ตอนที่ 581 ควันไฟ
ซูหมิงจากไปแล้ว
เขาพากระเรียนขนร่วงที่คืนร่างจากมังกรวารีไปด้วย ตอนนี้หู่จื่อปลอดภัยแล้ว เขาจึงเลือกจากไปขณะอีกฝ่ายกำลังนอนหลับ
การแยกจากคือความคิดถึง ความคิดถึงนี้มิใช่แค่เรื่องชายหญิง หลายครั้งมันกลายเป็นมิตรภาพระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องได้เช่นกัน
ยอดเขาลำดับเก้าตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล มีกลิ่นอายพลังสร้างชะตาอบอวลอยู่บนยอดเขา มันเป็นศิลายักษ์ก้อนหนึ่ง ศิลานี้ซูหมิงวางเอาไว้บนยอดเขาลำดับเก้า และให้เป็นเกราะป้องกันยอดเขาลำดับเก้าตลอดไป
ซูหมิงเป็นคนวางศิลานี้ไว้ และเป็นคนแกะสลักอักษรลงไปเอง ตัวอักษรมีไม่มาก มีเพียงไม่กี่แถวเท่านั้น
“ทำร้ายต้นไม้ใบหญ้าของยอดเขาอันดับเก้า สังหาร!”
“ทำร้ายผู้ติดตามของยอดเขาอันดับเก้า สังหาร!”
“ทำร้ายศิษย์ยอดเขาอันดับเก้า สังหารนักรบหมานให้หมดเผ่า!”
ตัวอักษรสามแถวแฝงไว้ด้วยจิตสังหารเหลือล้น ทั้งยังมีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงวนเวียนในฟ้าดิน หากเพียงเท่านี้บางทีอาจไม่พอจะเขย่าขวัญผู้แข็งแกร่ง ทว่าในตัวอักษรสามแถวนี้มีกลิ่นอายพลังสร้างชะตาอยู่ ซึ่งเพียงพอจะสร้างความหวาดกลัวให้กับนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์!
เพียงพอจะสร้างความตื่นตะลึงให้กับเผ่าเซียน!
ตักอักษรนี้หมายความว่ายอดเขาลำดับเก้ามีคนผู้หนึ่งที่คลำหาธรณีประตูแห่งการสร้างชะตาเจอแล้ว หมายความว่าคนคนนี้เป็นบุคคลหายากอย่างยิ่งบนแดนหมาน และสามารถข้ามผ่านขีดจำกัดของเผ่าหมานเพราะการตายของเทพหมาน!
ทั้งยังหมายความว่าหากทำผิดกฎสามแถวตัวอักษรนี้ สิ่งที่ต้องเจอคือศัตรูน่าสะพรึงกลัวและการเข่นฆ่าล้างแค้นอย่างไม่มีสิ้นสุดจนกว่าจะตาย!
นี่คือการข่มขวัญอย่างเปิดเผย ทั้งยังเป็นเสียงในใจของซูหมิง นอกจากนี้บนหินภูเขาไม่ได้มีเพียงกลิ่นอายพลังกับตัวอักษร ด้านบนนั้นยังมีโลหิตของซูหมิงอยู่หนึ่งหยด!
โลหิตของเขาทำให้ซือหม่าซิ่นสามารถหยิบยืมชะตา โลหิตของเขารักษาบาดแผลของหู่จื่อได้ โลหิตของเขาแฝงไว้ด้วยจิตใจอันแน่วแน่ หากระเบิดขึ้นจะสามารถปล่อยพลังโจมตีอย่างสุดกำลังของซูหมิงได้!
