ตอนที่ 586 เพลงจบคนจากไป
ซูหมิงควรจะจากไป
ต่อให้ไม่ไป เขาก็น่าจะรู้คุณค่าของโชควาสนาที่ชายชราสร้างซวินมอบให้ครั้งนี้ เพราะโชควาสนาสามวันช่วยให้เขารับมือกับภัยพิบัติที่กำลังมาเยือนได้
ทำลายความงดงามของภาพมายานี้ สังหารทุกอย่างที่อาจถูกสร้างขึ้นจากมายา รวมถึงญาติพี่น้องของเขา สหาย ความรัก และมิตรภาพ ต้องมีใจหนักแน่นยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อความแข็งแกร่งและเพื่อต่อต้าน มีความเมินเฉยอย่างผู้แข็งแกร่ง หลังจากทำลายทุกอย่างแล้วก็จะสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้ง!
นี่คือความหมายแท้จริงของโชควาสนาสามวัน และก็เป็นสิ่งที่ชายชราผู้สร้างซวินหวังว่าซูหมิงจะทำสำเร็จ เหมือนกับการระเบิดปะทุขึ้นจากความเงียบ!
ประหนึ่งตัดขาดอารมณ์ความรู้สึก ตัดความทรงจำ ไม่ต้องสนใจว่าอดีตเป็นอย่างไร ไม่ต้องสนใจว่าอนาคตเป็นอย่างไร ใช้การสร้างขึ้นใหม่มาแทนความทรงจำของตัวเอง ใช้ความเมินเฉยไร้ปรานีทำการผลัดเปลี่ยนครั้งสำคัญยิ่งของตัวเองให้สำเร็จ!
การผลัดเปลี่ยนครั้งนี้คือการข้ามผ่านขั้นเซ่นไหว้กระดูกสมบูรณ์ไปสู่ผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมาน นี่ต่างหาก…คือโชควาสนา!
เมื่อซูหมิงเริ่มเข้าใจสิ่งเหล่านี้ชัดเจนทีละน้อย เขาเดาออกถึงการช่วยเหลือของชายชราสร้างซวิน ทั้งยังรู้สึกรางๆ ว่าหากตนทำตามวิธีของอีกฝ่ายคือสร้างใหม่หลังจากทำลายล้างแล้ว นี่จะเท่ากับว่าเขากุมชะตาชีวิตตัวเอง ในวินาทีที่ก่อกำเนิดขึ้นใหม่ เพราะสภาพจิตใจสมบูรณ์แบบ ก็จะสืบเนื่องไปถึงจิตวิญญาณด้วย
เพราะจิตวิญญาณสมบูรณ์แบบ ฉะนั้น…ช่วงที่สร้างชีวิตขึ้น มันจะสร้างออกมาเป็นเทวรูปหมานของซูหมิงเอง!
นั่นก็หมายความว่าหลังจากเขาเดินออกจากที่นี่ไป เขาจะไม่ใช่นักรบเซ่นไหว้กระดูกอีก ด้วยโชควาสนาที่ชายชราผู้สร้างซวินอาจยอมจ่ายอย่างใหญ่หลวงเพื่อสำแดงมันนี้ เขาจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมาน!
จากนั้นก็ไปรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ในชีวิตที่กำลังจะมาเยือน!
ชายชราผู้สร้างซวินปูเส้นทางเส้นใหญ่ให้กับเขา แม้ซูหมิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ทว่าเขารู้สึกได้ว่าชายชราคนนี้ไม่มีเจตนาร้าย…..
