ตอนที่ 596 เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์
ทะเลหลายพันลี้หายไป แผ่นดินก้นทะเลหลายพันลี้แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นหลุมลึกยักษ์บนทะเลมรณะ ภายใต้แรงปะทะจากแสงสีม่วง น้ำทะเลรอบๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ราวกับมีชีวิต จึงทำให้หลุมลึกคงอยู่แบบนี้นานยิ่ง
ตี้เทียนอยู่กลางอากาศ เส้นผมยุ่งเหยิง ไม่กล่าวแม้สักคำ ซวินกระดูกตรงหน้าเขาหายไปแล้ว ซูหมิงก็หายไปด้วยเช่นกัน
ผ่านไปพักหนึ่งตี้เทียนถึงเงยหน้าด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดและดูโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง ก่อนร้องคำรามดังสนั่นฟ้าดิน!
เสียงคำรามดังกึกก้องไปรอบๆ อยู่นานไม่จางหาย
ทัณฑ์สวรรค์โชคชะตาของเขาทำลายทุกอย่างในระยะหลายพันลี้ ทว่ากลับหาร่องรอยของซูหมิงไม่พบ แม้จะรู้สึกได้ว่าพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์น่าจะมีผล
ทว่า…ซูหมิงกลับไม่ตาย
เขาพลันแผ่ขยายจิตสัมผัสไปพร้อมความบ้าคลั่งและจิตสังหาร ปกคลุมจนถึงขีดจำกัดของจิตสัมผัสเขา หากแต่….ก็ยังหาซูหมิงไม่พบ!
ซูหมิงหายไปจากโลกของตี้เทียนอีกครั้ง ไม่อาจหาพบได้…
เขาส่งร่างแยกมา แต่สุดท้ายกลับเป็นเช่นนี้ไป โดยเฉพาะการตื่นของซู่มิ่ง ทำให้ตอนนี้ตี้เทียนใจสั่นไหว เขายืนอยู่กลางอากาศจนกระทั่งน้ำทะเลด้านล่างกลับมาเติมเต็มอีกครั้งตามการหายไปของแสงสีม่วง ระดับทะเลมรณะดูลดต่ำลงไปเล็กน้อย
“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะซ่อนได้ตลอดไป สักวันหนึ่งข้าจะหาเจ้าพบ เจอกันครั้งหน้า ข้าสาบานว่าจะทำทุกอย่าง…เพื่อให้เจ้าตกอยู่ในบ่วง!” ตี้เทียนหลับตาลง สีหน้ากลับมืดทะมึนอย่างยากจะจางหาย จนกระทั่งเขาหมุนตัวกลับแล้วเดินจากไปยังท้องฟ้าไกล!
ท้องฟ้าเป็นสีคราม แสงตะวันสว่างงดงาม โดยเฉพาะแสงยามใกล้จะเที่ยงวัน เมื่อสาดส่องบนตัวคนจะให้ความรู้สึกร้อนเล็กน้อย เรียกให้เม็ดเหงื่อออกมา ทว่ากลับไม่มีสายลมพามันจากไป
กลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้จึงไม่จางหายไปด้วยสายลมที่ไม่มากนี้ เพียงโชยวนเวียนในบริเวณที่มันอยู่และปล่อยกลิ่นอย่างเต็มที่
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังแว่วเป็นบางครั้งมาจากป่าดอกหอมหมื่นลี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก หากข้ามป่าไปจะเห็นเรือนพักกระจัดกระจายกันอยู่
เรือนพักเหล่านี้มีราวๆ เกือบร้อยครัวเรือน ตอนนี้มีควันจากการหุงอาหารลอยโชย ราวกับแดนในอุดมคติท่ามกลางกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้นี้
โดยรอบมีภูเขาใหญ่จำนวนมาก ทำให้ที่นี่ดูเหมือนห่างไกลจากผู้คนยิ่งนัก ผู้คนมีไม่มาก บนเส้นทางสัญจรของหมู่บ้านนี้มีรอยรถม้าผ่านจางๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บางทีไม่นานมานี้อาจเพิ่งเกิดฝนตก แม้ตะวันจะสว่างจ้า ทว่าบนพื้นก็ยังเป็นกองโคลน เมื่อเดินอยู่ด้านบนจะเกิดเสียงจั๊บๆ ดูมีเสน่ห์เฉพาะตัว
