ตอนที่ 580 ช่วงชิงโชคชะตา
“จริงก็ดี….ปลอมก็ดี….สำคัญด้วยหรือ…..” ซูหมิงมองผืนฟ้ามหาสมุทรที่อยู่ไกลๆ พลางเอ่ยกับตัวเอง
สำคัญหรือไม่…..จะไม่สำคัญได้อย่างไร เพราะนั่นคือความทรงจำที่งดงามที่สุดของเขา นั่นคือภูเขาทมิฬของเขา…คือม้วนตำราที่ถูกสายลมซึ่งไร้คำอธิบายเปิดขึ้น…
“ไม่สำคัญ” ซูหมิงหลับตา ผ่านไปนานถึงลืมตา เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย ความเหนื่อยล้าไม่ใช่ที่ร่างกายแต่เป็นจิตใจ
เหมือนกับฝังเมืองทั้งเมือง สายลมพัดดวงไฟจนมอบดับสิ้น สิ่งที่สัมผัสไม่ใช่ความมืด แต่เป็นความแปลกตาที่มองไม่เห็น และยังมีดวงตะวันยามอัสดงของผู้ใด ใบหน้าของใคร สิบกว่าปีของใครก็ไม่รู้…
ภาพความทรงจำเป็นฉากๆ หลังออกจากภูเขาทมิฬลอยขึ้นในความคิด สุดท้ายกลับกลายเป็นก้อนเส้นขนาดยักษ์ มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ จัดการไม่ราบรื่น
ความรู้สึกเหนื่อยล้าแตกหน่อในใจซูหมิง เมื่อเวลาผ่านไปมันก็หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยึดครองทั้งหมดของเขา แล้วกลายเป็นความเศร้าที่ต้องจากบ้านท่ามกลางความโดดเดี่ยวทางสีหน้า
สายลมพัดผ่านผิวทะเล ขณะสายน้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็มีแสงอ่อนจางส่องขึ้นไปยังชั้นเมฆมืดครึ้มด้านบน นั่นคือดวงตะวันที่ลาลับนอกชั้นเมฆ มองผ่านเมฆหมอกไปจะเห็นความงามของตะวันตกดิน ซูหมิงเหมือนกอดแพไม้ที่มีชื่อเรียกว่าโดดเดี่ยวเอาไว้แน่น ทว่ากลับไม่อาจว่ายไปจากทะเลแห่งความทรงจำ ไม่เรียนรู้ที่จะปล่อยมือไป…
เขายืนอยู่ตรงนั้น เส้นผมถูกสายลมพัดผ่านประดุจท่วงท่าร่ายรำอันอ่อนพลิ้วในชีวิต สายลมลอดผ่านเส้นผมมาพร้อมกับเสียง กลายเป็นบทเพลงซวินอันเศร้าโศกที่สุดในกาลเวลา
ตอนที่เป่ยหลิงกับเฉินซินจากไป ไป๋ซู่ก็ตื่นจากภาพมายา วินาทีที่โลกของนางชัดเจน นางเห็นว่าซูหมิงกำลังมองท้องฟ้ามหาสมุทรอยู่
โดยรอบเงียบสงบยิ่งนัก ชายชราเสื้อคลุมขาวประมุขฝ่ายนภาและยังมีกลุ่มคนที่เลือกไปยืนอยู่ทางซ้าย ยามนี้เงียบงันกันหมด
ความเหนื่อยล้าในใจซูหมิงเหมือนกับเสียงเพลงเบาๆ เสียงเพลงนี้ดังกระจายออกไป ชวนให้คนตกอยู่ในห้วงความเงียบสงบ ไม่ยอมส่งเสียงใดๆ ขัดมัน
เพียงแต่…บทเพลิงเกี่ยวกับภูเขาทมิฬนี้…ไม่รู้ว่าสุดท้ายกาลเวลาให้ใครฟัง…
ซูหมิงไม่มีน้ำตามานานมาก เขาในยามนี้น้ำตาไหลรินทีละน้อย เพียงแต่ไม่รู้สึกตัว ราวกับว่าลืมมันไปแล้ว
สีของน้ำตาโปร่งใส ทว่าช่วงที่ผ่านเสี้ยวหน้าซูหมิงเหมือนย้อมไปด้วยความโดดเดี่ยวของเขา ทำให้ตอนน้ำตาไหลลงมาถึงมุมปาก ก็กลายเป็นความขมฝาดไป
น้ำตาของคนเรา บางทีตอนเพิ่งไหลอาจไม่มีรสชาติ เหมือนสายฝนที่เพิ่งตกลงมา แต่มันจะค่อยๆ เปลี่ยนไปตามเรื่องราวในชีวิต จากสีของเสี้ยวใบหน้า ค่อยๆ กลายเป็นความขมขื่น
ไป๋ซู่มาอยู่ข้างซูหมิงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ใบหน้านางซีดขาวเล็กน้อย มองซูหมิงพลางใช้ปลายนิ้วมือซับน้ำตาซูหมิงไว้เบาๆ