โชควาสนาครั้งนี้ ของขวัญชิ้นใหญ่นี้……ซูหมิงกลับรับเอาไว้ไม่ได้
เพราะราคาของมันคือต้องทำลายทุกสิ่ง เขาจะใช้ฝ่ามือสังหารไป๋หลิงที่กำลังกอดอยู่ข้างหลังตนได้อย่างไร เขาจะปลิดชีวิตท่านปู่ที่กำลังหลับใหลได้อย่างไร เขาจะลงมือสังหารเฉินซินเพียงเพื่อความสมบูรณ์แบบได้อย่างไร…
เขาจะสังหารเหลยเฉิน สังหารบิดามารดาสหาย แล้วทำลายทุกอย่างของเผ่าเขาทมิฬได้อย่างไร
“ข้าทำไม่ได้…” ซูหมิงฝืนยิ้ม เขารู้สึกถึงความอบอุ่นจากไป๋หลิง เขาทำไม่ได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น ไป๋หลิงกอดหลังเขาเอาไว้จนฟ้าเริ่มมีแสงสว่าง
ค่ำคืนนี้ทั้งสองคนยืนอยู่แบบนี้ ต่างฝ่ายต่างไม่กล่าวอะไร ไป๋หลิงเอาหน้าซุกตรงหลังซูหมิง ความรู้สึกหัวใจเต้นทำให้นางไม่รู้ว่าเพราะเหตุถึงต้องน้ำตาไหล
น้ำตานี้บางทีอาจเป็นความคิดถึง เพียงแต่สลัดไม่ออก ได้แต่ปล่อยให้เปื้อนอาภรณ์ซูหมิง
จนกระทั่งยามรุ่งอรุณมาถึงซูหมิงก็จากไป ไป๋หลิงนอนอย่างสงบนิ่งบนเตียงปานหลับใหล เพียงแต่น้ำตายังคงอยู่ หยดลงหมอนแล้วหายไป
ในหยดน้ำตานั้นแฝงไว้ด้วยการหวนคิดถึงหลายครั้ง ความคิดถึงหลายครั้ง และการถอนหายใจหลายครั้ง บางทีแม้แต่ไป๋หลิงเองยังนับไม่ไหว
ซูหมิงเดินออกจากเผ่ามังกรทมิฬภายใต้ตะวันแรกในยามเช้าตรู่ เขาเดินอยู่ในป่าเขาอย่างเงียบๆ มองแสงตะวันส่องลอดผ่านใบไม้ลงมา เสี่ยวหงบนบ่าเหมือนรู้สึกถึงความซับซ้อนจากซูหมิงจึงเงียบตลอดทาง
นี่คือวันแรก
เวลาที่ให้ซูหมิงเลือกเหลืออีกสองวัน
เดิมทีเขาอยากไปเผ่าร่องลมสักรอบ ทว่าตอนนี้กลับไม่มีความคิดนั้น เขามองภูเขาทมิฬภายใต้แสงตะวัน ทว่าก็ไม่ได้มีความคิดจะไปดูโบราณสถานหมานเพลิง ความรู้สึกเหนื่อยล้าอบอวลอยู่ในใจเขา
เขาเลือกกลับมาบ้าน
กลับภูเขาทมิฬ กลับไปยังบ้านของเขา
เผ่าเขาทมิฬในยามเช้าเหมือนกับทุกสรรพสิ่งตื่นขึ้น ชาวเผ่าต่างหุงหาอาหารของตน เหล่าเด็กๆ ก็เหมือนไม่มีวันเหนื่อยล้า เฝ้ารอยามเช้ามาถึง เฝ้ารอที่จะได้ไปเล่นกับเหล่าสหาย
ซูหมิงกลับมาถึงก็มองชนเผ่าที่คุ้นตา เขานั่งอยู่นอกกระโจมของตนอย่างเงียบๆ มองเมฆขาวฟ้าสีคราม มองรูปโฉมแสงตะวัน มองทุกอย่างของชนเผ่าในความทรงจำ
เขาอยากจดจำทุกอย่างนี้ไว้ให้ลึกๆ อีกครั้ง เหมือนกับมีดาบเล่มหนึ่งม้วนภาพนี้ไว้แล้วสลักลึกลงในใจและจิตวิญญาณของเขา
“หรือมีแต่ต้องทำลายสิ่งเหล่านี้เท่านั้นถึงจะกุมชะตาชีวิตของตัวเองได้…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบากับตัวเอง
“การทำลาย บางทีอาจทำให้ควบคุมชะตาชีวิตได้จริงๆ เพราะหัวใจไร้ความรู้สึก จึงไม่รับความอบอุ่นใดๆ หากไม่มีความรัก กลอุบายทุกอย่างของอีกฝ่ายก็จะหาจุดพักพิงไม่พบ
ทว่า…” ซูหมิงมองเด็กเหล่านั้นที่กำลังวิ่งอยู่บนพื้นดินว่างเปล่าตรงหน้า ก่อนหลับตาลง
“พวกเขาก็เป็นของปลอมด้วยหรือ…”
ฟ้าค่อยๆ มืดลง ยามโพล้เพล้ผ่านไป แสงจันทร์สาดส่องพื้นดิน ซูหมิงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยตลอด มองทุกอย่างในชนเผ่า ไม่ได้ขบคิดอะไรอีก แต่มองตะวันขึ้นลงอย่างเงียบๆ
เขารู้ว่าเมื่อตะวันขึ้นอีกครั้ง และมันจะเป็นวันสุดท้ายในความทรงจำภูเขาทมิฬ
บางทีครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไร บางทีอาจไม่มีอีกแล้ว
ซูหมิงหลับตา ได้ยินเพลงซวินดังก้องในชนเผ่า หนึ่งคืน…..ผ่านพ้นไป
จนเมื่อยามเช้าตรู่วันที่สองมาถึง ฟ้าไม่แจ่มใสอีก แต่มีเมฆดำพร้อมกับฝนพรำ ทว่าในวันสุดท้ายนี้ซูหมิงไม่คิดถึงเรื่องใดอีก เขายิ้มพูดคุยกับท่านปู่ ช่วยปู่หนานซงจัดระเบียบห้องยาอย่างเบิกบานใจ ทั้งยังเล่นกับเด็กน้อยเหล่านั้น เล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง บ้างก็ส่งเสียงหัวเราะปานกระดิ่งเงิน จนกลายเป็นเสียงไพเราะที่สุดในชนเผ่า
เขากับเหลยเฉินยิ้มพลางเล่นต่อสู้กัน เหมือนกับเด็กหนุ่มในตอนนั้นที่ไม่รู้เรื่องราวจากโลกภายนอก กระทั่งยังไม่คิดอะไรอื่น มีสหายของตน มีญาติของตน อยู่อย่างเบิกบานใจไร้กังวล
ส่วนอูลา แม้จะเหยียดหยามซูหมิงมาก ทว่าซูหมิงก็ยังคงยิ้มโดยไม่คับแค้นใจใดๆ แถมยังอาสาช่วยธุระของอูลา รอยยิ้มแบบนั้นทำให้อูลาตะลึงงัน ใบหน้าเย็นชาค่อยๆ หายไปไม่น้อย
ส่วนด้านเป่ยหลิง ซูหมิงไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในวันสุดท้ายนี้เขาสุภาพเป็นอย่างยิ่ง เขานึกถึงความช่วยเหลือในวัยเยาว์ นึกถึงบุญคุณสอนธนู ต่อให้เป็นเป่ยหลิงผู้เย็นชาก็ยังเงียบ จากนั้นพยักหน้าให้ซูหมิงด้วยความสับสน แล้วยิงธนูด้วยกันเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ส่วนเฉินซินนั่งอยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข มองบุรุษสองคนที่เข้ามาอยู่ในใจนางตรงหน้า บ้างก็เดินยกน้ำสะอาดเข้ามาและหัวเราะเสียงดัง
ชาวเผ่าทุกคนในวันนี้ล้วนรู้สึกว่าซูหมิงมีอะไรต่างออกไปเล็กน้อย วันนี้เขาวุ่นตั้งแต่ยามเช้าตรู่จนโพล้เพล้ กระทั่งค่ำคืนมาถึง
บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเสมอ เพียงแต่เมื่อความมืดมาถึงและแสงจันทร์สาดส่อง ก็ไม่มีใครเห็นความอาลัยอาวรณ์ด้านหลังรอยยิ้มของเขา
จวบจนฟ้ามืดลง รอยยิ้มซูหมิงกลายเป็นขมขื่น เขามองแสงไฟโดยรอบชนเผ่าค่อยๆ มอดดับลง มองความคึกคักกลายเป็นความเงียบสงบ ในใจเขาเจ็บปวดขึ้นมา
“ต้องไปแล้วหรือ…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขารู้ว่าเมื่อตะวันขึ้นอีกครั้ง ตน…..จะหายไปจากความงดงามนี้
ความเศร้าบนใบหน้าค่อยๆ กลายเป็นรอยยิ้ม เขาต้องยิ้ม เขาอยากจะยิ้ม แม้ต้องจากไป แต่เขามองว่าเวลาสามนี้ก็เพียงพอแล้ว
ซูหมิงยิ้ม เขาไม่มองแสงจันทร์ ไม่มองความมืดรอบๆ และชนเผ่า แต่เปิดม่านกระโจมแล้วเดินเข้าไปนอนอยู่บนเตียงเล็กของเขา มองความคุ้นเคยรอบๆ ก่อนยิ้มแล้วหลับตาลงช้าๆ
นอนเถอะ บางทีตื่นขึ้นมาตนอาจจะยังอยู่ที่นี่…
ซูหมิงพึมพำเบาๆ
สุดท้ายเขาก็ไม่เลือกเส้นทางที่ชายชราสร้างซวินชี้บอก หากเดินไปเขาจะเป็นนักรบขั้นวิญญาณหมานและมีคุณสมบัติรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่
ต่อให้เป็นอย่างนั้น เขา…ก็ยังเลือกเส้นทางของตัวเอง
จริงเท็จใช่ว่าจะต้องเป็นจริงเท็จทั้งหมด
แม้เป็นดวงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำและดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์ก็คือดวงจันทร์! ดอกไม้ก็ยังเป็นดอกไม้!