ในป่าดอกหอมหมื่นลี้ ตอนนี้มีเด็กหนุ่มสวมอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยปะคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ หลังพิงต้นไม้ เหม่อมองผืนฟ้าที่ใบไม้ในป่าปกปิดไม่มิด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ใบหน้าเขาซีดขาวเล็กน้อย ทว่าใบหน้าแบบนี้กลับดูหล่อเหลายิ่งนัก อายุเขาไม่มาก ราวๆ สิบสองสิบสามปีเท่านั้น อาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยปะชุนปกปิดรัศมีซึ่งใครมาเห็นเข้าจะต้องเกิดความรู้สึกดีไว้ไม่มิด เพียงแต่ว่าตัวเขาดูผอมบางนัก ยามนี้หลังพิงต้นดอกหอมหมื่นลี้ สายตาที่มองผืนฟ้าดูปราดเปรียวอย่างยิ่ง
เขามองฟ้าอย่างเงียบๆ ในมือถือหญ้าสีเขียวจำนวนหนึ่ง กำลังขยับสองมือไปมา ไม่นานก็ถักออกมาเป็นคนตัวเล็ก การกระทำทุกอย่างนี้เหมือนอยู่ภายใต้จิตสำนึก เขายังคงมองฟ้า ไม่รู้ว่ามองอะไรอยู่ บางทีอาจเป็นฟ้าคราม อาจเป็นเมฆขาว นอกจากตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีใครรู้
ผ่านไปนาน มีเสียงฝีเท้าดังแว่วเข้ามาจากไกลๆ ตามด้วยเสียงเยาว์วัยแว่วเข้ามาทางเด็กหนุ่ม
“พี่โก่วเซิ่ง พี่โก่วเซิ่ง…..ท่านแม่ให้มาตามท่านกลับบ้าน….”
นั่นเป็นเสียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ในความใสกังวานแฝงไว้ด้วยความไร้เดียงสา ราวกับเด็กน้อยที่ปราศจากเรื่องทางโลก ไม่มีอารมณ์ความคิดซับซ้อน ยังคงเป็นเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง
เด็กหญิงคนนี้อายุราวแปดเก้าขวบ สวมอาภรณ์ที่มีรอยปะจำนวนมากเช่นกัน ผูกผมเปียไว้สองข้าง หน้าตาไม่สวยมาก บนใบหน้ามีตำหนิมาแต่เกิด ทว่าดวงตาสว่างไสว หากมองข้ามเรื่องตำหนิบนใบหน้าไป นางก็เป็นเด็กหญิงที่น่ารักมากคนหนึ่ง
พอเด็กหนุ่มได้ยินเสียงเด็กหญิงก็ละสายตาจากท้องฟ้า ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางจากใจจริง เขายืนขึ้นจากพื้นแล้วมองเด็กหญิงที่กำลังวิ่งมาอยู่ไม่ไกล
“วิ่งให้ช้าหน่อย พื้นเป็นโคลนนะ” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปพร้อมเอ่ยเสียงนุ่มนวล สายตามองเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู
“พี่โก่วเซิ่ง วันนี้ท่านแม่เราทำของอร่อยด้วย เป็นมันเทศที่เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ชอบกินที่สุด เร็วๆ เข้า” เด็กหญิงวิ่งมาอยู่ข้างเด็กหนุ่ม หัวเราะพลางกล่าว ทั้งยังยกมือน้อยๆ ช่วยเขาปัดใบไม้กับดินที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าออก
เด็กหนุ่มลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อย ยิ้มพลางจูงมือนางเดินออกไปนอกป่าพร้อมกัน
“พี่โก่วเซิ่ง เหตุใดท่านถึงชอบมาที่นี่บ่อยๆ นอกจากต้นดอกหอมหมื่นลี้แล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรเลย” เด็กหญิงนามเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ จูงมือเด็กหนุ่มขณะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เด็กหนุ่มยิ้มไม่กล่าวอะไร เพียงเงยหน้ามองฟ้าแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววผ่านโลกมาอย่างโชกโชนวาบผ่านไปโดยที่คนอื่นมองไม่เห็น
