ตอนที่ 574 ศัตรูมาเยือน
ไม้สีดำลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง เปล่งแสงอ่อนเลือนราง ซูหมิงมองบิดาไป๋ซู่ มองร่างกายซึ่งสูญสิ้นพลังชีวิต แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มเหม่อลอย
ซูหมิงจะไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ทว่าคำพูดของบิดาไป๋ซู่ลอยขึ้นในความคิดเขา สายตามองร่างซึ่งตายจากไป ทุกอย่างนี้ทำให้เขาเกิดความลังเลต่อวิชาโชคชะตา
“โชคชะตา…” ซูหมิงหลับตาอยู่ครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้น เขามองไม้สีดำตรงหน้าแล้วยกมือขวาคว้ามันเอาไว้ นัยน์ตาฉายแววประหลาดใจ วินาทีที่สัมผัสกับไม้ ซูหมิงเหมือนเห็นภาพเกิดแก่เจ็บตายของทุกสิ่งมีชีวิต….
ภาพเหล่านั้นวูบผ่านไป ใบหน้าแปลกตาหลากหลาย เสียงแปลกหูมากมาย สุดท้ายก็เป็นใบหน้ารอยยิ้มขนาดยักษ์ เพียงแต่รอยยิ้มนั้นอาบน้ำตา และกำลังตรงเข้ามาใกล้เขา ขณะที่ซูหมิงกำลังตื่นตกใจ ภาพลวงตาตรงหน้าเขากลับหายไป แล้วทุกอย่างก็คืนสภาพเดิม
ศพบิดาไป๋ซู่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ โดยรอบมืดสลัว เสียงคลื่นทะเลแว่วมาไกลๆ ผสานรวมกับความเงียบซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้าม แต่ซูหมิงกลับไม่อาจสงบลง เพราะส่วนลึกในใจมีภาพใบหน้ารอยยิ้มทั้งน้ำตาซึ่งเข้ามาใกล้และเสียงเบาๆ ดังก้องอยู่
“อะไรคือโชคชะตา?”
นี่คือคำถาม เสียงนี้ไม่เหมือนกำลังถามใคร แต่เป็นการถามตัวเองจากความเข้าใจบางอย่าง เพราะระลอกคลื่นที่พิเศษจึงทำให้ความเข้าใจนี้อบอวลอยู่ในไม้ดำ และจากการรวมขึ้นของความเข้าใจ จึงทำให้ไม้ดำแผ่นนี้ไม่ธรรมดา!
คำถามนี้ ก่อนหน้าที่ซูหมิงจะมีเสี้ยวกลิ่นอายพลังสร้างชะตาก็เคยถามตัวเองมาก่อน เพียงแต่ว่าเขาในตอนนั้นถามตัวเองด้วยความสับสนและลังเล
ทว่าตอนนี้เสียงเบาๆ จากไม้สีดำทำให้เขามองออก หลังจากตระหนักรู้แล้วก็คะนึงคิด และถามตัวเองอย่างปลงอนิจจัง
คำพูดเดียวกัน ทว่าความหมายต่างกันมากนัก
ซูหมิงอ้าปากแต่กลับลืมคำตอบ เขาตอบคำถามนี้ไม่ได้ เพราะเขาสับสนยิ่งกว่าเคย
อะไรคือโชคชะตา…ซูหมิงเงียบงัน เขารู้สึกว่าความคิดจากการตระหนักรู้ก่อนหน้านี้ พอมามองในตอนนี้แล้วมันน้อยนิดจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึง
เสียงคำถามนั้นแว่วมาจากไม้สีดำเหมือนถามตัวเอง ทว่าความจริงแล้ว เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกในคำถามนี้แสดงให้เห็นการตระหนักรู้อย่างหนึ่งหลังจากเข้าใจแจ่มแจ้ง
‘บรรพบุรุษตระกูลไป๋ฝึกฝนตำราโชคชะตา ตระหนักรู้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจวิชาทำนายโชคชะตา…ทุกอย่างอาจเกี่ยวกับคำถามข้อนี้!’ ซูหมิงหลับตาลง ในความคิดมีคำถามว่าอะไรคือโชคชะตาโผล่ขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
เสียงเอ่ยถามนี้ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน สะท้อนกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด แฝงไว้ด้วยสติปัญญาและการปลงอนิจจังที่ไร้ขีดจำกัด ทำให้คนฟังอดใจลอยมิได้ แม้แต่จิตสำนักยังตกอยู่ในห้วงนั้น
