Skip to content

สู่วิถีอสุรา 569

ตอนที่ 569 อบอุ่น

ส่วนลึกก้นทะเล ชั้นน้ำแข็งถล่มหายไปแล้ว ก้นทะเลเป็นสีดำทึบ เต็มไปด้วยความเงียบสงัด

เมื่อมองไปนอกจากความมืดแล้วก็ไม่มีแสงสว่างใดๆ อีก ที่นี่ไม่มีแสงสีทองและมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองก่อนหน้านี้ ต่อให้มั่นใจในตำแหน่งของมือซ้าย ยามนี้พอมองไปกลับว่างเปล่าราวกับว่าไม่มีอยู่ และไม่มีเค้ารางใดๆ บ่งบอกเลย

ทว่าในพื้นที่ที่ตาเนื้อมองไม่เห็น แม้ใช้จิตสัมผัสก็ยังตรวจไม่พบนี้ กลับมีพื้นที่กว้างโล่งแยกออกจากน้ำทะเล ตรงกลางพื้นที่มีแสงทองโอบล้อม แสงทองเหล่านี้เปล่งประกายเป็นอักขระสีทองหลายตัวหมุนวนรอบๆ ทำให้ในพื้นที่ไม่กว้างใหญ่อัดแน่นไปด้วยอักขระนับไม่ถ้วน

แสงจากที่นี่คนนอกมองไม่เห็น

ตรงใจกลางพื้นที่กว้างอันเต็มไปด้วยอักขระมีม่านสีทองปกคลุมห้าชั้น มองไปเป็นลักษณะวงรี ม่านแสงทองเหล่านั้นขยับขึ้นๆ ลงๆ ประหนึ่งกำลังหายใจ

ตรงส่วนลึกของม่านแสงห้าชั้นมีแขนยักษ์ข้างหนึ่งถูกปกคลุมอยู่ แขนนี้หยาบกร้านอย่างยิ่ง มันตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น กำมือเล็กน้อย ตรงกลางฝ่ามือมีชายหนุ่มนั่งหลับตาอยู่

ชายหนุ่มคนนี้มีเส้นผมยาวสีดำพาดไว้บนไหล่ ใบหน้าหล่อเหลาและแดงเล็กน้อย ผ่านไปนานถึงจะหายใจครั้งหนึ่ง สองมือวางบนฝ่ามือยักษ์ จะเห็นได้ว่ามันเหมือนเชื่อมเข้าด้วยกัน มีกลิ่นอายพลังแผ่กระจายมุดเข้าสู่ทั่วร่างเขา และยังเข้าไปในทวารทั้งเจ็ด

ซูหมิงเหมือนนั่งฌานอย่างเงียบๆ ทว่าในตัวกลับเหมือนเกิดคลื่นลูกยักษ์ ยามนี้กำลังผลัดเปลี่ยนครั้งใหญ่ พลังชีวิตมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายอย่างต่อเนื่อง ขณะโคจรในตัวเขาก็ถูกกระดูกหมานทั้งตัวสูบกินไปอย่างเร็ว

ขั้นพลังของซูหมิงพิเศษ กระดูกหมานของคนอื่นมีเพียงยี่สิบกว่าชิ้นเท่านั้น ทว่าซูหมิงกลับมีโอกาสเปลี่ยนกระดูกทั้งตัวให้เป็นกระดูกหมาน กระทั่งเลือดเนื้อและทุกอย่างในร่างกายก็ด้วย

ยามนี้เขาสูบกินอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงได้รับโชควาสนา ร่างกายกลายเป็นกระดูกหมานใกล้จะเก้าส่วนแล้ว!

หากครบสิบส่วนสมบูรณ์ ขั้นพลังของซูหมิงจะก้าวสู่ระดับใหม่ นั่นคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต และอาจไม่เกิดขึ้นอีกเลยในภายภาคหน้า…วิญญาณหมานแท้จริง!

หากสำเร็จขั้นพลังซูหมิงจะบรรลุถึงจุดสูงสุด ต่อให้ไม่ใช้ร่างซู่มิ่งเขาก็ยังสู้กับขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ได้อย่างสูสี

เว้นแต่จะเจอตาแก่ขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ที่เก็บตัวมาไม่รู้กี่ปีจนมีขั้นพลังหยั่งลึก ยากจะสัมผัสกับเสี้ยวกลิ่นอายสร้างชะตา ทว่าแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ!

