ตอนที่ 584 ในความฝันรู้ ว่าตนเป็นคนต่างถิ่น
ทว่าช่วงที่เดินผ่านเด็กๆ ที่ล้อมรอบอูลาอยู่ กลิ่นอายเย็นเยียบจากซานเหินหายไป ใบหน้าเขาไม่เปลี่ยน เพียงหยิบกระดูกสัตว์แกะสลักงดงามมาจากอกเสื้อจำนวนมาก ก่อนมอบให้เด็กๆ เหล่านั้น แลกกับเสียงร้องอย่างมีความสุข
ซูหมิงเห็นซานเหินยิ้ม แม้รอยยิ้มนั้นจะน้อยมาก แม้เพียงชั่วพริบตาเดียว ทว่าซูหมิงก็เห็นว่าตรงมุมปากซานเหินยกยิ้มบางๆ อย่างมีความสุข
ด้วยเป็นผู้นำกลุ่มล่าสัตว์ เป็นผู้นำนักรบล่าสัตว์แห่งเผ่าเขาทมิฬ เขาจึงต้องเย็นชา ต้องให้คนอื่นกลัว กลิ่นอายชั่วร้ายและความกระหายเลือดต้องมาเป็นหนึ่ง มีแต่แบบนี้เท่านั้นเขาถึงจะสร้างความกลัวให้กับเผ่าอื่นได้ สามารถเขย่าขวัญคนชั่วในเผ่า และปกป้อง…บ้านของเขาเอาไว้!
ตรงหน้าเป็นโลกที่ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ความชัดเจนนี้คือความรู้สึกในใจซูหมิง ไม่ใช่ดวงตา เพราะเดิมทีมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เสียงข้างหูค่อยๆ เบาลง ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น ก้มหน้าลงมองร่างกายตัวเอง เห็นเป็นร่างกายของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“พี่ลาซู!” ชั่วขณะที่ซูหมิงมองตัวเอง ก็มีเสียงร้อนรนของถงถงดังมาข้างหู ตอนที่เงยหน้าขึ้น เขาเห็นถงถงทำปากจู๋ สีหน้าดูขุ่นเคือง
“ท่านโกงนี่ ข้าหาท่านเจอแล้ว ท่านยังแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีก หึ ข้าจะไม่เล่นกับท่านแล้ว” เด็กหญิงดูโกรธอย่างชัดเจน ยามนี้ทำปากจู๋ไม่สนใจซูหมิงอีก แต่กอดของเล่นวิ่งไกลออกไป ส่วนเจ้าผีผีก็วิ่งตามหลังนาง กระโดดไปมาตามเจ้านายของมัน
“โชควาสนาสามวัน…บอกข้าว่าข้าสามารถอยู่ที่นี่…อยู่ที่บ้านของข้าได้สามวันหรือ” ซูหมิงหลับตา หลายลมหายใจต่อมาก็ลืมตาขึ้น เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาไปเปล่า เขาต้องใช้เวลาทั้งหมดจดจำทุกอย่าง
จริงก็ดี ปลอมก็ช่าง…
“ที่นี่คือบ้านของข้า” ซูหมิงก้าวเท้ายาวผ่านไปอย่างเร็ว เขาอยากเจอท่านปู่ ความรู้สึกนี้ขยายใหญ่ในใจเขาอย่างไร้ที่สิ้นสุด จนกระทั่งอบอวลอยู่ในใจเขาทั้งหมดตอนนี้
เขาเดินผ่านเหลยเฉิน เหลยเฉินคอตก ปล่อยให้มารดาด่าทอ ตอนที่เห็นซูหมิงเดินผ่านยังทำหน้าผีใส่เขาด้วยท่าทางจนปัญญา
ทว่าพอมารดาเห็นสีหน้าแบบนั้นก็ยิ่งโกรธใหญ่ ตรงเข้ามาคว้าใบหูเหลยเฉินแล้วเริ่มด่าทออีกยก
ซูหมิงเดินผ่านข้างอูลากับเด็กเหล่านั้น ทำให้เด็กๆ ล้วนดีใจ ตอนร้องเรียกพี่ลาซู ถงถงที่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่ก็ทำแก้มป่อง บ่นพึมพำอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“พี่ลาซูขี้โกง ตกลงกันดีแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เล่น”
