ตอนที่ 579 คำตอบคือของปลอม
ทันทีที่มันบินออกมา ปราณกระบี่ที่ซัดสาดฟ้าดินพลันหมุนโคจร ภายใต้นิ้วของเป่ยหลิง กระบี่เปล่งแสงสีขาวดำพร้อมกับบินตรงไปหาซูหมิง
“หมัดนี้คือโทษที่เจ้าทำร้ายศิษย์พี่ของข้า!” ซูหมิงชกหมัดใส่กระบี่เล็ก พลันเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงปะทะม้วนตลบ เป่ยหลิงกระอักเลือดอีกครั้ง ร่างถอยไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาว เขาเห็นซูหมิงไม่เขยื้อนแม้แต่น้อย กลับคลายมือออกแล้วจับกระบี่เล็กสีขาวดำเอาไว้
“เป่ยหลิง สิ่งที่เจ้าถนัดที่สุดไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นธนู! และกระบี่ไม่ได้ใช้แบบนี้…”
ซูหมิงจับกระบี่เอาไว้แล้วสะบัดเล็กน้อย ใช้จิตสัมผัสผสานรวมกับจิตใจแกร่งกล้าของเขาพุ่งตรงเข้าไปด้านในทันที กระบี่ส่งเสียงร้องดังมาจากภายในเหมือนจะต่อต้านและร้องเรียกเจ้านายของมัน
ทว่ามันร้องไม่เกินสิบลมหายใจก็หยุดลง อีกทั้งด้วยการสะบัดของซูหมิง กระบี่เล่มนี้ยาวขึ้นจนถึงสามฉื่อ ความคิดเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับกระบี่ในสายเลือดจักรพรรดิเซียนจากมรดกวิชาของหงหลัวลอยขึ้นมา
นี่คือวิธีการใช้กระบี่อีกแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่าหงหลัวไม่ใช้กระบี่ ฉะนั้นจึงไม่ได้ฝึกฝน ส่วนซูหมิงเคยใช้กระบี่เล็กแสงดำมาก่อน ทว่ากระบี่แสงดำกลับไม่ยอมรับการควบคุมแบบนี้
ยามนี้ซูหมิงถือกระบี่ของเป่ยหลิงพลางเดินหน้าหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้อีกฝ่าย ก่อนกวัดแกว่งกระบี่ในมือฟันลงไป!
เป่ยหลิงถอยหลังอย่างต่อเนื่อง เวลานี้นัยน์ตาวาววับ เขายกมือขวาทำสัญลักษณ์มือหลายครั้ง ส่วนมือซ้ายบีบไปทางเศษเสี้ยวเงาจากการทำสัญลักษณ์มือพร้อมตะโกนเสียงต่ำ
“สัญลักษณ์ระเบิด!”
เมื่อสิ้นเสียงเป่ยหลิงก็คลายมือซ้าย ฉับพลันนั้นมวลอากาสระหว่างเขากับซูหมิงเกิดเสียงโครมครามดังติดต่อกันดุจดั่งสายฟ้าระเบิด สร้างเป็นแรงปะทะม้วนตลบไปหาซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง ทันทีที่แรงปะทะตรงเข้ามา เขายกมือซ้ายขึ้นดีดบนตัวกระบี่ทีหนึ่ง ตัวกระบี่สั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับส่งเสียงอื้ออึงแสบแก้วหู เสียงอื้ออึงนี้แหลมเล็ก สร้างเป็นคลื่นเสียงเข้าต้านกับแรงปะทะจากเสียงระเบิด มวลอากาศระหว่างสองคนพลันถล่มทลายลงแล้วเกิดเป็นมิติที่สูบกลืนทุกสิ่งอย่าง
พร้อมกันนั้น ซูหมิงกัดปลายนิ้วมือซ้ายแล้วนำโลหิตมาป้ายบนตัวกระบี่
ทันใดนั้นกระบี่พลันรวมปราณแห่งมารโลหิตขึ้น เขาถือมันเอาไว้ในมือแล้วฟาดฟันไปยังเป่ยหลิงที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ได้ยินเพียงเสียงหวืด ตัวกระบี่สะบัดออกไปเป็นแสงสีแดงเส้นหนึ่ง ฟาดเข้าใส่เป่ยหลิงอย่างจัง เป่ยหลิงกระอักโลหิต ซูหมิงส่ายศีรษะก่อนคลายกระบี่ในมือ
บนตัวกระบี่ปรากฏรอยร้าวเล็กๆ เส้นหนึ่ง ในมรดกของหงหลัว กระบี่ในใต้หล้ามีน้อยนักที่จะทนรับแรงดีดอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นคลื่นเสียง และยังมีความอ่อนนุ่มจากการสะบัดปานแส้ได้ ต่อให้เป็นกระบี่ของเป่ยหลิงก็ยังเกิดรอยร้าวขึ้น
หากเป็นกระบี่เล็กแสงดำของซูหมิง เกรงว่าเพียงดีดเต็มแรงมันคงระเบิดกระจุย ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะใช้วิธีตามแบบมรดกของหงหลัว วิชานี้ต้องใช้คู่กับเก้าแปรสิบเปลี่ยน เสียงรวมเป็นหนึ่ง ถึงจะน่าสะพรึงอย่างยิ่ง
หลังจากปล่อยกระบี่ของเป่ยหลิงแล้ว เขาก็ยกเท้าขวาเดินหน้าหนึ่งก้าว!