เพราะในโลหิตนี้มีองค์ประกอบชะตาของซูหมิงอยู่
โลหิตนี้ประทับอยู่บนแผ่นศิลา ทว่าหู่จื่อจะเป็นคนดูแล มีโลหิตนี้อยู่ หากยอดเขาลำดับเก้าเจออันตรายยากจะรับมือไหวจริงๆ ซูหมิงจะรับรู้ได้
วันที่ซูหมิงจากไป ไป๋ซู่ยืนอยู่บนยอดเขา มองเงาแผ่นหลังลาลับไปไกลจากสายตา นางมองอย่างเงียบๆ นางชอบซูหมิง เรื่องนี้ในตอนนั้นนางยังไม่รู้ จนแยกกันแล้วถึงได้ตราตรึงใจ
เพียงแต่ว่า…ทุกอย่างเปลี่ยนไป เงาสะท้อนของภาพมายา สิ่งที่ได้รับมาไม่ใช่ภาพมายาที่แท้จริงอีกแล้ว…
เป็นคนตระกูลไป๋ ได้รับสืบทอดองค์ประกอบชะตาแม่น้ำสวรรค์ แม้นางไม่ได้ฝึกวิชาพิลึกในไม้สีดำ ทว่าก็ได้ยินได้เห็นมาเยอะ นางจึงเข้าใจว่าคนตระกูลไป๋มีโชคชะตาต้องโดดเดี่ยวจนชรา ทุกอย่างถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
บางทีอาจเปลี่ยนได้ บางที…..อาจเปลี่ยนไม่ได้
หากฝืนยืนหยัดต่อไป เช่นนั้นรายชื่อคนบนแผนผังตระกูลไป๋ ความตายของพวกเขาหรือพวกนางจะกลายเป็นแสงสะท้อนโลหิตชัดเจน โชคชะตาแห่งแม่น้ำสวรรค์ แม่น้ำซึ่งมาจากสวรรค์จะกลับคืนสู่ฟ้าอย่างโดดเดี่ยว
โชคชะตาทั้งชีวิตจะผ่านไปดุจแม่น้ำสวรรค์นี้
โดยเฉพาะ…..โชคชะตาของหินที่หล่นลงแม่น้ำสวรรค์ จะมีช่วงเวลางดงามเพียงสั้นๆ ส่องสะท้อนสีสันของหยดน้ำใต้แสงตะวัน แต่ชั่วพริบตาเดียวก็จะหายไป
หลังจากซูหมิงจากไป ยอดเขาลำดับเก้าก็เข้าสู่ความเงียบ ม่านแสงคุ้มกันนอกเกาะลอยขึ้นมาอีกครั้ง ปกคลุมเกาะแห่งนี้ไว้ดังเดิม
ม่านแสงนี้ใครเป็นคนวางนั้นซูหมิงไม่รู้ เขาเคยถามผู้อาวุโสเสื้อคลุมขาว อีกฝ่ายก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน รู้เพียงว่าวันหนึ่งช่วงเกิดภัยพิบัติและฝ่ายนภาหายไป ขณะที่ทุกคนคิดว่าจะต้องตายก็พลันปรากฏม่านแสงป้องกันนี้ขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากที่ใด ไม่มีใครเห็นว่าใคร…..เป็นคนวาง
ท่ามกลางความเงียบสงบของยอดเขาลำดับเก้า ผู้คนที่ถูกเป่ยหลิงข่มขู่อย่างน่าอัปยศกลับมายอดเขาลำดับเก้าอีกครั้ง ซูหมิงไม่ได้ขับไล่พวกเขา แต่มอบบ้านให้
คนที่ไร้บ้าน ไฉนจะต้องสร้างความลำบากให้กับคนแบบเดียวกัน…..
ซูหมิงจากไป ร่างเงาเดินออกจากม่านแสงนอกเกาะ สายตามองไปทางทิศตะวันตก ตรงนั้นคือแดนรกร้างบูรพา
เพียงแต่เขายืนอยู่บนทะเลมรณะ โดยรอบไม่มีใคร มีเพียงเสียงคลื่นทะเลกับเสียงลมหวีดหวิว ความโดดเดี่ยวที่ฝังอยู่ตรงก้นบึ้งหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ซูหมิงบินไปยังแดนรกร้างบูรพาอย่างเงียบๆ ค่อยๆ ไกลออกไป