เงื่อนไขทุกอย่างคือซูหมิงต้องมีกระดูกหมานทั้งตัวและก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมาน!

ชั่วขณะที่ซูหมิงสูบพลังอยู่ ในความคิดเขาผุดขึ้นมาเป็นร่างเงายักษ์ผู้หนึ่ง ร่างเงานี้มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่กลับใช้วิชาอภินิหารต่างๆ ในความคิดซูหมิง

วิชาเหล่านี้ดูยุ่งเหยิง บางครั้งซูหมิงก็มองเห็นชัด ทว่าก็มีบางส่วนวูบผ่านไป ตอนเขาเพ่งมองอย่างละเอียด กลับยากจะมองออกถึงเงื่อนงำอะไรมากนัก นอกจากวิชาอภินิหารเหล่านี้แล้วยังมีภาพจำนวนหนึ่ง ภาพเหล่านี้ค่อนข้างสับสนปนเป ปรากฏภาพหนึ่งแล้วก็หายไป เอามาเชื่อมโยงอะไรไม่ได้

มีเพียงภาพบางส่วนที่เชื่อมโยงกันได้ ภาพหนึ่งในนั้นคือร่างยักษ์ที่ยืนนิ่ง ทั้งตัวลอยขึ้นแล้วบินไกลออกไป จุดที่เขาอยู่คือท้องฟ้ากระจ่างดาวพร่างพราว

ตรงหน้าเขามีก้อนกลมยักษ์ลูกหนึ่ง ภายในมีมหาสมุทร มีแผ่นดิน เหมือนกับโลกสมบูรณ์ใบหนึ่ง

ในโลกใบนั้น ช่วงที่ร่างเงามาถึงก็มีสายรุ้งบินขึ้นมาจำนวนมาก เสียงลากยาวดังกึกก้อง ซูหมิงเห็นว่าร่างในภาพนั้นยกเท้าขึ้นแล้วก้าวเดินเจ็ดก้าว!

เจ็ดก้าวย่ำลง ทั้งผืนฟ้ากระจ่างดาวสั่นสะเทือน เมื่อก้าวแรกเหยียบลงก็สร้างเป็นแรงจู่โจมทำให้สายรุ้งยาวกระเด็นถอยไปมากกว่าครึ่ง เมื่อเหยียบก้าวที่สอง ตรงหน้าร่างนั้นไม่มีสายรุ้งขวางทางอีก ตอนก้าวที่สามเขาเหยียบในโลกใบนี้ ทั้งโลกพลันสั่นสะเทือน และก้าวที่สี่มหาสมุทรก็ม้วนตัวจมมิดทุกสิ่งอย่าง

จนกระทั่งก้าวที่ห้า ก้าวที่หก และก้าวที่เจ็ดเหยียบลงไป ลูกกลมคล้ายโลกเสมือนเจอภัยพิบัติ ขณะเดียวกับที่มันแตกออกเป็นส่วนๆ ร่างเงานั้นก็เงยหน้าคำราม

เสียงคำรามของเขาทำลายล้างโลกที่แหลกเป็นส่วนๆ ให้กลายเป็นเศษละเอียด จากนั้นก็มีแสงผลึกบินขึ้นมาเส้นหนึ่ง พอคนผู้นี้คว้าเอาไว้แล้วก็พบว่ามันเป็นก้อนผลึกสีสันมันวาว ในนั้น…มีพลังของหนึ่งโลกแฝงอยู่

นี่ก็คือพลังแห่งโลก

ร่างเงานั้นถือก้อนผลึกบินจากไป

“เจ็ดก้าวเทพหมาน เสียงคำรามแห่งเทพหมาน…..” ซูหมิงพึมพำเบาๆ

ภาพขยับวูบวาบ ภาพที่ปรากฏในความคิดซูหมิงยังคงเป็นร่างเงานั้น เพียงแต่ว่าครั้งนี้ใบหน้าไม่เลือนราง มองเห็นชัดขึ้นเล็กน้อย มันเป็นใบหน้าธรรมดามาก กระทั่งยังให้ความรู้สึกทึ่มทื่อ ไม่มีความน่าเกรงขามใดๆ เลย

