Skip to content

สู่วิถีอสุรา 585

ตอนที่ 585 สวรรค์และโลกมนุษย์

ตะวันยามเย็นค่อยๆ หายไปทางตะวันตก ยามโพล้เพล้สีทองอร่ามเริ่มหายไป เมื่อท้องฟ้ามืด จุดดาราก็วาดออกมาเป็นฟ้ากระจ่างดาวในความทรงจำซูหมิง และยังมีดวงจันทร์พร่างพราว ยิ่งมองยิ่งคิดถึงบ้านเกิด

ทว่าคนที่อยู่บ้านเกิดจะไปคิดถึงบ้านเกิดได้อย่างไร ซูหมิงไม่รู้ เขารู้เพียงว่าในค่ำคืนแรกหลังจากกลับภูเขาทมิฬ เขามองดวงจันทร์และยังคงคิดถึงที่นี่เหมือนเคย

เมื่อได้เจอท่านปู่ เจอเหลยเฉิน เจอทุกคนในความทรงจำ หัวใจของซูหมิงก็ค่อยๆ สงบลง เขาคุ้นเคยกับต้นไม้ใบหญ้าที่นี่ ทุกอย่างในนี้ล้วนฝังอยู่ในใจ ไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

เป่ยหลิงยังคงเย็นชากับเขา เฉินซินก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง ในเรือนพักของซูหมิงจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยและไม่มีฝุ่น นี่คือความห่วงใยเงียบๆ จากเฉินซิน

บางทีนี่อาจเป็นความรัก และบางทีก็ไม่เกี่ยวกับความรัก เฉินซินอาจเคยชอบซูหมิง ทว่าคนที่นางชอบมากกว่าอาจเป็นเป่ยหลิง

ความเหยียดหยามของอูลา เด็กสาวที่ไม่ถือว่างดงามเป็นพิเศษคนนี้ ช่วงที่นางล้มลงในอ้อมกอดซูหมิงแล้วพึมพำชื่อโม่ซู ความงามของนางมากเกินกว่าทุกสิ่ง สลักลึกลงในใจซูหมิง ทำให้เขาลืมไม่ลง

วันนี้ได้พบอีกครั้ง ในใจซูหมิงมีเพียงความอบอุ่น ไม่มีสิ่งอื่นใด

เสียงหัวเราะเบิกบานของเหลยเฉิน คำสาบานที่เขากล่าวนั้นทำให้ซูหมิงรู้สึกอย่างสุดซึ้งถึงความอบอุ่นระหว่างสหาย ทุกอย่างนี้ เขาไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเป็นของปลอม

ความเมตตาของท่านปู่ อ้อมกอดอบอุ่นนั้นทำให้ซูหมิงยอมเชื่อว่าตนในเมื่อคืนวานฝันอยู่ เป็นเพียงความฝันอันโหดร้ายที่แฝงอยู่ในกาลเวลาและมาพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด อันไม่เกี่ยวกับเรื่องประโลมโลก

ตอนนี้บางทีอาจเพิ่งตื่นจากฝัน

ซูหมิงนั่งอยู่นอกเรือนของตน เงยหน้ามองดวงจันทร์บนฟ้า มื้อเย็นในบ้านเหลยเฉินทำให้ซูหมิงคิดถึงมาก คิดถึงยิ่งนัก…..

ชนเผ่าในยามค่ำคืนมีแสงไฟไม่มาก โดยรอบเงียบสงบ คืนวันนี้…ไม่มีสายลม

ทว่ากลับมีบทเพลงซวินดังอูๆ ก้องกังวานในค่ำคืน มีชาวเผ่ากำลังเป่าเพลงซวิน เพลงบทนี้ซูหมิงยากจะลืมเลือน

“บางทีไม่ใช่สามวัน บางทีเมื่อวานเป็นความฝัน บางที…..ข้าอาจได้อยู่ภูเขาทมิฬตลอดไป” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เหลยเฉินไม่ได้อยู่กับเขา ยามค่ำคืนนี้เหลยเฉินถูกมารดาดุว่าไปอีกรอบ ตอนนี้อยู่ในบ้านจำต้องแสร้งทำเป็นนอนหลับ

ซูหมิงมองดวงจันทร์บนฟ้าอย่างเงียบๆ ฟังเพลงซวินไป ราวกับ…ตนเป็นคนต่างถิ่น

เขาพลันอยากเห็นไป๋หลิงคนที่บางทีตอนนี้อาจยังไม่รู้จักตน!