ส่วนอูลา ในสีหน้าแฝงไว้ด้วยความเหยียดน้อยๆ นางไม่สนใจซูหมิง ซูหมิงเองก็ไม่สนใจทุกอย่าง เขายิ้มให้เด็กๆ เหล่านั้นก่อนเดินผ่านไป ขณะในใจยังร้อนรน เขาก็มายืนอยู่นอกเรือนหลังหนึ่ง นี่ก็คือเรือนอาศัยของท่านปู่
เขายืนอยู่หน้าประตู ยกมือขวาขึ้น ทว่ากลับ…ไม่กล้าเปิดออก เขากลัว กลัวว่าทุกอย่างจะเป็นเพียงความฝัน ทุกอย่างเป็นของปลอม กลัวว่าเมื่อตนเปิดม่านหนังแล้วสิ่งที่เห็นจะเป็นความว่างเปล่า
ซูหมิงตัวสั่นเทา เขา….หวาดกลัว
“เจ้าลาซูน้อยรึ ไฉนมายืนข้างนอกแบบนั้น ยังไม่เข้ามาอีก” ขณะซูหมิงกำลังกลัวและขบคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นหูดังมาจากในเรือน ทำให้ซูหมิงตาร้อนผ่าวทันที
เสียงนั้นเหมือนความอบอุ่นและความเมตตา เหมือนความรักและเอ็นดูในความทรงจำ เหมือนกับผู้อาวุโส วินาทีที่ซูหมิงได้ยินเขาก็ทนไม่ไหวอีก เปิดม่านขึ้นมองไป…..เห็นท่านปู่โม่ซังนั่งขัดสมาธิอยู่และกำลังยิ้มมองตน!
ซูหมิงไม่มีวันลืมรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าท่านปู่ เส้นผมสีดอกเลายิ่งเป็นร่องรอยที่ไม่มีวันสูญหายไปชั่วชีวิต น้ำเสียงอ่อนโยน กลิ่นอายที่คุ้นเคย ทุกอย่างทำให้ตอนเห็นท่านปู่เขาน้ำตาไหลในทันที
เขาในตอนนี้ไม่ใช่มือสังหารผู้ฆ่าคนจนเฉยชา ไม่ใช่ประมุขแห่งแผ่นดินผู้ทำให้ฝ่ายนภาพินาศลง ไม่ใช่คนที่เผ่าชะตาชีวิตกราบไหว้ และก็ไม่ใช่ซู่มิ่งผู้ออกเดินทางหลายปีเพื่อเรียนรู้ความเย็นชาและความอดทน แต่เป็น…ผู้จากบ้านไปนานหลายปี จนในที่สุดก็กลับมาเจอญาติพี่น้องตัวเองอีกครั้ง
“ท่านปู่!” ยามนี้ร่างกายซูหมิงเป็นเด็กหนุ่ม เขาร้องไห้พลางวิ่งพรวดเข้าไปข้างท่านปู่แล้วกอดเอาไว้ น้ำตาไหลไม่หยุด
“ท่านปู่ ข้าคิดถึงท่าน…ขะ…ข้าคิดถึงชนเผ่า ข้าคิดถึงทุกอย่างที่นี่ ท่านปู่…”
ความเศร้าไม่รู้กี่ปี ความคิดถึงไม่รู้กี่ปี เสียงสะอื้นไห้หลังผ่านไม่รู้กี่ปี และยังมีการคาดเดาว่าเป็นของปลอมนั้น สิ่งเหล่านี้ซูหมิงไม่สนใจ เขาไม่อยากไปคิดถึงมัน ตอนนี้เขามีเพียงความคิดเดียวคืออยากกอดท่านปู่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ที่นี่คือถิ่นกำเนิดของเขา เป็นที่ที่มีความอบอุ่นมากที่สุด นี่คือญาติของเขา…คือครอบครัวของเขา
แม้จะเป็นของปลอม แม้ไม่มีอยู่จริง แต่ซูหมิงก็ไม่อยากคิดถึงมัน เขาบอกตัวเองว่าที่นี่คือของจริง ความอบอุ่นนี้ก็คือของจริงๆ ทุกอย่างที่นี่ล้วนเป็นของจริงทั้งสิ้น
โม่ซังอึ้งงัน มองซูหมิงที่กำลังกอดตนทั้งยังร้องไห้จึงเกิดความสงสัย แต่กลับไม่กล่าวอะไร เพียงตบหลังซูหมิง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตามากขึ้น
“ลาซูน้อย เหตุใดจึงร้องไห้ นี่ไม่เหมือนเจ้าเลย มา บอกปู่มาเถอะ ใครรังแกเจ้ากัน ปู่จะไปจัดการให้!”