ซูหมิงนั่งหลับตาอยู่บนหินภูเขาอย่างนั้น ตกอยู่ในห้วงเสียงสะท้อนนั้นไม่ยอมตื่น
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เมื่อเช้าวันที่สองมาถึง ตรงชั้นเมฆหนาไกลออกไปมีแสงตะวันส่องลอดเข้ามา ทำให้ฟ้าและทะเลสว่างเล็กน้อย ความมืดโดยรอบค่อยๆ ถูกปกคลุม
ซูหมิงไม่ตื่น เขานั่งอยู่ตรงนั้นตลอด ตระหนักรู้และครุ่นคิดอย่างเงียบๆ จนลืมเวลา
ส่วนหู่จื่อ หลังจากนั้นสามวันเขาก็ตื่นขึ้น หาววอดเหมือนยังง่วงอยู่เล็กน้อย หลังจากลืมตาแล้วเห็นกระเรียนขนร่วง เขาก็อึ้งงันไปครู่หนึ่ง
กระเรียนขนร่วงมองหู่จื่อเช่นกัน หนึ่งคนหนึ่งกระเรียนมองกันอย่างนี้ไปพักหนึ่ง จากนั้นกระเรียนพลันพบว่าชายร่างกำยำตรงหน้าเหมือนจะโง่เขลาเล็กน้อย…
มันกลอกตาแล้วกล่าวเนิบๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้น ข้ารอเจ้ามาหลายปีแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าต้องใช้กำลังวังชามากเพียงใดเพื่อทำให้เจ้าตื่นขึ้น…..” กระเรียนขนร่วงกล่าวช้าๆ เสียงแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม ทว่าเพิ่งเผยความน่าเกรงขาม หู่จื่อกลับถลึงตามองแล้วโบกมือตบกระเรียนขนร่วงทีหนึ่ง ฝ่ามือนี้มากะทันหันยิ่งนัก กระเรียนขนร่วงไม่ทันรู้ตัวเลย อีกทั้งสีหน้าหู่จื่อยังทำให้สับสน ยามนี้ถูกตบใบหน้า ทั้งตัวมันจึงม้วนกระเด็นไปอยู่ข้างๆ
“ย่าเจ้าเถอะ ท่านหู่คนนี้คือคนที่ฉลาดที่สุดบนยอดเขาลำดับเก้า เจ้ายังกล้าหลอกข้า!” หู่จื่อถลึงตาโต ถกแขนเสื้อพลางยืนขึ้น แล้วตะโกนเสียงดังใส่กระเรียนขนร่วง
“ก็ว่าอยู่เหตุใดตอนหลับข้าถึงรู้สึกว่ามีใครมาจั๊กจี้ ที่แท้เป็นเจ้าไอ้ขนร่วงนี่เอง คอยดูเถอะ ข้าจะบีบเจ้าให้ตาย!” หู่จื่อกล่าวไปกล่าวมาก็โกรธใหญ่ สาวเท้าตรงมายังกระเรียนขนร่วงที่ยังมึนงงจากการถูกตบหน้า
เห็นหู่จื่อตรงเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว กระเรียนขนร่วงพลันร้องเสียงแหลมเล็ก มันก็โกรธแล้วเช่นกัน ขนที่มีอยู่ไม่มากบนตัวตั้งขึ้น ทั้งยังกระพือปีกอีกหลายครั้ง
“อุบ๊ะ เจ้าหนูน้อย เจ้ากล้าทำแบบนี้กับข้ารึ หากเจ้าไม่มอบหินผลึกให้ข้าหนึ่งหมื่นชิ้น ต่อให้มีเจ้าหนูซูอยู่ ข้าก็จะไม่ยอมจบกับเจ้า!” กระเรียนขนร่วงกล่าวพลางกระพือปีกเหมือนนกน้อย ดูแล้วไม่เหมือนจะเข้ามาใกล้หู่จื่อ แต่จะบินออกไปนอกถ้ำเสียมากกกว่า
หู่จื่อมีสีหน้าเหยียดหยาม เมื่อยกมือขวาขึ้นพลันปรากฏหินผลึกชิ้นหนึ่งในมือ ก่อนโยนออกไปบนพื้น หินผลึกตกลงพื้นส่งเสียงดังชัดเจนยิ่ง ขณะกระเรียนขนร่วงถอยก็ได้ยินเสียงนี้เข้า มันจึงพุ่งกระโจนเข้าใส่หินผลึกบนพื้นโดยจิตใต้สำนึก การกระทำแทบจะไม่มีความลังเลนี้คือสัญชาตญาณทั้งหมด
ทว่าช่วงที่มันกระโจนเข้าใส่หินผลึก หู่จื่อก็ชกหมัดขวาเข้าใส่มัน
“ไอ้ตัวน้อย ตอนข้าสามขวบก็เล่นแบบนี้แล้ว ยังกล้าใช้ลูกไม้ตื้นๆ กับท่านหู่เพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเองอีกรึ!”
