ตอนที่ 576 เป่ยหลิง
มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทดสอบ กระทั่งพูดได้ว่าเป็นเพียงก้าวแรกของการทดสอบเท่านั้น ต่อให้ที่นี่เคยรุ่งโรจน์มากเพียงใด ทว่าตอนนี้…ก็เป็นเพียงหมานรกร้าง เป็นเพียงกลุ่มคนไร้อนาคต
เป็นได้เพียงเศษหินระหว่างพวกเขาโอรสสวรรค์เผ่าเซียนเติบใหญ่ จะต้องถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า และรวมขึ้นเป็นหอคอยซึ่งไม่มีวันดับสูญของตน!
จะเผ่าหมานที่กระจัดกระจายก็ดี หรือส่วนใหญ่ที่รวมอยู่บนยอดเขากลางทะเลก็ดี เป่ยหลิงไม่มองแม้แต่หางตา เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือที่นี่
……เป็นจุดที่มีมือซ้ายเทพหมานรุ่นสองหรือไม่
หลังจากคนยักษ์ทะเลมรณะหลายสิบตนกระจายกันไป เผ่าหมานที่ตัดสินใจออกจากยอดเขาลำดับเก้าเหล่านั้นจะต้องเจอกับอันตรายครั้งใหญ่ ต่อให้พวกเขาหนีรอดจากคนยักษ์ทะเลมรณะ ก็ไม่มีทางหนีรอดจิตสัมผัสของเป่ยหลิงแน่ สุดท้ายหลังจากถูกเจอตัวแล้วก็จะถูกฆ่า
มังกรวารีเก้าตัวบนท้องฟ้าบินอย่างรวดเร็ว คนยักษ์ทะเลมรณะเดินขึ้นมาบนแผ่นดิน เรือหมื่นจั้งก็แหวกมวลอากาศเข้ามาเช่นกัน ขณะบินเข้ามา ตรงหน้าพวกเขาปรากฏเป็นผืนทะเลแห่งหนึ่ง!
ทะเลนี้ไม่ใช่ทะเลมรณะ แต่มันละลายจากน้ำแข็ง ตรงกลางทะเลนั้นก็คือยอดเขาลำดับเก้า!
ชั้นเมฆหมุนตลบจากการบินผ่านของมังกรวารีเก้าตัว ทั้งยังมีสายฟ้าผ่าลงมา แผ่นดินสั่นสะเทือนตามจังหวะก้าวของคนยักษ์หลายร้อยตน กระทั่งทะเลน้ำแข็งก็ยังเกิดคลื่นลูกใหญ่โหมซัดขึ้นมา
เรือหมื่นจั้งบนฟ้าแผ่กระจายแรงกดดันหนาแน่น จุดที่แรงกดดันผ่าน ฟ้าดินจะสิ้นสีสัน!
บนยอดเขาลำดับเก้า ยามนี้เผ่าหมานส่วนใหญ่มีสีหน้าตื่นกลัว ในใจขมขื่น พวกเขาเพิ่งผ่านภัยพิบัติฝ่ายนภามา กว่าจะรอดมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทว่าตอนนี้…กลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติใหม่อีก!
