ตอนที่ 575 โอรสสวรรค์เผ่าเซียน
“หลังจากแดนรกร้างบูรพาเข้าชน ที่นี่ก็กลายเป็นหนึ่งในสามเกาะใหญ่ของแดนอรุณใต้” บุรุษดวงตาโอหังไร้ปรานีบนเรือยกมือขวาขึ้น พลันปรากฏแผ่นหยกชิ้นหนึ่งขึ้นในมือ
แผ่นหยกเปล่งแสงวูบวาบ ส่องสะท้อนเป็นแผนที่มายาตรงหน้าบุรุษและสตรี
บนแผนที่เป็นแดนรกร้างบูรพาที่สมบูรณ์แบบ และยังมีหมู่เกาะแดนอรุณใต้หลังแยกออกจากกัน รวมถึงจุดที่พวกเขาอยู่ตอนนี้
บนสัญลักษณ์หมู่เกาะในแผนที่ตรงหน้าพวกเขาสองคนเขียนชื่อเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
สำนักเหมันต์สวรรค์
“สามเกาะใหญ่แดนอรุณใต้มีพลังแกร่งที่สุดในกลุ่มเผ่าหมานที่เหลือรอดตอนนี้ ที่นี่น่าจะเป็นจุดมาเยือนของสำนักชุมนุมเซียน ทว่าตามการคาดเดาของเจ้าสำนัก สำนักชุมนุมเซียนสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในเผ่าหมานครั้งนี้!
ร่างแยกตี้เทียนตายแล้ว ผู้อาวุโสของสำนักก็ขาดการติดต่อ ดูแล้วคงเจอกับเรื่องคาดไม่ถึง…พี่ใหญ่เป่ยหลิงมาครั้งนี้ แรงต้านที่นี่ไม่น่าจะแกร่งอะไรมากนัก ดูแล้วครั้งนี้คงไม่ยากอะไร”
หญิงสาวมองม่านแสงอาคมคุ้มกันที่อยู่ไม่ไกลพลางกล่าวเสียงเบา
“กำลังต่อต้านไม่แกร่งก็หมายความว่าอาจจะไม่ใช่จุดที่ผนึกมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง” นัยน์ตาบุรุษนามเป่ยหลิงเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนกล่าวช้าๆ
“ที่นี่มีโอกาสสามส่วนที่จะมีมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง เรื่องนี้ต้องใช้โชคด้วย อีกอย่างเมื่อเทียบกับเกาะสำนักทะเลตะวันออกที่เป็นจุดมาเยือนของลัทธิเต๋าเทียนหลันกับเกาะที่สามซึ่งมีสำนักซ่อนมังกรควบคุมอยู่แล้ว ข้ารู้สึกว่าที่นี่มีความเป็นไปได้มากสุด” หญิงสาวขบคิดชั่วครู่แล้วกล่าวเสียงอ่อนโยน
เป่ยหลิงทำเสียงหึ ทว่ากลับไม่กล่าวใดๆ ถือว่าเป็นการยอมรับคำพูดของหญิงสาวคนนี้ จากนั้นเขาก็ยกมือขวาชี้ไปยังเกาะสำนักเหมันต์สวรรค์ซึ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทะเลมรณะพลันไหลเชี่ยว คนยักษ์หลายร้อยตนตรงหน้าสุดพากันอ้าปากกว้างร้องคำราม ก่อนพุ่งขึ้นมาจากผิวทะเลเป็นวงกว้าง มองไปแวบหนึ่ง จะเห็นนอกม่านแสงเกาะสำนักเหมันต์สวรรค์มีคนยักษ์หลายร้อยตนกำลังก้าวเท้ายาวเข้าไปใกล้
เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ คลื่นทะเลส่งเสียงโครมคราม พวกมันไหลวนรอบๆ จนกลายเป็นน้ำวนโดยมีเกาะเป็นใจกลาง เสียงหมุนโคจรดังสนั่นหวั่นไหว