โดยเฉพาะตอนยิ้ม ยิ่งให้ความรู้สึกเป็นกันเองมาก

ซูหมิงมองใบหน้าบุคคลนี้ก็เริ่มเกิดความคุ้นตาขึ้นมาบ้าง ความคุ้นตานี้มาจากเมืองเขาหาน ในตอนนั้นเขาใช้การยึดวิญญาณเพื่อมองความทรงจำของตัวเอง และได้เห็นศีรษะยักษ์ใต้เท้าตี้เทียน!

ใบหน้ากับศีรษะคนผู้นี้ให้ความรู้สึกคล้ายกันเล็กน้อย แต่พอเทียบนัยน์ตาเมตตากับความดุร้ายบ้าคลั่งของศีรษะในตอนนั้นแล้ว หากไม่พิจารณามองดีๆ อาจจะคิดว่าสองคนนี้เป็นคนละคนกัน

ซูหมิงเงียบงัน เทพหมานรุ่นสองในความคิดผู้ไม่มีความน่าเกรงขามใดๆ ทั้งยังให้ความรู้สึกเป็นกันเองคนนี้สะบัดมือไปบนฟ้า ตะวันจันทราและดาราปรากฏขึ้นบนผืนดิน แล้วใช้วิชาอภินิหารเขย่าสะเทือนฟ้าดินต่อทีละฉาก

เขายังเห็นอีกว่าเทพหมานรุ่นสองนำวิชาฟ้าดินมนุษย์ทั้งสามรกร้างผนึกอยู่ในพัดล้ำค่า เห็นรอยยิ้มเมตตาและความตั้งใจตอนสร้างพัดล้ำค่าขึ้น เหมือนกับว่าตั้งใจจะมอบพัดล้ำค่านี้ให้กับผู้เยาว์ของเขา

นั่นไม่ใช่พัดอันเดียว แต่ยังมีอีกอันหนึ่งที่เทพหมานรุ่นสองประทับวิชาตะวันจันทราและดาราเอาไว้

ซูหมิงเห็นว่าหลังจากสร้างพัดล้ำค่าเสร็จสองอันแล้ว เทพหมานรุ่นสองก็เดินมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเมืองจักรพรรดิตรงหน้า จนกระทั่งตอนที่มีเสียงร้องไห้ของเด็กทารกแว่วมาจากวังหลังหนึ่ง เทพหมานรุ่นสองก็มายืนอยู่นอกวังใหญ่หลังนั้นก่อนเผยรอยยิ้ม เขาในตอนนี้ไม่เหมือนเทพหมาน แต่เหมือนผู้อาวุโสธรรมดาคนหนึ่ง ขณะกำลังจะผลักประตูวังใหญ่เพื่อเข้าไปมอบของล้ำค่านี้ให้กับทารกข้างใน

จังหวะที่เขายกมือซ้ายเตรียมจะผลักประตูวัง ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยน มีหิมะตกลงมา…เทพหมานรุ่นสองหยุดชะงักแล้วชักมือกลับ ก่อนมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าเย็นชา ต่างจากความอบอุ่นก่อนหน้านี้ราวคนละคน

ภาพเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก็ยังเป็นในพระราชวังเหมือนเดิม ประตูใหญ่เปิดออก ทั้งตัวเทพหมานรุ่นสองอาบไปด้วยโลหิต สงครามข้างนอกดำเนินติดต่อกัน มีสายรุ้งยาวนับไม่ถ้วนเข้ามาอยู่กลางภัยพิบัติ

เทพหมานรุ่นสองหน้าซีดขาว เขาเดินเข้าไปในพระราชวัง สายตามองสตรีหน้าซีดเผือดที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนด้วยความอบอุ่น จากนั้นทั้งสองคนก็โอบกอดกัน

ผ่านไปนาน เทพหมานรุ่นสองมองไปในวังใหญ่ มองเด็กทารกสองคนบนเตียงเล็กสองเตียงติดกัน หนึ่งกำลังร้องไห้ อีกหนึ่งหลับตาแน่นิ่งปานไร้ลมหายใจ