ทะเลมรณะด้านล่างคลุมแผ่นดินทั้งหมด ตรงส่วนลึกก้นทะเลมีจุดที่ซูหมิงคุ้นเคยอยู่ เหมือนว่าที่นี่จะเป็น…เมืองเขาหาน มีโซ่เขาหานอยู่ด้วย
วันต่อมาซูหมิงยืนอยู่กลางอากาศอย่างสงบนิ่ง ตลอดทางมานี้ไม่เจอใครเลย ประหนึ่งโลกนี้ตายไปแล้ว หลงเหลือแต่เขาเพียงคนเดียว
สิ่งที่อยู่กับเขามีเพียงสายลมและคลื่นทะเล
ซูหมิงมองทะเลมรณะด้านล่าง ในความทรงจำของเขา ก่อนเกิดภัยพิบัติที่นี่คือเมืองเขาหาน ทว่าตอนนี้เขารู้ว่าใต้ก้นทะเลไม่มีภูเขาหาน
แผ่นดินใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ ดุจกระจกแตก การแตกของแผ่นดินมีใหญ่มีเล็ก ตำแหน่งในความทรงจำก็เป็นเพียงความทรงจำ ไม่ได้คงอยู่จริงๆ หากอยากจะตามหา ก็คงต้องดำลึกลงไปก้นทะเลแล้วค่อยๆ สำรวจ
กระเรียนขนร่วงสังเกตเห็นซูหมิงซึมเซามาตลอดทาง ก็ไม่ได้ไปรบกวน เพียงแต่บินสอดส่ายสายตาไปมา บ้างก็มองทะเลรอบๆ และจะถูกของมีแสงวาววับดึงความสนใจไป
ผ่านไปสามวันโดยไม่รู้ตัว ซูหมิงเคลื่อนตัวไม่เร็วมาก เขาค่อยๆ บินผ่านไป ภาพต่างๆ ในความทรงจำเริ่มไม่อาจซ้อนทับกันและเลือนรางลงทีละน้อย จนกระทั่งเขาเห็นเกาะเล็กเกาะหนึ่งบนทะเลมรณะ
ที่นี่ห่างจากสำนักเหมันต์สวรรค์ไกลมาก ว่ากันตามตำแหน่งแล้วน่าจะใกล้กับชายแดนเผ่าหมานและเชมันของอรุณใต้ เกาะนี้ตั้งโดดเดี่ยวบนทะเลมรณะ ไม่มีม่านแสงคุ้มกัน ไม่มีการป้องกันใดๆ เลย กระทั่งในยามค่ำคืนหากไม่มองดีๆ จะหาไม่เจอ
เกาะนี้เล็กมากจริงๆ…..
ระหว่างทางซูหมิงเจอเกาะลักษณะนี้เล็กน้อยเช่นกัน บนเกาะจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เลย ช่างเงียบสงัดนัก ต่อให้มีจริงๆ ก็จะเป็นโครงกระดูกของสิ่งที่ตายไปแล้ว
ซูหมิงละสายตาจากเกาะนี้ ก่อนก้าวเท้ายาวกลายเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่ง กระเรียนขนร่วงตามอยู่ด้านหลัง ชั่ววินาทีที่คนกับกระเรียนกำลังจะบินผ่านนั้น ซูหมิงพลันหยุดชะงัก ทันทีที่หันไปมองเกาะนั้นอีกครั้ง เขาก็อึ้งงันในทันใด
แสงไฟอ่อนๆ วูบวาบอยู่กลางความมืดบนเกาะดุจดาราในอดีต และมันไม่ใช่แสงไฟดวงเดียว แต่มีสิบกว่าดวง
เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานดังแว่วมาจากในเกาะ ปะปนกับเสียงคลื่นทะเลรอบๆ แผ่กระจายออกไป
ซูหมิงจำได้ว่าเมื่อครู่ตอนมองเกาะนี้ด้านบนไม่มีแสงไฟ หากมีเผ่าหมานอยู่จริง เขาเองก็ไม่คิดว่าเกาะแบบนี้จะยังมีคนมีชีวิตรอดอยู่บนทะเลมรณะในเวลาหลายปีโดยไม่มีเกราะคุ้มกันใดๆ เลย
นี่มัน…..เป็นไปไม่ได้!