“พี่ใหญ่เป่ยหลิงไม่ต้องกังวล คนที่ไปเกาะสำนักทะเลตะวันออกอันเป็นจุดมาเยือนของลัทธิเต๋าเทียนหลันคือซือคง แม้บุคคลนี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา ทว่ากลับลำพองคิดว่าตนเก่ง กำลังต่อต้านที่นั่นจะต้องไม่น้อยแน่ๆ จะยึดครองได้หรือไม่ยังเป็นเรื่องรอง การจัดอันดับโอรสสวรรค์ยิ่งใหญ่ตามคุณูปการสงครามในครั้งนี้ พี่ใหญ่เป่ยหลิงน่าจะติดอันดับต้นๆ ถึงจะถูก” หญิงสาวมองเป่ยหลิงด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ซือคงไม่มีค่าพอให้สนใจหรอก ทว่าคนที่ไปเกาะที่สามของสำนักซ่อนมังกรคือเฉินชง เขาคือศัตรูตัวฉกาจที่ข้าสนใจ!” เป่ยหลิงกล่าวนิ่งๆ ตอนกล่าวคำว่าเฉินชง เขาดูมีสีหน้าหวาดกลัวน้อยๆ
“ซือคง เฉินชง…และยังมีปี้ซู่จากสำนักอสูรรกร้างบูรพากับ…เยี่ยวั่งแห่งลัทธิเต๋าเจิ้งเทียน” เป่ยหลิงหรี่ม่านตา โดยเฉพาะชื่อสุดท้ายทำให้สีหน้าเขาทะมึน
“เยี่ยวั่ง…” หญิงสาวขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าลึกซึ้งกับชื่อนี้มาก
“ศิษย์หมายเลขหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทุกสำนักเซียนในยุคสมัยนี้ เยี่ยวั่ง! เกิดมาก็มีกายคุ้มกันห้าเซียน เบิกเต๋าห้าเซียน ทั้งยังมีโชคชะตากำเนิดเซียน…..ตำนานเล่าว่าตอนเขากำเนิด แดนปรโลกมีวิญญาณเซียนที่เดิมทีเสียชีวิตไปแล้วสิบท่านตื่นขึ้นใหม่ สวรรค์มอบหมายให้ปกป้องเขาไปชั่วชีวิต” หญิงสาวลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงกล่าวเสียงเบา
เป่ยหลิงเงียบงัน ทว่านัยน์ตากระหายในการต่อสู้ แม้สายตาจะมองม่านแสงคุ้มกันที่ถูกคนยักษ์หลายร้อยโจมตีอยู่ แต่ในใจกลับไม่สนใจที่นี่มากนัก สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ คืองานประลองครั้งใหญ่ของโอรสสวรรค์จากแต่ละสำนักที่มาเยือนเผ่าหมาน
“จัดการม่านแสงนี้ด้วย ศิษย์น้องหญิงเฉินซิน” เป่ยหลิงหลับตาแล้วนั่งขัดสมาธิตรงหัวเรือรบ หญิงสาวข้างกายพยักหน้าเบาๆ พลางมองเป่ยหลิง ร่างเงานี้อยู่ในใจนางมาตั้งแต่เยาว์วัย เพื่อเขาแล้วนางยอมทำทุกอย่าง
ทว่า…ความเย็นชาของเป่ยหลิงทำให้นางเศร้าหมองหลายต่อหลายครั้ง นางลอบถอนหายใจ ยกมืองามขึ้น ตรงข้อมือมีกำไลหยกหนึ่งวง ยามนี้กำไลหยกเปล่งแสงอ่อนนุ่มปกคลุมทั่วร่างเฉินซิน ทั้งยังยืดยาวไปอีกเล็กน้อย จนเมื่อเชื่อมกับม่านแสงคุ้มกันแล้ว ในดวงตาเฉินซินพลันปรากฏอักขระวูบผ่าน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ วันที่สองหลังจากปรากฏเรือสงครามนอกม่านแสงและคนยักษ์ทะเลหลายร้อยตน นอกยอดเขาลำดับเก้าก็มีสายรุ้งแล่นตรงเข้ามาหลายเส้น คนในสายรุ้งนั้นคือผู้ที่ตัดสินใจออกไปก่อนหน้านี้ คนเหล่านี้มีสีหน้าตื่นตระหนก ครั้นบินกลับมาถึงยอดเขาลำดับเก้าแล้วก็แจ้งข่าวน่าตะลึงกับคนบนยอดเขา
นอกม่านแสงเกาะนี้มีทัพศัตรูใหญ่เข้ามาใกล้ และหมายจะเปิดม่านแสงคุ้มกัน!