นึกถึงไป๋หลิง ซูหมิงก็เจ็บปวดในใจ

การผิดสัญญาในครั้งนั้น พอไปแล้วก็ลาลับชั่วนิรันดร์ ตอนที่หันกลับมามอง ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจ ทว่ามองไม่เห็นกันและกันอีก

ซูหมิงยืนขึ้นเดินไปทางประตูใหญ่ชนเผ่า ทว่าช่วงที่เดินมาถึงประตูชนเผ่าและกำลังจะออกไปนั้น เขาพลันหยุดชะงัก เพราะตรงหน้ามีร่างเงาคนเดินมาจากในความมืด

“เจ้าเป็นใคร!” เสียงเย็นชาดังมาจากร่างเงานั้น ก่อนค่อยๆ เดินออกจากเงามืดมาอยู่ใต้แสงจันทร์ เขาก็คือซานเหิน!

สายตาจ้องซูหมิงด้วยความเย็นชา ยามเอ่ยเขายกมือขวาขึ้น มีระลอกคลื่นพลังบางๆ เหมือนจะรวมขึ้นเป็นดาบ

“เจ้าไม่ใช่ซูหมิง เจ้าหลอกคนอื่นได้ ทว่าเจ้าหลอกข้าไม่ได้ สายตาที่ซูหมิงมองข้าทุกครั้งไม่เหมือนกับเจ้า” ซานเหินจ้องซูหมิงพลางกล่าวเสียงหนักแน่น

ซูหมิงมองซานเหินอย่างเงียบๆ บุคคลนี้ในความทรงจำเขาคือผู้อาวุโสในเผ่าที่เขาลงมือสังหารด้วยตัวเอง

“ข้าคือซูหมิง” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาแล้วเดินหน้าไป ซานเหินหน้าเปลี่ยนสี พลันยกมือขวาขึ้น ทว่าทันใดนั้นซูหมิงกลับเดินผ่านเขาไปเฉยๆ ซานเหินตัวสั่นสะท้าน มือขวาที่ยกอยู่ยังไม่อาจวางลง ชั่ววินาทีเมื่อครู่นี้ซูหมิงใช้ความเร็วที่อยู่เหนือกว่าสายตาเขาเดินผ่านไป ทั้งยังเกิดความรู้สึกถึงระลอกคลื่นแข็งแกร่งที่ทำให้เขาหายใจติดขัด

ระลอกคลื่นนี้เบาบางมาก แผ่กระจายเพียงครึ่งจั้ง มีเพียงเขาที่สัมผัสได้ ความแกร่งของกลิ่นอายพลังนี้ ในสายตาซานเหินมากเกินกว่าชาวหมานทั้งหมดที่เขาเคยพบ กระทั่งยังมากกว่าขั้นชำระล้าง!

เขามีความรู้สึกเด่นชัดว่าเพียงความคิดเดียว อีกฝ่ายก็สามารถบดขยี้เขาให้แหลกสลายและยังทำลายล้างชนเผ่านี้ได้!

ซานเหินหวาดกลัว มีเหงื่ออาบชโลมทั้งตัว ผ่านไปนานถึงค่อยๆ หันศีรษะกลับ ทว่าไม่เห็นร่างเงาซูหมิงแล้ว

ซูหมิงเดินอยู่บนเส้นทางป่าเขา ในค่ำคืนมืดมิดนี้จังหวะก้าวเขาไม่เร็วนัก มุ่งหน้าไปยังชนเผ่าของไป๋หลิงทีละก้าว

เดินไปเดินมาซูหมิงก็หยุด เขาลังลอยู่ชั่วครู่ สายตามองภูเขาทมิฬในยามค่ำคืน พลันยกมือขวาขึ้นวางตรงริมฝีปากแล้วเป่าเป็นเสียงดัง

เสียงเป่าปากดังกึกก้อง ค่อยๆ ลอยหายไปในค่ำคืน ซูหมิงรออย่างเงียบๆ จนกระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป ทันใดนั้นมีร่างเงาสีแดงเพลิงห้อเหยียดมาจากในป่าทึบ

ร่างเงานี้ปรากฏตัว ทั้งยังมีเสียงร้องอย่างมีความสุข สีแดงเพลิงนั้นก็คือ…..เสี่ยวหง!