เวลานี้ซูหมิงมีพันหมื่นคำพูดทว่ากลับพูดไม่ออก จะให้เขาบอกทุกอย่างที่ตนประสบมาหลายปีนี้อย่างนั้นรึ เขาไม่อยากทำลายความอบอุ่นแบบนี้ ความอบอุ่นนี้จะอยู่เพียงสามวันเท่านั้น เขาจึงรู้ค่าของมันมาก
ความเหนื่อยล้าอย่างสุดซึ้งพรั่งพรูในใจซูหมิง ทว่ากลับไม่ยอมหลับ เพราะเขาไม่อยากจากไป ผ่านไปนานเขาก็เช็ดน้ำตาแล้วค่อยๆ คลายกอดท่านปู่ เขาเหม่อมองชายชราที่ดูหนุ่มกว่าในความทรงจำตรงหน้าแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า
“ท่านปู่ ไม่มีอะไร ข้าแค่ฝันไป”
“ฝันอะไร? ถึงทำให้ลาซูน้อยของข้ากลัวขนาดนี้ มาร้องไห้กอดปู่เหมือนเมื่อหลายปีก่อนเลย” ท่านปู่ยิ้มอย่างเมตตาพลางลูบศีรษะซูหมิง
“ข้าฝันว่าหลายปีจากนี้ชนเผ่าจะทำสงครามกับเผ่าภูผาดำ ข้าฝันว่าชนเผ่าจะอพยพ แล้วข้าต้องจากไปไกล…..ข้ายังฝันอีกว่าข้าอยู่เพียงลำพัง ร่อนเร่อยู่ข้างนอก…..” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา เล่าเรื่องประสบการณ์ของเขา เพียงแต่คำพูดสั้นลงมาก แต่ทุกคำล้วนแฝงไว้ด้วยหนึ่งชีวิตของเขา
เมื่อซูหมิงกล่าว สีหน้าอมยิ้มของท่านปู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจัง และเหม่อมองซูหมิงอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งซูหมิงกล่าวความฝันจบ ท่านปู่ก็ขมวดคิ้วขึ้น
“จริง…ปลอม…” ท่านปู่หลับตาอยู่พักหนึ่ง ก่อนลืมตามองซูหมิง
“นี่คือความฝัน ตอนนี้เจ้าตื่นแล้ว ไม่ต้องสนใจทุกอย่างในความฝัน ปู่จะบอกให้ว่าปู่เป็นตัวจริง!”
ซูหมิงพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขามองท่านปู่พลางกล่าวคำพูดที่ไม่มีวันจบสิ้น จนกระทั่งฟ้าข้างนอกค่อยๆ มืดลง จนกระทั่งสีหน้าท่านปู่เริ่มเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ซูหมิงยืนขึ้นเบาๆ ประสานมือคารวะท่านปู่ ก่อนจะเดินออกจากเรือนไปด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์
ตะวันอัสดงลาลับ แสงตะวันอ่อนสาดส่องบนพื้นดิน ทำให้ในเผ่าเขาทมิฬปรากฏเงากระโจมหนังแต่ละหลัง มีควันไฟลอยโชยขึ้น นั่นคือควันไฟจากชาวเผ่าที่เตรียมหุงหาอาหารเย็น ควันเหล่านั้นลอยขึ้นฟ้าผสานรวมกับเมฆของตะวันยามเย็น ทำให้ตอนที่มองไปดูงดงามอย่างยิ่ง
หลังจากออกจากภูเขาทมิฬแล้วก็ไม่มีความอบอุ่นแบบนี้อีก ยามนี้ความอบอุ่นในใจซูหมิงไม่เหมือนกับยอดเขาลำดับเก้า ยอดเขาลำดับเก้าคือบุญคุณ คือมิตรภาพ คือความรักของอาจารย์ ทว่าที่นี่…เป็นความรู้สึกของบ้านเกิด