หนึ่งก้าวเหยียบลง ฟ้าดินส่งเสียงโครมคราม ชั้นเมฆด้านบนม้วนตลบรวมตัวขึ้นเป็นเงารอยเท้ายักษ์ ก่อนเหยียบมายังเป่ยหลิงด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงก้าวเดินอีกครั้งจนครบเจ็ดก้าว ชั้นเมฆบนฟ้าหมุนตลบอย่างรุนแรง เสียงโครมครามดังอย่างต่อเนื่อง เป่ยหลิงกระอักโลหิตอีกครั้ง ขณะถอยไปเส้นผมก็ยุ่งเหยิง ทั้งตัวตกอยู่ในสภาพจนตรอก สีหน้าไม่เย็นชาอีก แต่กลายเป็นเหลือเชื่อและตื่นกลัว
ซูหมิงเดินเจ็ดก้าวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเป่ยหลิง ยกมือขวาตบฝ่ามือไปยังแขนขวาของฝ่ายตรงข้าม เสียงกรุบๆ ดังก้อง เดิมทีเป่ยหลิงบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว ยามนี้แขนขวายังกลายเป็นแผลเหวอะไปอีก
ซูหมิงไม่หยุด แต่ใช้นิ้วกดนิ้วตรงแขนซ้ายเป่ยหลิง หลังจากแขนซ้ายอีกฝ่ายแหลกละเอียด โลหิตก็สาดกระเซ็นไปรอบๆ เป่ยหลิงในตอนนี้ตรงหน้าอกมีรอยแผลลึก แขนสองข้างเป็นแผลเหวอะอาบด้วยเลือด อาการบาดเจ็บเหล่านี้เหมือนกับหู่จื่อทุกประการ
ขณะเป่ยหลิงโซเซถอยหลัง ซูหมิงยกมือขวาจับคอเขาเอาไว้ มองบุคคลนี้อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าซับซ้อนอีกครั้ง
“ซูหมิง!” เสียงเรียกร้อนรนดังแว่วเข้ามา นั่นคือเฉินซิน นางตรงเข้ามาโดยไม่สนสิ่งใด มองเป่ยหลิงในมือซูหมิงขณะน้ำตารินไหล
เป่ยหลิงก็มองซูหมิงเช่นกัน และฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว
“ซู…..หมิง…”
ซูหมิงมองเป่ยหลิง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเป่ยหลิงเอ่ยนามตนหลังจากตื่นขึ้น
“ที่แท้เจ้ายังจำข้าได้” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา
“ซูหมิง พวกเราไม่มีเจตนาร้าย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ขะ…..ข้า…” เฉินซินมองซูหมิงทั้งน้ำตา ในใจนางเจ็บปวดยิ่งนัก บุรุษสองคนตรงหน้าล้วนฝังลึกอยู่ในความทรงจำของนาง นางไม่มีวันลืมใครในนั้นได้
“พวกเราต่างจากคนอื่น พวกเรา…จะไปลืมเจ้าได้อย่างไร…” เฉินซินมองซูหมิง เดิมทีนางไม่คิดว่าจะเจอซูหมิงในแดนหมานเร็วขนาดนี้ นางเคยคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ หลังจากเจอกับเขา แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันเช่นนี้
“พวกเจ้ามาจากเผ่าเซียน…บอกข้ามา เขาทมิฬคืออะไร?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาพลางมองเป่ยหลิงและเฉินซิน
“อูลาตายแล้วหรือยัง…”
“ไป๋หลิงยังอยู่หรือไม่….”
“เหลยเฉินสบายดีหรือไม่…”
“ท่านปู่…มาจากที่ใด?”
“เยี่ยวั่ง เฉินชง อูเซิน คนที่ข้าเคยเจอตอนอยู่ภูเขาทมิฬ พวกเขาจะมาปรากฏตัวในโลกของข้าหรือไม่….”
“โลกของภูเขาทมิฬ เป็นจริง….หรือว่าปลอม…..” ซูหมิงพึมพำเบาๆ
“เจ้า…อยากรู้จริงๆ หรือ?” คนที่ตอบไม่ใช่เฉินซินแต่เป็นเป่ยหลิง เขามองซูหมิงด้วยความซับซ้อนพลางกล่าวเสียงแหบอย่างยากลำบาก
ซูหมิงเงียบไป ใบหน้าเผยความเศร้าโศกและโดดเดี่ยว จากนั้นค่อยๆ ปล่อยมือจากคอเป่ยหลิง
“ข้ารู้คำตอบแล้ว พวกเจ้า…..ไปเถอะ…”
ซูหมิงหมุนตัวกลับ ไม่มองเป่ยหลังกับเฉินซินอีก แต่เดินไปทางยอดเขาลำดับเก้าอย่างเงียบๆ เป่ยหลิงด้านหลังเขามีสีหน้าซับซ้อนมากขึ้น เฉินซินข้างกายน้ำตาไหลยามมองแผ่นหลังซูหมิง ที่เห็นชัดคือความสงสาร
“ซูหมิง…..พวกเราก็คือพวกเรา แต่พวกเราก็ไม่ใช่พวกเรา…” เป่ยหลิงกล่าวพึมพำ ก่อนหมุนตัวเดินไปยังเรือ เฉินซินมองซูหมิงแล้วหลับตาลง จากนั้นตามหลังเป่ยหลิงไป ทั้งสองขึ้นเรือแล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวค่อยๆ ไกลออกไปจากที่นี่
มีเพียงคนยักษ์รอบๆ บนผิวทะเลเท่านั้นที่ยังร้องคำราม…..
“คำตอบคือของปลอม…” ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขาลำดับเก้า เอ่ยเสียงเบา สายลมทะเลพัดผ่านพาเส้นผมขึ้นมาบดบังดวงตาเขา