มันห้อเหยียดเข้ามาปรากฏตัวตรงหน้าซูหมิงอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าตื่นเต้น หลังจากกระโดดรอบตัวซูหมิงหลายรอบแล้ว มันก็ขึ้นมานั่งอยู่บนบ่า และยังใช้มือดึงผมเขาไม่หยุด

“เสี่ยวหง……” ซูหมิงมองวานรเพลิงบนบ่า ปล่อยให้มันเล่นผมอยู่อย่างนั้น ก่อนยกมือลูบศีรษะมันเบาๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มซับซ้อนและปลงอนิจจัง

“พวกเราเจอกันอีกแล้ว……”

เสี่ยวหงส่งเสียงร้องอีกหลายครั้ง ทำท่าทางเจอกันอีกครั้งจริงๆ ทั้งยังถลึงตาพลางวาดมืออธิบายซูหมิงอยู่นาน สื่อความหมายว่ามันโกรธมาก เหมือนกำลังบ่นซูหมิงว่าไม่ได้มาหามันนาน

สุดท้ายเสี่ยงหงก็ทำมือสามนิ้ว ซูหมิงรู้ว่าความหมายนี้คือสามวันหรืออาจจะสามเดือน ไม่ก็อาจเป็นไปได้ว่าสามปีหรือสามสิบปี กระทั่งนานกว่านั้น…

รายละเอียดว่าเท่าไร มีเพียงเสี่ยวหงที่รู้

ซูหมิงลูบขนเสี่ยวหงพลางสาวเท้ายาว กลายเป็นสายรุ้งยาวตรงไปยังชนเผ่าของไป๋หลิง ไม่นานตรงหน้าซูหมิงก็ปรากฏเป็นรั้วไม้ยักษ์ของเผ่ามังกรทมิฬ และยังมีทวนยาวตั้งขึ้นหลายเล่มบนรั้วไม้ นั่นคือการป้องกันของชนเผ่า

ซูหมิงมองเผ่ามังกรทมิฬ เขาเดินผ่านไป การมาของเขาไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น จนกระทั่งแผ่ขยายจิตสัมผัสในชนเผ่านี้จนพบเจอกับร่างเงาในความทรงจำที่ทำให้หัวใจเจ็บปวด

นั่นคือบ้านของไป๋หลิง ในค่ำคืนนี้ไป๋หลิงนอนหลับแล้ว บนเสี้ยวใบหน้างดงามดูสงบนิ่งอย่างชัดเจน เหมือนจะต่างกับตอนนางลืมตาซึ่งแฝงไว้ด้วยความดื้นรั้นไม่มากนัก

ซูหมิงยืนอยู่ข้างเตียงไป๋หลิงอย่างเงียบๆ มองสตรีงดงามตรงหน้า มองรอยยิ้มมุมปากขณะนางนอนหลับ ไม่รู้ว่าฝันดีอะไร

หัวใจซูหมิงเจ็บปวดยิ่งนัก ภาพต่างๆ ในความทรงจำลอยขึ้นมาระหว่างเขากับไป๋หลิง ตั้งแต่เจอกันตอนจันทร์โลหิต เดินวนไปรอบๆ ในค่ำคืนหิมะ เสียงกล่าวเบาๆ เล่าถึงเรื่องของกันและกัน และยังมีเส้นผมขาวจากหิมะในช่วงสุดท้าย…..

จนกระทั่งซูหมิงผิดสัญญา ทุกอย่างนี้กลายเป็นความเศร้าโศกอบอวลอยู่ในใจเขา เขาเหม่อมองไป๋หลิง มองสตรีที่ฝังลึกอยู่ในใจและเป็นรักแรกในชีวิต

“หลิงเอ๋อร์…ข้า กลับมาแล้ว…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน ก่อนยกมือจะสัมผัสใบหน้านางเบาๆ การกระทำนุ่มนวลอย่างยิ่ง ทว่าวินาทีที่จะสัมผัสเสี้ยวใบหน้านาง ไป๋หลิงกลับลืมตาขึ้น

นางมองซูหมิงอย่างสงบนิ่ง ความดื้นรั้นจากนัยน์ตานั้นเป็นสิ่งที่ซูหมิงไม่มีวันลืม

ซูหมิงหยุดมือชั่วครู่ แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เขาสัมผัสใบหน้าไป๋หลิงอย่างไม่ลังเล ใบหน้านั้นเย็นเล็กน้อย ความนุ่มนิ่มทำให้แววตาซูหมิงอ่อนโยนมากกว่าเดิม

ไป๋หลิงไม่หลบ แต่เบิกตากว้าง อึ้งมองซูหมิงอยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งซูหมิงยกมือขึ้น นัยน์ตายังคงอ่อนโยน หลังจากมองไป๋หลิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เขาก็ยืนขึ้นแล้วหมุนตัวเตรียมจากไป

