่ยมไม่อ่อนนุ่มอีก แต่มีความน่าเกรงขามอันดุดัน เหมือนจะกำราบทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเทพหมานรุ่นสอง และสำเร็จภารกิจที่ได้รับมอบหมายในตอนนั้น!
‘ต้องเดิมพัน!’ ซูหมิงมีสีหน้าเด็ดขาด หากออกไปอย่างนี้ในใจเขาไม่ยินยอมเด็ดขาด ฉะนั้นต้องลองสักตั้ง!
ช่วงที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เขายกมือขวาคว้าโอสถมอบจิตแล้วกินไปอีกครั้ง กลิ่นอายพลังเปลี่ยนไปในทันใด ลูกตาสองข้างมืดลงเรื่อยๆ เหมือนปรากฏเงาวูบวาบอยู่ข้างใน จากนั้นซูหมิงถึงเดินหน้าเหยียบขึ้นไปบนมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง!
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเหยียบอยู่กลางมือซ้ายเทพหมานเหมือนกับซือหม่าซิ่นก่อนหน้านี้ วินาทีที่เหยียบเท้าลง เขาก็นั่งขัดสมาธิลงในทันที
อบอุ่นยิ่งนัก นี่คือความรู้สึกแรกตอนที่ซูหมิงสัมผัสกับมือซ้ายเทพหมาน มันเป็นความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่า…..เคยรู้จักกันมา
ทันทีที่นั่งลงบนมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง แสงผนึกห้าเหลี่ยมด้านบนพลันขยายใหญ่ขึ้น จากอ่อนนุ่มกลายเป็นสว่างจ้าแสบตา และยามนี้ความน่าเกรงขามในแสงยังเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
“ข้าไม่ต้องการมรดกของท่าน ข้าต้องการแค่พลังชีวิตของท่าน แล้วก็วิชาอภินิหารของเทพหมาน!” ซูหมิงกล่าวเนิบนาบ ขณะเดียวกับที่หลับตาลง เขายกสองมือขึ้นวางข้างกาย กดตรงฝ่ามือซ้ายเทพหมาน
วินาทีที่สองมือสัมผัสกับฝ่ามือซ้าย ซูหมิงก็ทำการสูบกลืน ชั่วพริบตาเดียวพลังชีวิตมหาศาลก็หลั่งไหลมาตามสองมือแล้วเข้าสู่ร่างกาย
นี่คือ…พลังในมือซ้ายของเทพหมานรุ่นสอง พลังนี้ค้ำยันไม่ให้มือสูญสิ้น เดิมทีนอกจากซือหม่าซิ่นแล้วก็ไม่มีใครสูบได้อีก!
ซือหม่าซิ่นมีปัญหาเรื่องขั้นพลังจึงสูบมาได้ไม่มากนัก เดิมทีเขาตั้งใจว่าหลังจากขั้นพลังเพิ่มขึ้นทุกครั้งจะมาสูบพลังนี้ไป จนกระทั่งเมื่อขั้นพลังก้าวสู่ระดับสมบูรณ์แล้วค่อยสูบพลังจากมือซ้ายเทพหมานให้หมด หลังจากมันกลายเป็นของตนแล้ว เขาก็จะได้รับพลังส่วนหนึ่งของเทพหมานรุ่นสอง
ทว่าตอนนี้ซือหม่าซิ่นตายลง จึงไม่มีใครสูบพลังจากมือซ้ายเทพหมานได้อีก แต่ซูหมิงอยู่ตรงนี้ และด้วยโอสถมอบจิตนี้เอง เขาจึงได้รับมรดกสืบทอดของเทพหมานรุ่นสองมา แล้วกลายเป็นผู้ที่สามารถสูบพลังนี้!
บวกกับว่ากระดูกหมานทั้งตัวซูหมิงต้องการพลังชีวิตจำนวนมากจริงๆ จึงห่างไกลจากซือหม่าซิ่นนัก ฉะนั้นการสูบกลืนครั้งนี้ ซูหมิงจึงเหมือนกับอุโมงค์ไร้ก้น เมื่อเขาหลับตา พลังชีวิตหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมาก มือซ้ายเทพหมานก็สั่นสะท้านไปทุกส่วน นิ้วมือที่แน่นิ่งมาแต่โบราณกาลค่อยๆ ขยับเขยื้อน
สุดท้ายห้านิ้วมือค่อยๆ รวบเข้าหากันจนเป็นเกราะคุ้มกัน ห่อหุ้มซูหมิงเอาไว้กลางฝ่ามือ!
การคุ้มกันเช่นนี้คือการยอมรับทางอ้อมอย่างหนึ่ง นี่คือโชควาสนาของซือหม่าซิ่น หากแต่ตอนนี้…มันกลายเป็นของซูหมิงไปแล้ว!
หากซือหม่าซิ่นยังไม่ตายและได้เห็นภาพนี้จะต้องกระอักเลือดอย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างนี้เป็นของเขา…..
ซูหมิงเงยหน้า เส้นผมยาวโบกสะบัด มองแสงทองโอบล้อมเข้ามาจากโดยรอบๆ จนกระทั่งแสงทองปกคลุมมือซ้ายเทพหมานทั้งหมด ผนึกห้าเหลี่ยมลอยอยู่ตรงศีรษะเขา โดยรอบจึงถูกผนึกอยู่ภายในอย่างสมบูรณ์
โดยรอบเงียบสงัด มีเพียงมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองท่ามกลางแสงทอง ในช่องระหว่างซอกมือจะเห็นว่าซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ภายนอกแดนผนึกแห่งนี้ บนยอดเขาลำดับเก้าเหนือผิวทะเล เวลานี้มีคนอยู่จำนวนมาก คนเหล่านี้คือผู้มีชีวิตรอดจากฝ่ายนภา ยามนี้มีสีหน้าสับสน บ้างก็มองไปยังทะเล
ไป๋ซู่ก็อยู่ตรงมุมนั้น นางมองผิวทะเลอย่างเงียบๆ สีหน้าร้อนรนเล็กน้อย
หู่จื่อนอนกรนเสียงดังอยู่ในถ้ำ กระเรียนขนร่วงเหยียบอยู่บนหลังของเขา ใช้จะงอยปากจิกหลังเป็นบางครั้ง ทุกครั้งมันจะคาบเส้นถี่ออกมาเส้นหนึ่ง แล้วเคี้ยวหนึบๆ ก่อนกลืนลงไป สีหน้าดูสุขสบายยิ่งนัก
“เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเล่นไล่จับกับท่านกระเรียนผู้นี้อยู่หรอกรึ รีบซ่อนตัวเร็วเข้า ถ้าหาเจอข้าจะกินเจ้า!”