“ขอบคุณ” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ความอบอุ่นจากปลายนิ้วที่สัมผัสโดนใบหน้าทำให้เขาลืมตาขึ้น
ตะวันยามอัสดงส่องแสงผ่านชั้นเมฆ จึงดูค่อนข้างแดงฉาน สาดส่องลงผิวทะเลดูแล้วเหมือนสีสันสวยงามท่ามกลางความขุ่นมัว…นี่เป็นภาพที่สวยงามมาก ซูหมิงร่างสูงโปร่ง ไป๋ซู่ร่างงดงาม มีสายลมพัดผ่านเส้นผมพร้อมกัน และยังมี…ศีรษะคนยักษ์ซึ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวทะเลรอบๆ
เพียงแต่เสียงคำรามของคนยักษ์เหล่านั้นกลับทำลายภาพวาดอันงดงามนี้และบรรยายกาศเงียบสงบ พวกมันไม่ได้สลายตัวหลังจากเป่ยหลิงไป
แทบจะเป็นช่วงที่คนยักษ์ทะเลเหล่านั้นร้องคำราม ซูหมิงยกมือขวาคว้าท้องฟ้าเบาๆ ผืนฟ้ามิได้เคลื่อนไหว แต่เป็นผืนทะเลเกิดเสียงดังกึกก้อง ก่อนก่อตัวขึ้นเป็นน้ำวนใหญ่ยักษ์ น้ำวนนี้หมุนวนพร้อมกับส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้คนยักษ์เหล่านั้นพยายามดิ้นรน แม้แต่เสียงคำรามก็ยังถูกเสียงคลื่นทะเลกลบไป
ไม่นาน ในสายตาของผู้คนโดยรอบที่มองซูหมิงมีความยำเกรงอย่างสุดซึ้ง ทั้งยังมีความกลัวด้วยน้อยๆ เพราะน้ำวนบนผิวทะเลนั่นหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายภายใต้ความเร็วสูงสุด สายลมและสายน้ำที่ลอยขึ้นจากน้ำวนก็กลายเป็นที่ดาบสามารถเชือดเฉือนเลือดเนื้อและบดขยี้กระดูกได้!
เสียงร้องโหยหวนดังระงม คนยักษ์เหล่านี้อยู่ในน้ำวนยักษ์ พยายามตะเกียกตะกายหนีออกไป ทว่ากลับไม่เกิดผลใดๆ ได้แต่กลายเป็นผืนสีโลหิตไม่ก็เลือดเนื้อกระจัดกระจายกับกระดูก
จนกระทั่ง…บนผิวทะเลไม่มีคนยักษ์ทะเลในสภาพสมบูรณ์อีก มีเพียงน้ำทะเลสีแดงกับเศษกระดูก ซูหมิงจึงค่อยๆ กำหมัดขวา
ทันทีที่กำหมัด บนผิวทะเลน้ำวนมีโลหิตลอยขึ้นมาทีละกี่หยด จากนั้นโลหิตเหล่านี้ก็รวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมโลหิตยักษ์ตรงหน้าซูหมิง
ครั้นปรากฏลูกโลหิตนั้น น้ำทะเลก็กลับมามีสีดังเดิม ก้อนโลหิตที่ลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิงนี้ ข้างในมีเงาวิญญาณคนยักษ์ทะเลมรณะนับร้อยวูบผ่าน บ้างก็ส่งเสียงร้องโหยหวนที่จะสัมผัสได้ทางจิตใจเท่านั้น
ก้อนโลหิตนั้นปานเดือดพล่าน มันหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายกลายเป็นโลหิตสีแดงพิลึกขนาดเท่าเล็บมือลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง
ซูหมิงพลันเงยหน้า ความโดดเดี่ยวในแววตากับความเปล่าเปลี่ยวทางสีหน้าซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เผยออกมาเพียงความสงบนิ่งดังเช่นเมื่อก่อน จากนั้นเขายกมือขวาใช้นิ้วชี้ป้ายโลหิตนั้นปานวาดภาพ เหมือนกับว่าใช้ปลายนิ้วเป็นพู่กัน วาดผ่านอากาศไปทีละเส้น…
ซูหมิงไม่รู้ว่าตนวาดไปแล้วกี่ลายเส้น อักขระซับซ้อนลอยอยู่ตรงหน้าเขา อักขระนั้นเปล่งแสงโลหิต อีกทั้งยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต สิ่งนี้คือการรวมชีวิตของคนยักษ์ทะเลทั้งหมดไว้ด้วยกัน
ช่วงชิงชะตาชีวิต คำว่าช่วงชิงสามารถแทนได้ทุกสิ่งอย่าง!