พวกเขามองร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาเป็นบางครั้ง เวลานี้ร่างนี้กลายเป็นความหวังเดียวของพวกเขา
ซูหมิงตกอยู่ในห้วงการตระหนักรู้ ย่อมไม่รับรู้เรื่องจากโลกภายนอก ในความคิดเขายามนี้มีคำถามว่าอะไรคือโชคชะตาดังกังวานไม่หยุด วนเวียนไปไม่รู้กี่ครั้ง ไม่นานเขาเหมือนเข้าใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังไม่ชัดเจน ตอนที่อยากจะคลำหา ก็เหมือนกับว่าไม่ได้อะไรเลย
บนยอดเขาลำดับเก้า ครั้นแรงกดดันจากฟ้าดินมาถึงพร้อมเสียงน้ำทะเลไหลเชี่ยว ชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภายืนขึ้นพลางยิ้มขมขื่น ที่นี่เขามีขั้นพลังสูงสุดแล้ว เขามองยอดเขาลำดับเก้า ตอนนี้เขา…ไม่มีทางถอยแล้ว
ถึงอย่างไรที่นี่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเหมันต์สวรรค์ หากเขาจากไปก็เท่ากับสูญเสียบ้าน
“ข้าจะไม่ไปไหน ต่อให้ตายก็ขอตายที่สำนักเหมันต์สวรรค์ พวกเจ้า….หากจะไปก็ไปตอนนี้เสีย…”
ไป๋ซู่ยืนขึ้นอย่างเงียบๆ มองฟ้าและทะเลไกลๆ นางไม่กล่าวอะไร แต่ความสงบนิ่งในแววตากลับเผยความแน่วแน่ในใจ
กลุ่มคนที่เหลืออยู่บนยอดเขาลำดับเก้ารอบๆ ต่างพากันเงียบ ไม่มีใครกล่าวอะไร
บรรยากาศอึดอัดขึ้นทันใด แม้แต่หู่จื่อยังจ้องท้องฟ้าเขม็ง กำหมัดแน่น เขาคือคนที่ไม่มีทางยอมออกไปจากที่นี่มากที่สุด อย่าว่าแต่ที่นี่คือบ้านของเขาเลย
เพียงแค่ซูหมิงนั่งฌานอยู่ตอนนี้เขายังไม่ยอมให้ใครไปทำอันตรายแม้แต่น้อย เว้นแต่จะข้ามศพเขาไปก่อน
หู่จื่อกำหมัด ก้าวเท้ายาวไปอยู่ข้างซูหมิงอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจคนโดยรอบ เขามายืนอยู่ตรงหน้าซูหมิง ร่างกายกำยำปานภูเขาเล็กบดบังแสงตะวันลอดที่ผ่านชั้นเมฆมา กลายเป็นเงามืดปกคลุมซูหมิง
ทันใดนั้นเอง ชั้นเมฆบนท้องฟ้าก็หมุนตลบอย่างรุนแรง มังกรวารีเก้าตัวนั้นเข้ามาถึงก่อน พวกมันบินวนบนน่านฟ้ารอบยอดเขา เผยศีรษะใหญ่ยักษ์และร้องคำรามลงมายังข้างล่าง
เสียงคำรามมังกรเขย่าฟ้าดิน ทำให้ผิวทะเลสั่นสะเทือนจนเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่ขึ้น และยังมีคนยักษ์หลายร้อยตนที่ตอนนี้เข้ามาใกล้แล้วเช่นกัน ลมหายใจอันหนักหน่วงและเสียงคำรามสร้างความตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
“ตรงหน้าคือสำนักเหมันต์สวรรค์!” เสียงเย็นเยียบแว่วมาจากเรือหมื่นจั้งด้านหลังยักษ์ทะเล ก่อนเห็นว่าเป่ยหลิงที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือเดินอากาศมาหนึ่งก้าว ทั้งตัวเขาพลันลอยอยู่กลางอากาศ แล้วก้มหน้ามองคนบนยอดเขาลำดับเก้าด้วยความเย็นชา
เขาไม่เห็นซูหมิงเพราะหู่จื่อบังเอาไว้จนมิด กำลังมองท้องฟ้าด้วยความโกรธ
ชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภามีสีหน้าจริงจัง เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วบินขึ้นไป ท่ามกลางเสียงคำรามของมังกรวารีเก้าตัวกับคนยักษ์ทะเลมรณะหลายร้อยตน เขามองเป่ยหลิงซึ่งห่างออกไปหลายร้อยจั้งแล้วโค้งตัวประสานมือคารวะ
“ที่นี่คือสำนักเหมันต์สวรรค์จริงๆ ไม่ทราบว่าท่าน…..”
ยังกล่าวไม่จบ เป่ยหลิงก็เพ่งมองชายชราด้วยความเย็นชา ก่อนเอ่ยขัดคำพูดอีกฝ่ายโดยพลัน
“ออกจากเขาลูกนี้แล้วไปยืนอยู่ทางซ้าย รอจนค้นวิญญาณเสร็จแล้วข้าจะไม่สร้างความลำบากให้กับพวกเจ้า” น้ำเสียงเป่ยหลิงแฝงไว้ด้วยความหมายว่าห้ามปฏิเสธ ราวกับหากไม่ยอมจะต้องตาย
กล่าวจบเป่ยหลิงก็ยกมือขวาทำสองนิ้วเป็นกระบี่ พลันมีปราณกระบี่ลอยมาจากปลายนิ้วมือ ขณะเดียวกับที่แสงกระบี่สว่างวูบ เขาก็ฟันมือขวาไปยังผิวทะเลด้านล่าง
วินาทีนั้นทั้งทะเลส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พายุคลั่งลากยาวเข้ามา ม้วนตลบไปรอบๆ ผิวทะเลสั่นสะเทือน ก่อนจะปรากฏรอยแยกยักษ์ขึ้นบนผิวทะเล รอยแยกนี้กว้างสิบกว่าจั้ง ยาวหลายร้อยจั้ง ประหนึ่งแบ่งทะเลออกเกือบครึ่ง กระทั่งความลึกของมันยังมองเห็นถึงก้นทะเล!