ทำลายการสร้างชีวิตใหม่และเก็บทุกสิ่งเอาไว้ เก็บมันไว้ในส่วนลึกความทรงจำ กลายเป็นความงดงามอันล้ำค่าที่สุดในชีวิต ให้หัวใจของตนไม่เย็นชา ให้ความรักของตนไม่สูญสิ้นไป ก็ใช่สิ่งว่าเหล่านี้จะทำให้สร้างชีวิตใหม่ไม่ได้!
“โชคชะตาเป็นของข้า ข้าเป็นคนเลือกเอง หากข้าคิดว่ามันจริง มันก็จะเป็นจริง…อยู่ในใจข้า” ซูหมิงหลับตาลงแล้วค่อยๆ หลับไป
“ลาก่อน…ภูเขาทมิฬของข้า…..”
“ลาก่อน…ญาติพี่น้องของข้า…..”
“สหายของข้า…ความรักของข้า ทั้งหมดในวัยเยาว์ของข้า…..พวกเจ้าจะอยู่ในใจข้าตลอดไป อยู่ส่วนลึกสุดในใจข้า กลายเป็นความอบอุ่นของข้า….ลาก่อน……”
นี่เป็นความรู้สึกหลังออกจากภูเขาทมิฬ ต่อให้เป็นยอดเขาลำดับเก้าก็ยังหาความรู้สึกนี้ไม่พบ ความรู้สึกนี้ก็คือกลิ่นอายในความทรงจำ…
ช่วงที่เขาหลับ ซูหมิงไม่ได้ยินว่ามีเสียงถอนหายใจดังก้องอยู่รอบๆ ในเสียงถอนหายใจนั้นแฝงไว้ด้วยความสับสนมึนงง ไม่อาจแยกแยะได้
โลกนี้ค่อยๆ ถูกหมอกปกคลุม ฟ้าดินผืนนี้กลายเป็นภาพมายาทีละน้อย
ยามซูหมิงลืมตาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เขาได้ยินคือเสียงน้ำทะเล ได้กลิ่นทะเล และเห็นเกาะเล็กๆ โดดเดี่ยว รอบๆ ไม่มีภูเขาทมิฬ ไม่มีชนเผ่า ไม่มีเงาคน
มีเพียงกระเรียนขนร่วงที่นอนหมอบตาปรืออยู่
ซูหมิงยืนอยู่นานมาก จนกระทั่งเขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วค่อยๆ ลืมตาอีก
“ตื่นแล้ว” ตรงหน้าซูหมิงลอยขึ้นมาเป็นภาพสามวันนั้น จากนี้ไปความเศร้าโศกจะผสานรวมอยู่ในนิสัยเฉพาะของเขา นี่คือความเศร้าของจิตวิญญาณ เป็นความทุกข์จากการคิดถึงบ้านเกิด
นี่คือความขมขื่นที่สายลมไม่อาจพัดหายไป และเป็นความงดงามที่เขาเลือก
ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ ประสานมือคารวะเกาะใต้เท้า
เขาคารวะชายชราสร้างซวินและขอบคุณโชควาสนาสามวันนั้น
หลังจากคารวะซูหมิงก็เงยหน้าขึ้นแล้วเดินหน้าไปหนึ่งก้าว มือคว้ากระเรียนขนร่วงก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวบินขึ้นฟ้าไป
ด้านหลังเขา เกาะนี้ค่อยๆ หายไป มีเพียงเพลงซวินเศร้าโศก เสียงอูๆ ดังกึกก้อง ราวกับกำลังส่งซูหมิงจนเขาไกลออกไป