ซูหมิงไม่อาจเปลี่ยนชีวิต ทว่าจากการสืบหาอย่างต่อเนื่องในสภาวะการตระหนักรู้ในไม้สีดำชิ้นนั้น แม้บอกว่าตื่นขึ้นกลางคันเลยไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็พอจะคลำหาเงื่อนงำที่เมื่อก่อนไม่เคยรู้จนเจอ
โชคชะตา!
ทุกคนมีโชคชะตาต่างกัน นั่นคือรูปแบบของชีวิต นั่นคือแสงพร่างพราวในร่างของสิ่งมีชีวิต แสงชนิดนี้ใช่ว่าทุกคนจะมองเห็น ทว่าหากมันมอดดับชีวิตก็จะสูญสิ้น หากมันเปลี่ยน โชคชะตาก็จะเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง!
นี่คือองค์ประกอบของชะตา!
ในความคิดเขาลอยขึ้นมาเป็นใบหน้ายิ้มกับท่าทางซื่อๆ ของหู่จื่อ และยังมีร่างเงาที่ยังคงยืนปกป้องอยู่ตรงหน้าตนปานภูเขา
‘แม้ข้าพอจะเข้าใจโชคชะตา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรคือชะตาชีวิต…..ข้าไม่อาจช่วงชิงเปลี่ยนองค์ประกอบชะตา และก็ไม่อาจให้คนตายฟื้นคืนชีพได้…
ทว่า ในเมื่อโลหิตกับเส้นผมของข้าทำให้หุ่นเชิดของซือหม่าซิ่นมีชีวิต อีกทั้งชีวิตข้ายังดูแปลกพิกลตอนอยู่ในแดนมรณะหยิน เช่นนั้นข้าก็สามารถใช้พลังชีวิตและโลหิตเป็นตัวนำ ใช้โชคชะตาของข้าช่วยรักษาศิษย์พี่ของข้าได้!’ ซูหมิงกล่าวเบาๆ ในใจ อักขระที่เขาวาดก็คือสิ่งเดียวที่ลอยขึ้นมาในความคิดช่วงเสี้ยววินาทีสุดท้าย ก่อนตื่นขึ้นขณะตระหนักรู้ในไม้สีดำ!
อักขระนี้คือสิ่งที่ซูหมิงตระหนักรู้มาได้ จังหวะเดียวกับที่ปรากฏอักขระ เขาก็มีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างกับมัน ความคุ้นเคยนี้เหมือนว่าอักขระก็คือตัวเขาเอง!