เมื่อทุกคนเห็นภาพดังกล่าวก็เกิดไอหนาวขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ พลังแห่งหนึ่งกระบี่นี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือไหวเลย!
“ข้าจะไม่พูดซ้ำอีกครั้ง!” เป่ยหลิงกวาดสายตามองยอดเขาลำดับเก้าพลางกล่าวเนิบช้า
ทั้งยอดเขาลำดับเก้าพลันเงียบ หลายลมหายใจต่อมาก็มีสายรุ้งสามเส้นบินออกจากยอดเขามายืนอยู่ทางซ้ายตามที่เป่ยหลิงบอก
เมื่อมีคนนำ แม้คนที่เหลือจะรู้สึกอัปยศในใจ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังมหาศาลเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่มีความกล้าพอจะต่อต้าน ต่างพากันกลายเป็นสายรุ้งออกไปอยู่ทางซ้ายอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง
ประมุขฝ่ายนภาหรือชายชราเสื้อคลุมขาวมองคนออกจากยอดเขาลำดับเก้าอย่างเงียบงัน ตอนนี้เหลือเพียงสามคน หนึ่งคือซูหมิง หนึ่งคือหู่จื่อที่ยืนบังอยู่ตรงหน้าเขา แล้วก็ไป๋ซู่
“ยอดเขาลำดับเก้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักเหมันต์สวรรค์ ตอนนี้เหลือเพียงส่วนเดียว…ข้าเป็นประมุขฝ่ายนภาจะยอมให้เจ้ามาค้นวิญญาณได้อย่างไร!” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาวาววับ ขณะยกมือขวาขึ้นก็ปะทุขั้นพลังจากในร่างทันที สร้างเป็นพายุหมุนวนรอบตัว
เขามีเกียรติของเขา ถูกซือหม่าซิ่นปลูกเส้นหมานก็นับว่าน่าอัปยศอดสูแล้ว ทว่าถึงอย่างไรซือหม่าซิ่นก็เป็นคนสำนักเหมันต์สวรรค์ เรื่องนี้เขาทนได้!
แต่ตอนนี้บุคคลตรงหน้าแปลกตายิ่งนัก หากเขายังทนต่อไปอีก เช่นนั้นเขาคงละอายใจต่อสำนักเหมันต์สวรรค์ ละอายใจต่อฐานะประมุขฝ่ายนภาของตน!
“หากเป็นสำนักเหมันต์สวรรค์ในตอนนั้น…คงมีผู้แข็งแกร่งมากมาย จะไปโดนใครเหยียบย่ำเช่นนี้ได้อย่างไร…..” ชายชราเศร้าหมอง แม้เขาจะรักชีวิต ทว่าเทียบกับเกียรติยศแล้ว ชีวิต…ก็ไม่มีค่าอะไร!
แทบจะเป็นช่วงที่เขาปะทุพลัง ชายชรายกมือขวาขึ้น ก่อนมีเสียงโครมดังมาจากด้านหลังในทันใด ปรากฏเป็นเทวรูปหมานขนาดใหญ่รูปหนึ่ง
“ไม่รู้จักประมานตน” เป่ยหลิงกล่าวเสียงเบา จากนั้นมังกรวารีเก้าตัวร้องคำรามพร้อมกับตรงมายังชายชรา มังกรวารีทุกตัวล้วนมีพลังเทียบเท่าขั้นวิญญาณหมานตอนต้น บวกกับร่างกายพวกมันที่แกร่งกว่าขั้นวิญญาณหมานมาก ทันทีที่บินเข้ามา พวกมันก็โอบล้อมชายชราเสื้อคลุมขาวในพริบตา
เสียงโครมครามดังสนั่นฟ้า ชายชราเสื้อคลุมขาวถูกล้อมอยู่ในหมู่มังกรวารีจึงยากจะออกไป ทำได้เพียงกัดฟันใช้วิชาต่อสู้กับมังกรเก้าตัว!