คนยักษ์หลายร้อยตน มังกรทะเลแกร่งกล้า และยังมีเรือหมื่นจั้งหนึ่งลำ ข่าวสารเหล่านี้ทำให้ผู้คนบนยอดเขาลำดับเก้าต่างพากันออกจากการนั่งฌาน
โดยเฉพาะชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภา เขามีสีหน้าจริงจังและรีบออกคำสั่งในทันที มีสายรุ้งสิบกว่าเส้นบินออกจากยอดเขาลำดับเก้า ตอนที่กลับมาในยามค่ำคืน ไป๋ซู่ หู่จื่อ และยังมีประมุขฝ่ายนภา รวมถึงผู้แข็งแกร่งจากแต่ละเผ่าหลายคนต่างมองภาพจำลองตรงหน้าอย่างเงียบๆ อยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากที่นั่งฌานของซูหมิง
ในภาพนั้นเป็นคนยักษ์หลายร้อยตนและมังกรวารี ทั้งยังมีเรือยักษ์น่าสะพรึงรวมถึงบุรุษผมดำซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ นอกจากนี้ยังมีม่านแสงคุ้มกันที่สลัวลงเรื่อยๆ และร่างระหงข้างกายบุรุษที่กำลังยื่นสองมือเพื่อทำลายม่านแสง
“คนที่ควบคุมสิ่งมีชีวิตในทะเลมรณะได้จะเป็นใครกัน….”
“หรือว่าจะมาจากแดนรกร้างบูรพา”
“ย่ามันเถอะ ไม่ว่ามันจะเป็นใคร หากกล้าแตะต้องยอดเขาลำดับเก้า ท่านหู่คนนี้จะให้มันรู้ว่าข้ามีดวงตาที่สาม!” หู่จื่อถลึงตามองอยู่ข้างๆ ทั้งยังกล่าวตะโกน
กระเรียนขนร่วงด้านข้างเหลือบตามองด้วยสายตาดูถูก ขบคิดในใจว่าหากยอดเขาลำดับเก้ารับมือกับศัตรูไม่ไหว ตนควรจะหนีไปอย่างไรดี
“แม่นางไป๋ซู่…เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านซูหมิงจะตื่นเมื่อไร” ชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภาลังเลชั่วครู่หนึ่งแล้วมองไป๋ซู่
ไป๋ซู่มองไปยังจุดที่ซูหมิงนั่งสมาธิ มองร่างเขาพลางส่ายศีรษะเบาๆ
ตอนที่ไป๋ซู่ส่ายศีรษะ ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดแว่วมาไกลๆ เสียงนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด แต่ดังก้องกังวานไปรอบๆ ในเวลาเดียวกัน ประหนึ่งเสียงระเบิดเกิดขึ้นรอบทิศพร้อมกัน
วินาทีที่เสียงดังขึ้นและแว่วเข้ามา บนท้องฟ้าปรากฏรอยร้าวขึ้นแทบทันที รอยร้าวนี้ประดุจฟ้าฉีกขาด หากมองดีๆ จะเห็นว่ามันก็คือม่านแสงไร้รูปที่ปกคลุมที่นี่อยู่
หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวและรอยร้าวแล้ว ชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภาก็หน้าเปลี่ยนสี หลายคนโดยรอบยืนขึ้นโดยทันที มีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง
เสียงหวีดหวิวของสายลมและเสียงครืนๆ ดังก้องโดยรอบ ทั้งยังมีกลิ่นเค็มซึ่งไม่ใช่ของทะเลน้ำแข็งที่นี่แต่มาจากทะเลมรณะลอยมาตามลม!
ม่านแสงคุ้มกันพังทลายลงแล้ว!