นี่คือตราสัญลักษณ์จากองค์ประกอบชะตาของเขา ซูหมิงรู้สึกได้ว่าตราสัญลักษณ์นี้ยังไม่สมบูรณ์ ทว่าแม้จะเป็นอย่างนั้น มันก็ยังมีโชคชะตาของเขาอยู่
ขณะวาดตราสัญลักษณ์อักขระ ชั้นเมฆบนฟ้าคล้ายหยุดนิ่งทันควัน ผิวทะเลรอบๆ ก็ไร้คลื่นอย่างน่าประหลาด ราวกับว่าคลื่นเมื่อครู่มีชีวิต ตอนนี้เลยไม่กล้าเผยตัวออกมา
เวลานี้มีกลิ่นอายพลังสร้างชะตาที่เข้มข้นอย่างยิ่งแผ่กระจายมาจากตัวซูหมิง กลิ่นอายพลังนี้วนเวียนไปรอบๆ ทันทีที่พุ่งทะยานขึ้นฟ้า ชั้นเมฆหนาด้านบนพลันจางลงและค่อยๆ บางลงมาก จึงทำให้จุดที่ซูหมิงนั่งอยู่มีแสงตะวันอัสดงส่องผ่านชั้นเมฆลงมาชัดเจนกว่าโดยรอบ
ไป๋ซู่เหม่อมองซูหมิง ในดวงตานาง เส้นผมของซูหมิงในตอนนี้ค่อยๆ ผ่านกาลเวลาไป…
สีที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนนั้นเป็นสีเทา สีขาว เป็นสีหิมะไร้ที่สิ้นสุด
ซูหมิงวาดลงไปทีละลายเส้น จนชั่วขณะที่วาดลายเส้นสุดท้าย เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตออกมา โลหิตสาดลงบนอักขระสีโลหิต ทำให้มันพลันมีชีวิตชีวา เปล่งแสงสว่างจ้าตา จากนั้นซูหมิงยกมือขวาชักนำอักขระเดินไปทางหู่จื่อที่กำลังนอนอยู่
หนึ่งก้าวเหยียบลง ซูหมิงก็มายืนอยู่ตรงหน้าหู่จื่อแล้ว นิ้วชี้มือขวานำตราสัญลักษณ์อักขระโลหิตพร้อมกับชีวิตของเขากดไปตรงระหว่างคิ้วหู่จื่อ
ทันทีที่สัมผัสลงไป เส้นผมซูหมิงหลายเส้นกลายเป็นสีขาวด้วยความเร็วระดับสายตา!
หู่จื่อตัวสั่นสะท้าน ตรงระหว่างคิ้วปรากฏตราอักขระ อักขระนี้ขยับวูบวาบพร้อมกับประทับตราลงบนร่างกายรวมถึงจิตวิญญาณของเขา สีโลหิตขยับวูบวาบตรงระหว่างคิ้วหู่จื่อก่อนแผ่คลุมไปทั้งตัว ตอนที่ลุกลามไปถึงหน้าอก รอยแผลน่าสยดสยองตรงหน้าอกถูกลบหายไป จนกระทั่งโลหิตไหลต่อไปจนปกคลุมทั้งตัวแล้ว สองแขนที่เป็นแผลเหวอะหวะของหู่จื่อก็ฟื้นคืนกลับมาดังเดิม
เสียงกรนดังมาจากปากเขา ส่งเสียงดังสนั่นปานสายฟ้า…
อายุขัยหู่จื่อยังไม่สิ้นสุด เขาเพียงบาดเจ็บสาหัสจนยากจะรักษาหายและเสียพลังชีวิตไปจนหมด การฟื้นฟูนี้ง่ายกว่าการช่วงชิงอายุขัยของสวรรค์มาก ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ มีเพียงผู้สร้างชะตาเท่านั้นถึงจะรักษาผู้บาดเจ็บแบบนี้ได้!
ซูหมิงไม่มีความสามารถเปลี่ยนองค์ประกอบชะตาของหู่จื่อ ทว่าเขาให้องค์ประกอบชะตาของตัวเองรักษาอีกฝ่ายได้ สามารถทำให้หู่จื่อตื่นขึ้น!
เพียงแต่ถึงอย่างไรซูหมิงก็ยังไม่ก้าวเข้าสู่เส้นทางการสร้างชะตาอย่างแท้จริง เขาเพียงวนเวียนอยู่ตรงธรณีประตูเท่านั้น ฉะนั้นการรักษาหู่จื่อในครั้งนี้ สำหรับเขาแล้วต้องจ่ายไปมากนัก
ทว่าต่อให้ต้องจ่ายแพงกว่านี้ ซูหมิงก็จะไม่ลังเลแม้แต่น้อย เพราะว่า…หู่จื่อคนนี้คือศิษย์พี่สามของเขา!
หลังจากได้ยินเสียงกรนของหู่จื่อ ใบหน้าซีดขาวของซูหมิงจึงเผยรอยยิ้ม
ยามนี้ชั้นเมฆบนฟ้าบางลงอย่างต่อเนื่อง มีแสงสีแดงทองเส้นหนึ่งลอดผ่านเมฆบางลงมายังตัวซูหมิง ส่องสะท้อนเส้นผมของเขา มันคือการผสมรวมของสีขาวและดำ มองไปเหมือนกับกาลเวลาสีเทา เป็นความเศร้าโศกของแสงเทียนไขท่ามกลางเมฆ การไม่มีบ้านให้กลับ หรือหาบ้านเกิดไม่เจอ….