นัยน์ตาซูหมิงวาววับ เขาแผ่จิตสัมผัสปกคลุมเกาะนี้ ทว่าสิ่งที่จิตสัมผัสเห็นกลับเป็นความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ
แต่ทุกสิ่งที่ตาเห็นมันเป็นของจริง
ซูหมิงเงียบก่อนเคลื่อนตัวไปยังเกาะนั้น กระเรียนขนร่วงข้างๆ เกาขน มันเหลือบตามองพลางบ่นพึมพำแล้วตามหลังไป
ครู่ต่อมาซูหมิงก็มายืนอยู่บนดินของเกาะ ลมทะเลพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นเค็ม โดยรอบนอกจากแสงไฟอ่อนๆ แล้วก็เป็นความมืด ซูหมิงก้าวเดินไปยังแสงไฟนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เกาะนี้เล็กมาก ซูหมิงเดินออกมาไม่นานก็เห็นแสงไฟที่อยู่ไกลๆ ชัดเจน อีกทั้งข้างหูยังได้ยินเสียงหัวเราะชัดเจนขึ้น และยังมีเสียงเด็กหยอกเล่นกัน
จนกระทั่งตรงหน้าซูหมิง เขาเห็น…ชนเผ่าหนึ่ง
ซูหมิงตัวสั่น ชนเผ่านี้เป็นเผ่าขนาดเล็ก โดยรอบมีรั้วไม้ง่ายๆ ยามค่ำคืนในชนเผ่ามีกองไฟหลายกองลุกโชน มีบุรุษสตรีล้อมรอบกองไฟและขับร้อง
และยังมีเหล่าเด็กๆ ที่วิ่งไล่จับกันอยู่ข้างๆ กองไฟ ต่างส่งเสียงหัวเราะใสปานกระดิ่งเงิน
อีกทั้งกลุ่มเด็กเยาว์วัยที่ไล่จับกันอยู่ยังร้องเพลงประจำเผ่า เสียงเพลงผสานรวมกับเสียงแห่งความสุขของผู้ใหญ่ที่หันไปมองเด็กเหล่านั้นเป็นบางครั้ง เมื่อเสียงเพลงประจำเผ่าของรุ่นเยาว์เข้าถึงหูซูหมิงก็มีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
“ดอกไม้บานหนึ่งพันปี มองทะเลกว้างใหญ่เปลี่ยนไปอย่างโดดเดี่ยว ยิ้มมองผ่านหนึ่งพันปี รับรู้แล้วว่าราชามายังโลกมนุษย์หลายครา…”
คล้อยหลังเสียงเยาว์วัยดังขึ้นมา ยังมีเสียงเพลงซวินแว่วมาจากในกระโจมหนังหลังหนึ่งในชนเผ่า เสียงซวินนั้นแฝงไว้ด้วยความเศร้า ทว่ากลับผสานรวมกับเสียงนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ซูหมิงหยุดชะงักฟังอยู่นอกเผ่าอย่างเงียบๆ
ชนเผ่านี้เขาคุ้นตา ไฉนจะไม่คุ้นตาเล่า!
เขาเคยมาที่นี่สองครั้ง ครั้งแรกมากับอาจารย์เทียนเสียจื่อ ครั้งที่สองเขามาเพียงลำพัง ตอนนี้….เป็นครั้งที่สาม!
เดิมทีซูหมิงลืมที่นี่ไปแล้ว ภายใต้ภัยพิบัติ เผ่าเล็กๆ แบบนี้ไม่มีทางรอด ทว่ายามนี้บนเกาะแห่งนี้ในค่ำคืนมืดมิด จิตสัมผัสยังเห็นเป็นความว่างเปล่า แต่ตาเนื้อกลับเห็นแสงไฟวูบวาบ เขา….กลับมาอีกครั้งแล้ว
“ดอกไม้บานหนึ่งพันปี ยิ้มมองผ่านหนึ่งพันปี…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ที่นี่คือชนเผ่าของชายชราผู้สร้างซวิน!
ซูหมิงเดินหน้าไปอย่างเงียบๆ ก้าวเข้าไปในชนเผ่า เด็กที่กำลังวิ่งไล่จับเหมือนไม่เห็นเขา วิ่งเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ ก่อน….วิ่งทะลวงผ่านตัวเขาไปและก็ยังคงเล่นกันต่อ
ผู้คนข้างกองไฟก็เหมือนไม่เห็นซูหมิงเช่นกัน ราวกับว่าพวกเขาอยู่คนละโลก…
บางครั้งความเจริญรุ่งเรืองก็ไม่ได้หมายถึงความฟุ่มเฟือย แต่คือความคึกคัก ในความเจริญนี้ ความเศร้าอันต้องจากบ้านของซูหมิงคือควันไฟที่ไม่ว่าอย่างไรมวลอากาศก็กลบไม่มิด
ซูหมิงเดินผ่านกลุ่มคน มองใบหน้าที่มีความสุขเหล่านั้น ได้ยินเสียงน่ารักๆ เหล่านั้น จนเขามาถึงนอกกระโจมที่มาของเสียงซวินเศร้าโศก เงียบอยู่พักหนึ่งก่อนยกมือขึ้นเปิดม่าน