ข้ามเรื่องหู่จื่อกับกระเรียนขนร่วงตรงนี้ไปก่อน ทางด้านไป๋ซู่ วันที่สามตั้งแต่ซูหมิงตกอยู่ในห้วงการตระหนักรู้ นางก็นำศพบิดาไปอย่างเงียบๆ เหมือนนางรู้อยู่ก่อนแล้ว สีหน้าเลยไม่ดูตกใจ มีเพียงความเศร้าและน้ำตาที่ปกปิดไว้ไม่อยู่
ส่วนผู้รอดชีวิตบนยอดเขาลำดับเก้า ช่วงหลายวันมานี้มีบางคนเลือกจากไป ก่อนไปพวกเขาทุกคนล้วนมองจุดที่ซูหมิงนั่งฌานอยู่แวบหนึ่ง แล้วออกจากยอดเขาลำดับเก้าด้วยความเคารพ ออกไปตามหาบ้านของพวกเขาที่อาจจมอยู่ก้นทะเลหรืออาจยังคงอยู่
เส้นหมานในตัวพวกเขายังไม่หายไป แต่หลังจากมันสูญสิ้นพลังชีวิตก็ฝังลึกอยู่ในร่างกาย พอพวกเขาจากไปมันจึงถูกนำไปด้วย
ส่วนคนที่เลือกอยู่บนยอดเขาลำดับเก้าต่อก็มีชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภาเป็นผู้นำ และอาศัยอย่างเงียบๆ อยู่ตรงกลางยอดเขาลำดับเก้า พวกเขาไม่มีบ้านแล้ว และไม่รู้ด้วยว่าจะไปที่ใด ที่นี่คือที่พักพิงเพียงหนึ่งเดียว
ทางด้านหู่จื่อ หลายวันต่อมาหลังจากจัดการเรื่องที่เกิดขึ้นในฝ่ายนภาแล้ว จากอารมณ์ตื่นตะลึงก็กลายเป็นยิ้มซื่อๆ สุดท้ายเปลี่ยนเป็นลำพองใจ
ยอดเขาลำดับเก้าเป็นของซูหมิงและหู่จื่อ ที่นี่เขาคือประมุข ส่วนคนอื่นๆ เป็นเพียงแขกเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีซูหมิงอยู่ด้วย ทำให้คนที่เลือกอยู่ยอดเขาลำดับเก้าเกรงใจหู่จื่ออย่างยิ่ง ไม่กล้าล่วงเกินเขา ต่อให้เป็นชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภาก็เช่นกัน
ส่วนกระเรียนขนร่วงก็จ้องหู่จื่อด้วยความโกรธตลอดทั้งวัน ทว่าทุกครั้งที่เห็นหู่จื่อโยนหินผลึกมา มันจะเผยรอยยิ้มแล้วตรงมายังหินผลึกทันที เพียงแต่ว่า…
ทุกครั้งหู่จื่อจะโยนสิ่งของชนิดหนึ่งที่เขาเคยศึกษาเมื่อหลายปีก่อน มันมีกลิ่นอายคล้ายกับหินผลึกอย่างยิ่ง ทว่าไม่ใช่หินผลึก แต่เป็นก้อนหินที่รวมขึ้นจากเศษผลึกเท่านั้น กระเรียนขนร่วงก็กระโจนเข้ามาแบบเดิม กระทั่งยังไม่ทันสังเกตเห็น หู่จื่อนึกลำพองใจทั้งยังมองกระเรียนขนร่วงอย่างเหยียดหยาม
‘โง่จริงๆ ท่านหู่คนนี้ฉลาดที่สุด!’