ซูหมิงมองชาวเผ่ากำลังยุ่งในยามโพล้เพล้ มองประตูใหญ่ของชนเผ่าเปิดออก มีนักล่าสัตว์กลับมาจากข้างนอก เขามองทุกอย่างรอบด้านแล้วพลันแยกแยะไม่ออก
เขาแยกไม่ออกว่าตัวเขาเมื่อวานเป็นความฝัน หรือว่าสิ่งที่เห็นตอนนี้คือความฝัน
ซูหมิงยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น จนกระทั่งมีมือข้างหนึ่งตบบ่าอย่างแรง ซูหมิงหรี่ม่านตาลงตามสัญชาตญาณ มือซ้ายยกขึ้นจับมือบนบ่าเอาไว้ วินาทีที่หมุนตัวกลับ เขาใช้มือขวาชี้ไปยังคนด้านหลัง นัยน์ตาฉายประกายเย็นชา
นี่คือการกระทำภายใต้จิตสำนึกของเขา เป็นสัญชาตญาณที่ประสบการณ์หลายปีบ่มเพาะมา ยามนี้เพิ่งเผยไป ซูหมิงก็รีบเก็บงำในทันที แล้วเปลี่ยนเป็นหมัดชกไหล่คนด้านหลังเบาๆ แทน
“เหลยเฉิน!” หนึ่งหมัดชกไปคือการสัมผัสระหว่างสหาย เป็นการทักทายกันด้วยความคิดถึงอย่างหนึ่ง
คนที่ตบซูหมิงก็คือเหลยเฉิน เขาหัวเราะเสียงดัง ปล่อยให้หมัดซูหมิงชกตนไป สีหน้าดูลำพองใจ
“หมัดเล็กๆ ของเจ้าชกข้าอีกหลายทีก็ยังไม่เป็นไร เจ้ากำลังทำอะไร ยืนเหม่ออะไรอยู่ ท่านแม่ให้ข้ามาตามเจ้าไปกินข้าว”
ซูหมิงมองเหลยเฉินด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มบาง ก่อนเดินเข้าไปกอดอีกฝ่ายเอาไว้อย่างแรง กอดนี้ไม่เหมือนกับตอนกอดท่านปู่ นี่คือมิตรภาพระหว่างสหาย!
“เจ้าเป็นอะไร? เหตุใดวันนี้เจ้าดูแปลกๆ…..” เหลยเฉินตะลึง ปล่อยให้ซูหมิงกอดอยู่อย่างนั้น ครู่ต่อมาตอนที่ซูหมิงมองเขาอีกครั้ง เหลยเฉินก็เห็นว่านัยน์ตาซูหมิงเหมือนมีร่องรอยของเวลาคล้ายไม่ได้เจอกันมานาน
เหลยเฉินเกาศีรษะ มองซูหมิงด้วยความสงสัย ทั้งยังยกมือจะแตะหน้าผากซูหมิงดู
“ผิดปกติ หรือว่าจะป่วย” เหลยเฉินกล่าวพึมพำ ชั่วขณะที่ยกมือขึ้นจะแตะหน้าผากซูหมิง เขาพลันหยุดชะงักแล้วพิจารณามองอย่างละเอียด
“ผิดปกติจริงๆ เจ้าไม่หลบ!”
“เจ้าต่างหากที่ป่วย!” ซูหมิงยิ้มเฝื่อน แล้วกล่าวขึ้น
“อ่า แบบนี้สิถึงจะปกติ” เหลยเฉินฉีกยิ้ม ตบบ่าซูอีกทีแล้วจึงทุบหน้าอกตัวเอง
“ซูหมิง ข้าเป็นนักรบหมานแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกกับเจ้าเป็นเรื่องจริง จากนี้หากใครรังแกเจ้า ข้าจะทุบตีมันเอง!
รอจนข้าเป็นจ้าวเผ่า หึๆ ถึงตอนนั้นมีข้าปกป้องเจ้าอยู่ พวกเราสหายสองคนจะดื่มสุรากันทุกวัน กินเนื้อกันทุกวัน ให้เป่ยหลิงออกไปล่าสัตว์มาทุกวัน ให้เฉินซิน…เอ่อ ช่างเถอะ ให้นางอยู่กับเจ้าดีแล้ว” เหลยเฉินเดินยิ้มมาอยู่ตรงหน้า พาซูหมิงเดินไปตามทางกลับสู่กระโจมหนัง