ความแกร่งของม่านแสงนี้ ตอนแรกยังทำให้ซูหมิงถึงกับขมวดคิ้ว ทั้งยังสามารถต้านทานภัยพิบัติรกร้างบูรพาได้ ทว่าตอนนี้…..ด้วยเวลาเพียงหนึ่งวันก็พังลงแล้ว ยามนี้คนบนยอดเขาลำดับเก้าทั้งหมดตื่นขึ้นทันที ในใจยังคงตื่นตะลึง ประมาณการความแข็งแกร่งของศัตรูเอาไว้คร่าวๆ
ทว่าการประมาณคร่าวๆ นี้ สุดท้ายกลับกลายเป็นความขมขื่น
นอกเกาะ เมื่อม่านแสงคุ้มกันสลายหายไป มุมปากเฉินซินมีโลหิตไหล ใบหน้านางซีดขาว อีกทั้งสีหน้ายังมัวหมองลง ร่างโซเซถอยหลังไปหลายก้าว
“พี่ใหญ่เป่ยหลิง ม่านคุ้มกันของที่นี่ข้าตัดขาดได้เพียงสามวัน สามวันจากนี้มันจะกลับมาอีกครั้ง ฉะนั้นเวลาของท่าน…..มีเพียงสามวัน”
เป่ยหลิงข้างกาย ยามนี้ยืนขึ้นแล้ว กลิ่นอายพลังเย็นเยียบหมุนวนรอบตัวเขา สายตาเย็นชาไม่มองเฉินซิน แต่ยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือชี้ไปข้างหน้า
ทันใดนั้น คนยักษ์หลายร้อยตนก็ร้องคำรามพร้อมกับพุ่งเข้าไปยังสำนักเหมันต์สวรรค์บนเกาะ ก้าวเท้ายาวส่งเสียงดังสนั่น ขณะทะเลมรณะโหมซัดขึ้นๆ ลงๆ ก็ท่วมตรงริมขอบเกาะ มังกรวารีหลายพันจั้งพากันบินขึ้นฟ้า ร่างดำทึบเผยในชั้นเมฆเป็นบางครั้ง ทั้งยังมีเสียงมังกรคำรามดังกึกก้องรอบทิศ
ยามนี้มังกรวารีเก้าตัวพากันทะลวงชั้นเมฆมุ่งหน้าไปยังสำนักเหมันต์สวรรค์
ส่วนเป่ยหลิงยืนอยู่ตรงหัวเรือ ทันทีที่เรือบุกฝ่าคลื่นทะเลยักษ์เข้าไปใกล้เกาะ มันก็ลอยตัวขึ้นจากผืนทะเลมาแล่นทะยานอยู่กลางอากาศ!
เวลานี้เอง เกาะอันเป็นที่ตั้งของสำนักเหมันต์สวรรค์เต็มไปด้วยเสียงคำรามและความตึงเครียด!
“เผ่าเซียนเป่ยหลิงมารับมือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง พวกเจ้าคนเผ่าหมานจงคุกเข่าคารวะ หากยอมให้ค้นวิญญาณดีๆ จะไว้ชีวิต หากมีใครต่อต้าน….จะฆ่าให้หมด!” เสียงเขาดังกังวานโดยรอบปานสายฟ้าฟาด กึกก้องไปทั่วบริเวณ อื้ออึงในหูทุกคนบนยอดเขาลำดับเก้า!
แทบเป็นช่วงที่เสียงเป่ยหลิงดังกังวาน จิตสัมผัสแก่กล้าแผ่ออกมาจากตัวเขา จิตสัมผัสนี้ไม่ได้กระจายไปรอบๆ เป็นวงกว้าง แต่เมื่อถูกเรือใต้ร่างสูบไปแล้ว มันก็แผ่กระจายออกไปโดยมีเรือเป็นใจกลาง
จิตสัมผัสเปลี่ยนไปเพราะเรือ ตอนแผ่ขยายทรงพลังอย่างยิ่ง แทบจะปกคลุมทั้งเกาะในชั่วพริบตา ฉับพลันนั้นมวลอากาศบนเรือตรงหน้าเป่ยหลิงปรากฏภาพภาพหนึ่ง ภาพนั้นก็คือแผนที่ทั้งหมดของเกาะสำนักเหมันต์สวรรค์ในขนาดย่อเล็กมาก!
ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินหรือทะเลน้ำแข็งตรงกลางล้วนเห็นอย่างชัดเจนยิ่ง
บนแผนที่มายายังมีจุดแสงหนึ่งร้อยกว่าจุดวูบวาบ ทุกๆ จุดแสงล้วนหมายถึงชีวิตของเผ่าหมาน โดยเฉพาะบนยอดเขาลำดับเก้าที่ตอนนี้มีมากสุดถึงร้อยกว่าจุด! โดยรอบมีกระจัดกระจายบ้างเล็กน้อย
ครั้นเป่ยหลิงสะบัดมือขวา มีคนยักษ์ทะเลมรณะด้านล่างหลายสิบตนกระจายกันออกไป ราวกับรู้ตำแหน่งของจุดขาวเหล่านั้นตรงริมเกาะ
เป่ยหลิงมองผ่านยอดเขาลำดับเก้าบนแผนที่ด้วยสีหน้าเย็นชา ทั้งยังไม่สบอารมณ์เล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว ที่นี่….เป็นเพียงแดนหมานรกร้างเท่านั้น