เขาเดินเข้าไปยกมือซ้ายขึ้นลูบศีรษะเด็กทารกหญิงเบาๆ จากนั้นก็มองเด็กทารกอีกคนที่เหมือนตายไปแล้วด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนถอนหายใจ ตรงเข้าไปใช้มือซ้ายลูบศีรษะเด็กทารกคนนั้นเช่นกัน

ทันทีที่มือซ้ายสัมผัสกับศีรษะทารกซึ่งเหมือนไร้ลมหายใจคนนั้น ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น ร่างสั่นไหว ทุกอย่างในภาพนั้น ไม่ว่าจะเป็นเด็กทารกร้องไห้ รอยยิ้มเมตตาของเทพหมานรุ่นสอง หรือความรู้สึกที่ส่งมาจากศีรษะ ทุกอย่างเหล่านี้ทำให้ลมหายใจเขากระชั้นคล้ายจะหยุดนิ่ง

เขาในตอนนี้ยังคงสูบพลังงานจากมือซ้ายเทพหมานอยู่ ทว่ากลับต้องลืมตาขึ้น เพราะ…..เสียงเด็กทารกคนนั้น ให้ความรู้สึกคุ้นเคย เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก…

ในความคิดเขาตอนนี้ หลังจากขั้นพลังสูงขึ้นและสะเทือนอารมณ์กับภาพนั้นแล้ว ก็มีความเจ็บปวดแล่นเข้ามา ในความเจ็บปวดมีเสียงกึกๆ แว่วมาด้วย เหมือนในความคิดเขามีของบางอย่างแตกละเอียด

ขณะเดียวกันสีหน้าเขาดูลังเล สายตามองโลกดำมืด โลกนี้เป็นสีดำ แต่โดยรอบกลับมีความอบอุ่น ข้างหูยังคงได้ยินเสียงร้องไห้กับเสียงพึมพำดังแว่ว มันเป็นเสียงของสตรี ช่างอบอุ่นมากจริงๆ

“เฟยเอ๋อร์ แม่อยู่นี่แล้ว ไม่ต้องร้องนะ…”

“เด็กน้อย ร้องเสียงดังขนาดนี้ พอลูกสาวแม่เติบใหญ่แล้วจะต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน”

“เอาละ แม่จะไม่แย่งตุ๊กตาเจ้าแล้ว เอาให้เจ้า ไม่ร้องนะๆ…”

“นั่น เด็กดีของแม่รีบดูเร็ว พ่อของเจ้ากลับมาแล้ว…”

ตรงหน้าซูหมิงเป็นสีดำทึบ เขามองไม่เห็นแสงสว่าง ทว่าก็ได้ยินเสียงร้องไห้กับเสียงอ่อนนุ่มของสตรี ทันใดนั้นเหตุการณ์พลันเปลี่ยนไป เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก เสียงนุ่มนวลพลันเงียบลง โดยรอบหนาวเยือกขึ้นมาทันใด ราวกับว่าข้างนอกมีหิมะตก

จนกระทั่งผ่านไปนาน เขารู้สึกว่ามีมือข้างหนึ่งลูบศีรษะของตน มันอบอุ่นมาก อบอุ่นมากจริงๆ…..

ซูหมิงตื่นขึ้นมา นั่งเหม่ออยู่บนมือซ้าย เขาก้มหน้าลงมองมือของเทพหมาน น้ำตาค่อยๆ รินไหล……

เขาเข้าใจแล้วว่าตอนสัมผัสกับมือซ้ายเทพหมาน ความรู้สึกอบอุ่นนั้นมาจากที่ใด…

“เฟยเอ๋อร์…..” ชื่อนี้ซูหมิงได้ยินครั้งที่สองแล้ว ทว่ากลับจำฝังใจ ภาพต่างๆ ที่คล้ายภาพมายาก่อนต่อสู้กับร่างแยกของตี้เทียนผุดขึ้นในใจอีกครั้ง

“พี่….พี่ชาย…” เสียงนั้นวนเวียนรอบหูซูหมิง ค่อยๆ ผสานรวมกับเสียงร้องไห้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!