จนกระทั่งเดินออกจากป่าไม้ไป ในดวงตาเด็กหนุ่มซ่อนกาลเวลาอันยาวนานเอาไว้ ได้แต่ลอบถอนหายใจในใจเท่านั้น บางทีความว่างเปล่าอาจสัมผัสได้ ฟ้าแจ่มใสจึงพลันมืดสลัวลงไม่น้อยและปรากฏเมฆดำขึ้น
ป่านี้ห่างจากเรือนพักอาศัยไม่นับว่าไกลมาก เดินมาได้สักพัก เด็กสาวก็จูงมือเด็กหนุ่มวิ่งไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะรีบไปกินมันเทศ
ระหว่างทางมีเหล่าเด็กน้อยที่อายุต่างจากพวกเขาไม่มากจำนวนหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่ พอเห็นสองพี่น้อง ในกลุ่มเด็กเหล่านั้นก็มีคนกล่าวยั่วเย้า
“เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ วันนี้บ้านเจ้าทำอะไรอร่อยๆ กินรึ”
“ใช่ๆ เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าพ่อแม่เจ้าทำชุดที่ไม่มีรอยปะให้ไม่ใช่หรือ?”
เด็กหญิงที่จูงมือเด็กหนุ่มก้มหน้าลง ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ทว่าก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงก้มหน้า พยายามจะรีบไปให้เร็ว ไม่ไกลนักมีเรือนพักธรรมดามากหลังหนึ่ง ที่นั่นก็คือบ้านของนาง
นี่ไม่นับว่าเป็นชนเผ่า เพราะคนที่นี่ไม่มีญาติทางสายเลือด อาจจะเป็นได้เพียงหมู่บ้านแห่งหนึ่งเท่านั้น
พอได้ยินเด็กพวกนั้นล้อเด็กหญิง เด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้ว แต่นางจับมือเขาเอาไว้แน่นและยังมีสีหน้าอ้อนวอน เด็กหนุ่มจึงได้แต่ลอบถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนเดินตามนางกลับบ้านไปอย่างเงียบๆ
“ถึงบ้านแล้ว ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าตามพี่โก่วเซิ่งกลับมาแล้ว พวกเรากินกันได้แล้ว” เด็กหญิงยิ้มอย่างมีความสุข ผลักประตูเรือนพักแล้ววิ่งเข้าไป
เด็กหนุ่มเดินตามอยู่ข้างหลังนาง นี่เป็นบ้านที่สร้างจากดินเหนียว ขนาดไม่ใหญ่ มีเพียงสองห้อง ตอนที่เดินเข้ามาก็มีเสียงไอดังมาจากห้องหนึ่ง
“โก่วเซิ่ง ไปดูดอกหอมหมื่นลี้อีกแล้วรึ? อีกสองสามเดือนก็จะไม่มีแล้ว ไปดูบ่อยๆ ก็ดีเหมือนกัน…” กล่าวจบก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมาจากในห้อง
ชายผู้นี้มีใบหน้าผ่านโลกมามาก เสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยปะชุน สีหน้าดูเป็นคนซื่อสัตย์ ตอนเดินออกมาก็มองเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้มเมตตา ร่างเขาไม่สูงและไม่กำยำ มีเพียงสองมือที่ให้ความรู้สึกพิเศษมาก สองมือนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น พวกมันแทบจะปกคลุมหลายจุดบนสองมือ โดยเฉพาะบนนิ้วก็ยังเป็นเช่นนั้น
อีกทั้งเด็กหนุ่มคนนั้นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าบนมือเขามีรอยแผลใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย
หลังจากชายผู้นี้เดินออกมา ด้านหลังเขาก็ตามมาด้วยสตรีคนหนึ่ง สตรีผู้นี้มีผิวหนังหยาบกร้าน ทว่ามองเห็นถึงความงามแต่เดิมบนใบหน้า เพียงแต่กาลเวลาห่วงหานางมากเกินไป จึงทำให้นางดูแก่กว่าอายุจริง ยามนี้นางยกถ้วยชามมาสองใบ ยิ้มพลางมองเด็กหนุ่ม
“เจ้านี่ ถ้าไม่ให้เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ไปตามก็ไม่รู้จักกลับมารึ ทุกวันต้องให้ฟ้ามืดก่อนถึงจะยอมกลับบ้าน เจ้ายังอ่อนแออยู่ อย่าไปตากอากาศเย็นอยู่ข้างนอกสิ”
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนเดินเข้ามารับชามจากมือนาง แล้วกล่าวเสียงเบา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไร”
“เอาละ วันนี้ได้กินมันเทศเยอะหน่อย เมื่อเช้าบ้านปู่ตระกูลจางมีหลานชายเกิดพอดี บิดาเจ้าเลยถักตุ๊กตาไปแลกกับมันเทศกลับมาเล็กน้อย บอกว่าจะให้เจ้ากับโฉ่วเอ๋อร์บำรุงร่างกาย” สตรีผู้นั้นมองเด็กหนุ่มกับเด็กหญิงที่เตรียมตั้งเก้าอี้อย่างมีความสุขด้วยความรักใคร่ แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับชายวัยกลางคน
นี่เป็นมื้ออาหารที่ไม่สมบูรณ์อะไร นอกจากมันสุกเหล่านั้นแล้วก็ยังมีน้ำผลไม้อีกเล็กน้อย รสชาติหวานมาก เสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เสียงนางก้องอยู่ในบ้านธรรมดาหลังนี้ ความรักเมตตาของสตรีและความอ่อนโยนของชายวัยกลางคนก็กลายเป็นความอบอุ่น
เด็กหนุ่มมองพวกเขา ใบหน้าเผยรอยยิ้มน้อยๆ เช่นกัน รอยยิ้มนั้นส่งมาจากใจจริง เขานึกขอบคุณครอบครัวนี้ โดยเฉพาะเด็กหญิงนามเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์
เมื่อหนึ่งปีก่อนเขาตื่นขึ้นที่นี่ ตอนนั้นขณะเด็กหญิงเข้ามาในป่าเพียงลำพังเพื่อเก็บพืชหลากชนิดสำหรับการถักสานให้กับบิดา ก็พบกับเด็กหนุ่มที่กลางภูเขา จากนั้นนางจึงแบกเขากลับบ้าน ตั้งแต่นั้นมา…เขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
เขามีน้องสาวคนหนึ่งชื่อเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์ (อัปลักษณ์) เพราะนางเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ ทว่าจิตใจดี เสียงหัวเราะน่ารักกับดวงตาฉลาดเฉลียวทำให้เขาไม่มีวันลืมว่าขณะหมดสติมีร่างเล็กอ่อนแอแบกตนขึ้นหลังมาตลอดทาง
เขามีบิดาคนหนึ่งซื่อสัตย์มาก ทั้งยังซื่อๆ เป็นเพียงคนธรรมดาที่ยากจนมาทั้งชีวิต มีโรครบกวนอยู่เป็นประจำ มีเพียงการถักตุ๊กตาหญ้าเท่านั้นที่เขาเชี่ยวชาญ ซึ่งมันก็คือของเล่นของเด็กๆ ในหมู่บ้านนี้
เขายังมีมารดาอีกคนหนึ่ง นางเป็นคนจิตใจงามยิ่งนักและยังอ่อนโยน นางรักสามีของนาง รักบุตรสาวนาง รักครอบครัวนี้ และก็มอบความรักของมารดาให้กับคนนอกอย่างเขาเช่นกัน
เขา…คือซูหมิง
หนึ่งปีก่อนตอนตื่นขึ้นในครอบครัวอบอุ่นนี้ ขั้นพลังเขาหย่อนยาน ทว่ายังไม่หายไป เพียงแต่ซ่อนอยู่ในร่างกาย อาการบาดเจ็บหลังจากสู้กับตี้เทียนยังหลงเหลืออยู่ ต้องใช้เวลาถึงจะฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์