“เจ้า…เป็นใคร….” เสียงนุ่มนวลแฝงไว้ด้วยความกลัวของไป๋หลังดังแว่วมาจากข้างหลัง

“ซูหมิง” ซูหมิงเดินออกจากประตูเรือน วินาทีที่สัมผัสกับไป๋หลิง ความเย็นจากใบหน้านางทำให้ในใจขมขื่นของซูหมิงเข้าใจมากขึ้น

ที่นี่ไม่ใช่ของจริง ที่นี่…คือของปลอม ที่นี่คือโชควาสนาที่ชายชราสร้างซวินบอก นี่คือโลกมายาที่สร้างขึ้นจากความทรงจำซูหมิง

ที่นี่คือโลกมิติ…..

เพราะนี่คือฤดูร้อน ทว่าความเย็นจากใบหน้าไป๋หลิงคือความรู้สึกสุดท้ายท่ามกลางหิมะในความทรงจำ ทุกอย่างเป็นของปลอม

โชควาสนาสามวันในโลกแห่งความทรงจำนี้ทำให้เขาเข้าใจในโชคชะตา…เขาไม่เชื่อได้ จะคิดว่าภูเขาทมิฬในความทรงจำเป็นของปลอมก็ได้ ขอแค่ลงมือสังหารคนรู้จักในนี้ทั้งหมด อย่างเช่นท่านปู่ เหลยเฉิน เป่ยหลิง อูลา เฉินซินเป็นต้น!

ขอแค่เจ้าลงมือ เจ้าก็จะเห็นว่าหลังจากลงมือสังหารทุกคนด้วยมือตัวเองแล้ว จากสีหน้าที่แสดงออกมา ตอนนั้นเจ้าจะมองออกว่าทุกอย่างเป็นของจริงหรือปลอม ในตอนนั้นเจ้าจะพลิกกลับภูเขาทมิฬและตัดขาดลืมอย่างสมบูรณ์ จากนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก ไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจเจ้าอีก

ไม่ว่าอนาคตจะมีใครเอาหมากกระดานภูเขาทมิฬไปทำสิ่งใดก็ตาม

ขอแค่เจ้าลงมือ ทุกอย่าง…ก็จะหายไป ทุกอย่างจะเหมือนตื่นขึ้นอย่างแท้จริง บดขยี้โลกใบนี้ที่เจ้าคิดว่าไม่จริง และยังมีผู้อยู่เบื้องหลังคอยคุมชะตาชีวิตเจ้า

หากเจ้าเชื่อ เช่นนั้นก็จงยอมรับความทุกข์ ความเศร้า และการแยกจากเพราะภูเขาทมิฬได้เลย…..

ไม่ว่าจะเลือกอย่างไรล้วนเป็นความสมบูรณ์แบบในเวลาสั้นๆ ความสมบูรณ์แบบนี้จะทำให้ซูหมิงก้าวออกจากช่วงสุดท้ายของขั้นเซ่นไหว้กระดูก แล้วเหยียบบนเส้นทางสู่ขั้นวิญญาณหมาน

เพราะความสมบูณ์แบบนี้กลายเป็นความยึดมั่น ทำให้ซูหมิงไม่สับสนในช่วงที่ก้าวเข้าสู่ขั้นวิญญาณหมาน และมีโอกาสสำเร็จเพิ่มมากขึ้นอีกเล็กน้อย

“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้า…..คุ้นเคยเช่นนี้…..” เสียงไป๋หลิงดังเข้าหูซูหมิง ไป๋หลิงด้านหลังลุกขึ้นนั่งแล้วเหม่อมองเขา

“อย่าไป…” นางกล่าวเสียงเบา ก่อนเดินลงจากเตียงมาซบตรงหลังซูหมิง

แสงดาราสาดส่องกระโจมหนัง ส่องลงมารางๆ ผสานรวมกับแสงจันทร์ จึงแยกไม่ออกระหว่างดวงจันทร์กับดารา แยกไม่ออกระหว่างฝันกับตื่น แยกไม่ออกว่าความสว่างพร่างพราวคืออะไร ความเศร้าคืออะไร ความคิดถึงคืออะไร ทั้งยังแยกไม่ออกว่าชายหรือหญิงที่กำลังร้องไห้

เหมือนกับทิวทัศน์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับไม่อาจพาคู่ชีวิตในชาตินี้ออกนอกความฝันและตื่นจากไป เลยต้องอาลัยอาวรณ์เช่นนี้…..ยิ่งมายิ่งห่างไกล สู้ไม่เจอกันเสียยังดีกว่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!