‘หึหึ คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้ว่านี่คือหินผลึกปลอม ทว่าต่อให้เป็นของปลอม ข้าก็เอาไปหลอกคนอื่นต่อได้ เหตุใดจะไม่เอาเล่า’
หนึ่งคนหนึ่งกระเรียนอยู่กันแบบนี้บนยอดเขาลำดับเก้า ชั่วขณะที่ซูหมิงตกอยู่ในห้วงการตระหนักรู้ ทั้งสองฝ่ายก็หยอกเย้ากันอย่างเพลิดเพลิน
บนยอดเขาลำดับเก้า นอกจากหู่จื่อแล้วยังมีอีกคนที่อยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ นั่นคือไป๋ซู่ เรื่องของไป๋ซู่กับซูหมิงตอนนั้นถือว่าไม่ใช่ความลับอะไรในฝ่ายนภา มีหลายคนมองออก ยามนี้ในสายตาคนจำนวนมาก นางก็ถือว่าเป็นประมุขยอดเขาลำดับเก้าครึ่งหนึ่ง
หนึ่งเดือนผ่านไปซูหมิงก็ยังไม่ตื่น ยังคงตกอยู่ในห้วงตระหนักรู้ วนเวียนอยู่กับน้ำเสียงที่แฝงอยู่ในคำถามว่าอะไรคือโชคชะตา
เขาพยายามตามหาว่าคนที่เอ่ยคำถามนี้ ทั้งยังฝังประทับเอาไว้ในตำราโชคชะตาม้วนนี้ ตอนเอ่ยอยู่ในห้วงการตระหนักรู้แบบใด
บรรพบุรุษตระกูลไป๋ในอดีตก็เคยเดินผ่านเส้นทางของซูหมิงในตอนนี้ อาศัยความเข้าใจอย่างต่อเนื่องเลยมีขั้นพลังแก่กล้า แล้วกลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสำนักเหมันต์สวรรค์
ซูหมิงก็กำลังเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้
เพียงแต่ว่าการตระหนักรู้มันพิลึกเพราะคน ประโยคเดียวกัน น้ำเสียงเดียวกัน ทว่าคนรู้แจ้งต่างกัน จึงได้รับผลต่างกัน
ขณะเขาตระหนักรู้ ท่ามกลางความสงบของคนอื่นๆ ที่เลือกอยู่ยอดเขาลำดับเก้า ช่วงที่หู่จื่อกับกระเรียนขนร่วงกำลังหยอกเย้า ส่วนไป๋ซู่ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างเงียบๆ เส้นผมดำปลิวไสว เผยร่างงามระหง ไกลออกไปของภาพที่เงียบสงบ นอกม่านแสงคุ้มกันตรงริมขอบหมู่เกาะยักษ์อันเป็นที่ตั้งของสำนักเหมันต์สวรรค์ เวลานี้…
ทะเลมรณะไหลเชี่ยว ลูกคลื่นโหมกระหน่ำ มีศีรษะยักษ์มากกว่าร้อยผุดขึ้นมาจากผิวทะเล เผยดวงตาแสงหม่นเย็นชา จ้องม่านคุ้มกันพลางเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ไกลออกไปอีก กลางน้ำทะเลเชี่ยวกรากยังมีมังกรน้ำหลายตัวเผยร่างยักษ์เป็นบางครั้ง เสียงพวกมันคำรามดังกึกก้อง และไกลออกไปที่สุด บนทะเลมรณะ…ปรากฏเรือยักษ์ยาวหมื่นจั้งลำหนึ่ง!
ตรงหัวเรือมีร่างเงาสูงใหญ่ผู้หนึ่ง มองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงดวงตาไร้ปรานีและโอหังเป็นประกายดั่งดาราสว่างจ้าตา!
ข้างกายเขายังมีหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวคนนี้เส้นผมปลิวไสวกลางสายลมทะเล ช่างดูงดงามยิ่งนัก
“พี่ใหญ่เป่ยหลิง ที่นี่คือสำนักเหมันต์สวรรค์ของแดนอรุณใต้เผ่าหมานรึ?” หญิงสาวคนนั้นมองเกาะด้านหลังม่านแสงอาคมคุ้นกันพลางกล่าวเสียงเบา