กล่าวจริงๆ คือไม่ใช่มังกรเก้าตัว แต่เป็น…..สิบตัว!
ไม่รู้ว่าเพิ่มมาอีกตัวตั้งแต่เมื่อไร มันบินร้องคำรามอยู่ด้านนอก ทว่าดวงตากลับกลอกไปมาอย่างรวดเร็วราวกับกำลังหาโอกาสหนี
เป่ยหลิงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีมังกรวารีเพิ่มมาอีกตัว แต่เดินไปยังยอดเขาลำดับเก้า ความหยิ่งยโสของเขาทำให้เวลาจัดการอะไรล้วนใช้อำนาจบาตรใหญ่ เขาจะทำให้เผ่าหมานที่นี่ต้องยอมศิโรราบ และมันต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน
‘สำหรับคนต่างเผ่าเหล่านี้ ต้องให้พวกมันตัวสั่นมาจากจิตวิญญาณ หวาดกลัวจากในกระดูก นี่เป็นวิธีเดียวที่จะให้พวกมันยอมศิโรราบ’
หลังจากยอมศิโรราบแล้วก็จะค้นความทรงจำของทุกคน เพื่อมองว่าที่นี่มีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ จากนั้นเขาค่อยหาวิธีตามหามือซ้ายเทพหมานรุ่นสอง
เขาชินกับการยอมศิโรราบแบบนี้แล้ว แม้เขาจะมาแดนหมานเป็นครั้งแรก ทว่าในหมู่ดาวเผ่าเซียน เขาผ่านการเข่นฆ่าและกำราบมาหลายครั้ง ทำเรื่องแบบนี้จนคุ้นชินแล้ว
ด้านบนเรือ เฉินซินมองเป่ยหลิง ในความทรงจำนาง เมื่อก่อนเป่ยหลิงไม่ใช่แบบนี้ แต่หลายปีมานี้กลับค่อยๆ เย็นชา โอหัง และไร้ปรานี
นางลอบถอนหายใจ ช่วงที่มองชายชราเสื้อคลุมขาวซึ่งถูกมังกรวารีปิดล้อมพร้อมกับมีเสียงดังครึกโครม นางพลันอึ้งงัน พิจารณามองอีกครั้งก่อนขมวดคิ้ว
นางพบว่ามีมังกรวารีสิบตัว ไม่ใช่เก้าตัว
เฉินซินไม่บอกกล่าว แต่เพ่งมองมังกรวารีสิบตัวนั้น นัยน์ตาฉายประกายเหมือนกำลังค้นหาว่าหนึ่งตัวที่เพิ่มมาอยู่ที่ใด!
เป่ยหลิงก้าวเดินมายืนอยู่บนยอดเขาลำดับเก้า แล้วมองไป๋ซู่ด้วยความเย็นชา
“ข้าไม่สังหารสตรี” ตอนเป่ยหลิงมองไป๋ซู่ก็ยังคงมีสีหน้าเย็นชา เขาหมุนตัวเดินไปหาหู่จื่อ
“ข้างหลังเจ้ายังมีอีกคนหนึ่ง เจ้าปกป้องเช่นนี้ เห็นได้ว่าเจ้าเป็นคนจงรักภักดี คนแบบนี้ข้าจะให้วิธีตายที่มีเกียรติ” เป่ยหลิงกล่าวพลางเร่งความเร็วขึ้น พริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าหู่จื่อ ก่อนยกสองมือขึ้นทำนิ้วกระบี่ที่ใช้แบ่งผืนทะเลเมื่อครู่อีกครั้ง แล้วฟาดฟันเข้าใส่
หู่จื่อคำรามเสียงต่ำ ชั่วขณะที่กำหมัดขวา รอบตัวเขาปรากฏระลอกคลื่นเป็นวงกลมหลายวง ระลอกคลื่นเหล่านี้ขยับไหวล้อมอยู่รอบตัวปานผิวน้ำกระเพื่อม จากนั้นหู่จื่อก็ชกหมัดใส่ฝ่ายตรงข้าม
“ไสหัวไปให้พ้นหน้าท่านหู่!”